– เกิดเหตุการณ์คนเทศน์เปลี่ยนคำสวดกลางงานใหญ่**
วันนั้นคือวันที่ 5 แห่งฤดูฟื้นฟูแห่งศรัทธา
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจนล้นกำแพงวัด
หมายถึงพิธีนี้ “ไม่ธรรมดา”
พระหนุ่มชื่อ เร็นจู
เขาคือศิษย์เอกแห่งสายธรรมะอาวุโส
แต่ในคืนก่อนวันพิธี
สมุดที่มีแต่ชื่อ
รุ่งขึ้น
“จงเตรียมใจฟังคำแห่งความสงบ”
แต่เร็นจู…เงียบ
เขากางสมุดเงาขึ้น
“คิริโกะ...ผู้ที่สวดคำเดิมจนวันสุดท้าย”
คนในศาลางุนงง
“เรียวสุเกะ...ผู้ตะโกนชื่อพ่อกลางลานสวด”
เสียงเริ่มสั่น
เสียงจากผู้คนเริ่มเงียบ
พระที่ยืนข้างแท่นหยุดมือ
นี่คือครั้งแรก
และชื่อ
หลังพิธีนั้น
วันรุ่งขึ้น
และเสียงใหม่
ขบวนแห่งชื่อ– เด็กนับพันเดินถือสมุดเข้าสู่เมืองหลวง**ไม่มีกลอง ไม่มีแตร ไม่มีทหารนำมีเพียงฝุ่นลอยจากฝ่าเท้าเล็ก ๆ นับพันบนถนนสายหลักที่ทอดสู่เมืองหลวงฟุซากิเด็กชายในชุดปะปิดหัวเด็กหญิงแบกสมุดหนากว่าร่างบางคนเดินเท้าเปล่า บางคนมีเพียงเศษผ้าพันแผลทุกคนเขียนชื่อทุกคนพูดชื่อแต่ไม่มีใครพูดถึงศาสนาไม่มีใครกล่าวถึงเทพข่าวการเดินทางลุกลามเร็วกว่าลมฤดูใบไม้ผลิตระกูลชินเรผู้ครองเขตตะวันออกเฉียงใต้สั่งทหารหยุดการลาดตระเวนตามทางผ่านแม่ทัพหลานคนของฮากุโร่บอกว่า:“นี่ไม่ใช่กบฏแต่คือขบวนของเสียงที่ไม่มีใครเคยฟังมาก่อน”ในเมืองหลวงประตูหินซึ่งเปิดเฉพาะเทศกาลสำคัญเริ่มสั่นจากแรงเท้าของเด็ก ๆขุนนางศาสนจักรประชุมด่วนบางเสียงสั่งให้ “ห้ามเข้า”บางเสียงเสนอ “รับฟังแต่คัดกรอง”แต่ในที่สุดไม่มีใครกล้าปิดประตูเพราะหากชื่อพ่อแม่ของผู้คุมประตูอยู่ในสมุดเล่มนั้น...ใครจะกล้าไม่เปิด?ซาโยะกับฮากุโร่ยืนบนหอคอยมองภาพนั้นขบวนที่ไม่มีธงแต่ชัดเจนยิ่งกว่าธงชาติใด“พวกเขาไม่ได้เดินเพื่อเปลี่ยนโลก”ซาโยะพูด“แต่แค่ไม่อยากให้ชื่อคนที่รัก หายไปอีกคน”ฮากุโร่ไม่พูดอะไรแต่หยิบสมุดเก่าจากแขนเสื้อเ
ศาลาสุดท้าย– ศาสนจักรประกาศปิดทุกศาลาที่ไม่ยอมรับตำรา**ในรุ่งอรุณที่ลมหายใจยังติดกลิ่นธูปจากคืนก่อนธงของศาสนจักรถูกชักขึ้นพร้อมเสียงกลองคำสั่งประกาศฉบับใหม่แผ่กระจายไปยังทุกแคว้น“นับแต่วันนี้ ศาลาใดที่ไม่ยึดตามตำราศักดิ์สิทธิ์แห่งบทสวดที่ 47จะถือเป็นศาลากบฏและจะถูกยุบ ถอนสถานะศรัทธา และห้ามมิให้มีการชุมนุมในรูปแบบพิธีกรรมใด ๆ”ข่าวนี้มาถึงหมู่บ้านจิไร ลูกหลานแห่งเสียงเงาศาลาไม้เก่ากลางทุ่งนาที่เด็กใช้เป่าขลุ่ยแทนสวดและคนเฒ่าร่ายชื่อผู้ตายแทนบทสรรเสริญวันนั้น พระ 3 รูปถูกเรียกกลับสมุดเงา 6 เล่มถูกยึดแผ่นไม้สลักชื่อที่แขวนเรียงรายถูกสั่งให้เผาทิ้งแต่ในคืนก่อนวันเผาเด็กน้อยนาม ยูอิปีนขึ้นบนหลังคาศาลาวางสมุดเงาไว้กลางหลังคาและเขียนไว้บรรทัดสุดท้ายว่า“หากข้าต้องเลือก… ข้าเลือกชื่อของคนมากกว่าคำจากเทพ”วันรุ่งขึ้นศาลาถูกเผาแต่หลังคา...ถล่มลงช้าเกินไปไฟไม่ทันกินสมุดทั้งหมดและชื่อเหล่านั้นกระจายไปกับลมในเช้าวันใหม่สิ่งที่ศาสนจักรไม่ได้รู้คือศาลานี้...ไม่ใช่ศาลาสุดท้ายเพราะชื่อไม่มีฝา ไม่มีกำแพงและเมื่อไม่มีศาลาชื่อ...ก็ออกเดินในแคว้นคุเสะที่ศาลาใต้ต้นสนพระหญิง
