รุ่งสางปกคลุมคฤหาสน์มิสุโนะด้วยหมอกหนา แสงแรกของวันไม่อาจส่องทะลุม่านสีเทา เหมือนชะตาของแผ่นดินที่ยังไม่รู้ปลายทาง
ซาโยะนั่งอยู่หน้าชานเรือน ใต้ต้นสนโบราณ สวมกิโมโนสีม่วงหม่น ปลายผมยังเปียกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้า นางจ้องมองดาบของบิดา — ที่บัดนี้รู้แล้วว่าผู้ปลิดชีพท่าน ไม่ใช่ชายที่นางเกลียดมาเกือบครึ่งชีวิต
แล้วจะโทษใคร? จะรักใคร? จะต่อสู้เพื่อใคร?
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ ฮากุโร่ก้าวเข้ามาอย่างไร้เสียง เงาของเขาทาบลงบนแผ่นพื้นไม้เหมือนเงาของสงครามที่ไม่เคยหายไป
“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว
“ข้าไม่เคยนอนดีเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้” ซาโยะตอบโดยไม่หันไป
เขาเงียบ ไม่ตอบโต้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โดยรักษาระยะห่างพอประมาณ — เหมือนทั้งสองยังเป็นศัตรูในสนามใจ
“ข้ารู้ความจริงแล้ว” ซาโยะเอ่ยในที่สุด “เจ้าปิดปากมือสังหาร ไม่ใช่เพราะความยุติธรรม... แต่เพราะเจ้าต้องการอำนาจของตำแหน่งว่าง”
ฮากุโร่พยักหน้า
“ใช่ — ข้าไม่ได้บริสุทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อเจ้าด้วยมือข้า ข้าแค่เดินเข้าไปในช่องว่างที่สงครามเปิดไว้”
“นั่นต่างจากฆ่าเองตรงไหน?” นางย้อน
ฮากุโร่เงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาเขาจ้องตรงเข้าสู่ดวงตานาง
“ข้าไม่เคยขอให้เจ้ารักข้า ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่าในสงคราม ไม่มีผู้ชนะ มีแต่คนที่ยังหายใจอยู่”
เสียงลมหอบหนึ่งพัดผ่าน สนเข็มร่วงลงจากกิ่งราวเสียงกระซิบของดวงวิญญาณเก่าแก่
“แล้วแผนเจ้าเล่า?” ซาโยะถาม “กลยุทธ์ที่เจ้าวางไว้หลังข้าสวมกิโมโนแต่งงาน เจ้าต้องการอะไร?”
ฮากุโร่หยิบม้วนแผนที่ออกจากเสื้อ เขาคลี่มันออกช้า ๆ บนเสื่อ เส้นทางการเคลื่อนทัพของตระกูลต่าง ๆ ถูกขีดไว้ด้วยหมึกดำ เส้นแดงวงรอบจุดที่ชื่อว่า “อิคุซะโนะโมริ” — ป่าแห่งการศึก
“ข้าจะล่อทั้งตระกูลคุเสะและกลุ่มพันธมิตรให้ออกมาในพิธีบวงสรวงของแคว้น แล้วจุดไฟเผากลยุทธ์ของพวกเขาทิ้งกลางสายตาทูตทั้งแผ่นดิน”
“นั่นเท่ากับเผาทั้งตัวเอง” ซาโยะตกใจ
ฮากุโร่ยิ้มบาง ๆ
“เพราะข้ารู้ว่า... จะชนะสงครามนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ทำลายสนามรบให้ราบ”
นางมองเขา เงียบงัน
ในดวงตาของชายที่นางเคยคิดว่าเป็นศัตรู บัดนี้คือเพลิงของคนที่ยอมเผาทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้ความโหดร้ายตกถึงรุ่นต่อไป
“แล้วข้าจะอยู่ตรงไหนในแผนของเจ้า?” นางถามเสียงเบา
“ข้าอยากให้เจ้าอยู่... ที่ข้างข้า” เขาตอบโดยไม่ลังเล “แต่หากเจ้าเลือกจะหนี ก็จงหนีไปเสียตอนนี้ ก่อนที่เงาของข้าจะกลืนเจ้าลงไปทั้งตัว”
ซาโยะลุกขึ้นช้า ๆ เดินเข้าไปใกล้เขาเพียงฝ่ามือ เงาของทั้งสองทาบกันบนแผนที่สงคราม
“หากข้าต้องอยู่ในเงา... ข้าขอเลือกเป็นคนที่วางเพลิงเงานั้นเอง”
เสียงลมแรงขึ้น พัดม้วนแผนที่ปลิวขึ้นจากพื้น
แต่ทั้งสองยังยืนนิ่ง ท่ามกลางหมอกที่ยังไม่จาง — พร้อมเดินเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะ
กลางดึก คฤหาสน์มิสุโนะเงียบราวหลุมศพ มีเพียงเสียงสายลมที่กระแทกบานประตูไม้บานหนึ่ง บ่งบอกว่าโลกภายนอกยังคงมีพายุหมอกพัดไม่หยุด
ห้องของซาโยะมืดสลัว มีเพียงแสงจากเทียนเล่มเดียวบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงฝนหยดจากชายคาสะท้อนกับใจนางที่ยังไม่หยุดสั่น