นักสวดที่เปลี่ยนใจกลางพิธี– เกิดเหตุการณ์คนเทศน์เปลี่ยนคำสวดกลางงานใหญ่**วันนั้นคือวันที่ 5 แห่งฤดูฟื้นฟูแห่งศรัทธาวันพิธีใหญ่ของศาสนจักรกลางพระนับร้อยจากสิบสองแคว้นรวมตัวกัน ณ ลานสวดหลวงใต้ร่มธงขาวอักษรทองผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจนล้นกำแพงวัดธูปถูกจุดพร้อมกันทุกมุมเสียงกลองโบราณที่ไม่เคยตีเกินสามครั้งในรอบสิบปีดังขึ้นห้า... หก... เจ็ดครั้งหมายถึงพิธีนี้ “ไม่ธรรมดา”พระหนุ่มชื่อ เร็นจูเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้อ่าน “คำสวดแห่งการลืม”บทที่สั่งให้ทุกหมู่บ้าน “ลบ” ชื่อคนที่ขัดแย้งเพื่อให้ความสงบกลับมาเขาคือศิษย์เอกแห่งสายธรรมะอาวุโสผู้เคยเทศน์จนกล่อมทั้งเมืองผู้เชื่อในศรัทธาโดยไม่เคยตั้งคำถามแต่ในคืนก่อนวันพิธีเขานั่งอยู่ลำพังกับสมุดเงาเล่มหนึ่งสมุดที่มีแต่ชื่อชื่อของคนที่เคยยิ้มให้เขาตอนยังเด็กชื่อของคนที่เคยสวดร่วมกับเขาแต่วันนี้... ไม่มีในคำสวดแล้วรุ่งขึ้นท่ามกลางผู้คนนับพันเมื่อเขาก้าวขึ้นแท่น“จงเตรียมใจฟังคำแห่งความสงบ”เสียงประกาศของพระอาวุโสดังลั่นแต่เร็นจู…เงียบเขากางสมุดเงาขึ้นแทนบทสวดอ่านชื่อแรก“คิริโกะ...ผู้ที่สวดคำเดิมจนวันสุดท้าย”คนในศาลางุนงงพระอาวุ
บทเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง– เด็กกลุ่มใหม่เริ่มใช้ดนตรีเป็นเครื่องจดจำชื่อ**เสียงแรก...เริ่มจากสายขลุ่ยไม้ไผ่ที่แตกเล็กน้อยไม่ได้ใส แต่นุ่มลึกไม่ได้ไพเราะ แต่สะเทือนใจอย่างอธิบายไม่ได้กลางลานวัดร้างที่ถูกเผาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้วเด็กหญิงสามคนกับเด็กชายอีกสองนั่งล้อมวงรอบเครื่องดนตรีทำจากเศษไม้ เศษหม้อ เศษกระจกที่ยังสะท้อนแสงจันทร์ไม่มีใครพูดชื่อพ่อแม่ที่ตายไม่มีใครกล้าพูดว่า “จำ”เพราะ “การจำ” ถูกห้ามด้วยศรัทธาแต่ทุกคน...เริ่ม “เล่น” แทนเสียงกลองที่ตีสองครั้งเบา ๆ หมายถึงชื่อ "เซนะ" หญิงชราที่มอบข้าวให้เด็กก่อนตายเสียงดีดไม้สามหนถี่ หมายถึง “คาโอรุ” เด็กชายที่หายไปหลังการสวดเสียงเป่าขลุ่ยช่วงสั้น ๆ ที่แผ่วเบา หมายถึง “ยูอิ” แม่ที่ตะโกนชื่อลูก ก่อนถูกลากออกนอกหมู่บ้านเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้องแต่ทุกเสียง...คือตัวแทนของคนและคนที่ได้ยิน...เริ่ม “จำได้” โดยไม่ต้องจำวันนั้นมีพระเร่ร่อนคนหนึ่งชื่อ อุเคียว เดินผ่านเขาไม่ได้หยุดเทศน์แต่หยุดฟังเด็กคนหนึ่งยื่นขลุ่ยให้เขาเขาส่ายหน้า“ข้าไม่เป่า” เขากล่าวเบา ๆเด็กหญิงตอบ“งั้นก็เงียบ แล้วฟังเหมือนที่ข้าฟังบทสวดของพวกท่านมาตลอดชีวิต”
กำแพงที่เริ่มมีเสียง– พระในศาสนจักรกลางเริ่มแอบเขียนสมุดเงา**ภายในหอคำสวดแห่งเท็นเซ็นจิ ศูนย์กลางศาสนจักรของแผ่นดินกำแพงหินสูงกว่าเจ็ดเมตรที่เคยสะท้อนแต่เสียงพระ สวดแต่คำเดิมซ้ำบัดนี้เริ่มได้ยินเสียง...ที่ไม่เคยมีในบทใดมาก่อนในยามค่ำ ที่โคมธูปล้าแสงพระรูปหนึ่งยืนอยู่ลำพังหน้าแท่นบูชาว่างเปล่าเขาชื่อว่า เซียวอิน — พระลำดับที่ห้าในสายการเทศน์ผู้ไม่เคยพูดนอกตำราผู้ไม่เคยมองตาเด็กแต่คืนนั้น เขาเขียนชื่อหนึ่ง...ด้วยหมึกจาง บนกระดาษสมุดธรรมะเก่าชื่อของ “อาคิ” — เด็กหญิงที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้วผู้พูดชื่อพ่อของตนแทนบทสวด“ทำไมเจ้าถึงไม่สวด?”“ข้ากลัว... ว่าถ้าข้าสวด ข้าจะลืมชื่อพ่อ”วันนั้นเขาเงียบแต่วันนี้... เขาไม่เงียบอีกต่อไปเสียงแรกในกำแพงคือเสียงขีดปากกาเล็ก ๆ ที่จดชื่อทีละคนไม่ใช่เสียงสวดไม่ใช่เสียงสั่งเป็นเพียงเสียงของการ “จำ”ไม่นานนัก สมุดเงาเล่มแรกก็เกิดขึ้นในศาสนจักรกลางถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มที่พระชั้นล่างใช้มีชื่อของหญิงชราในหมู่บ้านที่ถูกสังเวยชื่อของชายที่หายตัวหลังเทศน์ขัดคำและชื่อของเด็กชายที่พูดบทกลอนแทนคำสวดไม่มีคำว่า “ผู้สละตน”ไม่มีคำว่า “ศักดิ์สิทธิ
ศาลาที่ไม่มีลำดับ – เมื่อเสียงแรกไม่ต้องรอผู้อนุญาตศาลาไม้ที่หมู่บ้านโยโคะกาวะครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รวมเสียงสวดแบบดั้งเดิมเด็กไม่สามารถพูดหญิงต้องนั่งด้านหลังชายแก่เท่านั้นที่มีสิทธิ์เปิดสมุดแต่ในเช้าวันหนึ่งเด็กชายอายุสิบสองปีลุกขึ้นถือสมุดเล่มบางเขียนคำสั้น ๆ แล้ววางบนเสื่อหน้าเวที“ชื่อแม่ข้า... ข้าไม่รู้จะสวดอย่างไรแต่ข้าไม่อยากให้หายไป”ไม่มีใครสวด ไม่มีใครกล่าวอาเมนมีแต่ความเงียบจนชายชราผู้เคยเป็นประธานพิธีค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินมานั่งข้างเด็กแล้วพูดแค่คำเดียว“ชื่อใคร?”ศาลานั้นไม่มีลำดับอีกต่อไปไม่มีใครรอใบอนุญาตจากวัดไม่มีตารางสวดที่แข็งตายทุกเช้า ใครมา ก็ได้เขียนใครอยู่ ก็ได้ฟังมันไม่ใช่ศาสนามันกลายเป็น ชุมชนในหมู่บ้านข้างเคียงเด็กหญิงผู้ไม่เคยพูดในพิธีเริ่มอ่าน “ชื่อคนที่เธอเห็นตายในสงคราม”ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นใครเพราะศาลาไม่มีเวทีมีแต่เสื่อวงกลมที่ใครก็เดินเข้าได้ข่าวไปถึง ตระกูลอาซึกิตระกูลที่เคยยึดมั่นในลำดับพิธีกรรมบุตรชายคนรองถูกส่งมาสังเกตการณ์แต่เขากลับมาด้วยสมุดที่ไม่มีตรามีเพียงประโยคเดียวบนหน้าปก“ข้าเขียน... เพราะไม่อยากให้ใครสวดแทนอีก”เ