นางนั่งอยู่ลำพัง ปลดปิ่นปักผมวางบนเสื่อ ดวงตาเหม่อไปยังเสื้อคลุมของฮากุโร่ที่นางหยิบมาคลุมไหล่
ทันใดนั้น — บานประตูเลื่อนเปิดออกเบา ๆ
ฮากุโร่ยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อเปียกน้ำฝน ผ้าคลุมสีเทาแนบกับเรือนกาย เส้นผมดำเปียกและชี้ไปตามลม
เขาไม่พูดอะไร แค่เดินเข้ามาเงียบ ๆ จนถึงขอบเสื่อ
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?” ซาโยะถาม น้ำเสียงของนางสั่นเหมือนเปลวเทียน
“ข้ารู้ว่าพรุ่งนี้อาจไม่มีข้าอีก” ฮากุโร่ตอบเสียงแผ่ว “แต่ถ้าในคืนนี้ยังมีเจ้ารออยู่ตรงนี้... ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดกลืนข้าไปทั้งตัว”
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธออย่างอ่อนน้อม — ไม่ใช่ในฐานะสามี ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นชายผู้ยอมวางดาบลงเพื่อสัมผัสหัวใจ
ซาโยะยื่นมือไปแตะปลายเสื้อเขา แล้วช้อนตาขึ้นสบสายตาเงาของเขา ที่บัดนี้แม้ไร้แสง แต่เปี่ยมด้วยความจริง
“ข้ากลัว…” นางกระซิบ “ข้ากลัวว่าถ้าข้ารักเจ้าในคืนนี้ ข้าจะไม่มีหัวใจไว้ใช้พรุ่งนี้”
“ข้าก็กลัวเหมือนกัน” เขาตอบ “แต่ข้ากลัวมากกว่านั้น... ว่าเจ้าจะไม่มีวันรู้ว่าเงา ก็สามารถห่มอุ่นได้”
ในความเงียบ ทั้งสองโน้มเข้าหากันช้า ๆ
ริมฝีปากสัมผัสกันครั้งแรกด้วยความลังเล แต่ลึกซึ้งเกินถอน กลิ่นฝนบนเสื้อเขา แทรกอยู่กับลมหายใจของนาง
ร่างของเขาสั่นไหวเมื่อปลายนิ้วของซาโยะลูบผ่านรอยแผลเก่าที่กลางแผ่นหลัง — ร่องรอยของอดีตที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องจ่าย เพื่อให้ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าในคืนนี้” เขากระซิบ
คืนยังไม่จบ
แสงเทียนเล่มเล็กส่องไหวบนกำแพง แปรเปลี่ยนเงาทั้งสองให้กลายเป็นหนึ่งเดียวในห้องเงียบงัน
ในค่ำคืนที่พรุ่งนี้อาจไม่มีชื่อ... รักของพวกเขาคือเพลิงสุดท้ายที่ยังกล้าสว่าง
ธีมของฉากพิเศษ:
“แม้สงครามจะพรากทุกสิ่ง แต่คืนเดียวของความเข้าใจ... ก็เพียงพอให้หัวใจกล้าหายใจในเงาได้อีกครั้ง”
ธีมของบทที่ 15:
“ในสงครามแห่งแผ่นดิน สิ่งที่แพ้ก่อนคือความศรัทธา... และสิ่งที่ตายช้าที่สุด คือความรักที่ไม่มีที่ให้หยั่งราก”
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเ
บทที่ 32 — โลหิตที่ร้องไห้ในแสงเทียนห้องหนึ่งในคฤหาสน์อิคุซะโนะโมริถูกแสงเทียนไหววูบสะท้อนเงาร่างสองร่างบนฉากญี่ปุ่นเก่าซาโยะนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างของเธอสวมเสื้อคลุมบาง ขอบผ้าสีเข้มเปรอะไปด้วยฝุ่นเขม่าจากสนามรบเธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่หลั่งน้ำตาแต่โลหิตในอกกลับกรีดเสียงเจ็บปวดดั่งมีใครร้องเรียกจากอดีตเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง ฮากุโร่ปรากฏตัวโดยไร้ชุดเกราะ มีเพียงผ้าคลุมดำที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและเถ้าถ่าน“เจ้ารอดมาได้...” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่“ทุกคนตายหมด ยกเว้นข้า” ซาโยะพูดช้า ๆ ไม่ใช่คำสารภาพ แต่เหมือนบันทึกของผู้รอดชีวิตเขาไม่ตอบ กลับเดินมาวางดาบของตัวเองลงบนเสื่ออย่างนุ่มนวล แล้วนั่งเคียงข้างเธอ"เจ้ารู้ไหม..." ซาโยะเอ่ยโดยไม่หันมา “ตอนเปลวไฟล้อมข้า ข้าไม่กลัวตายเลยสักนิด”“แต่ข้ากลัวว่า หากข้ารอด... ข้าจะต้องเห็นหน้าเจ้าอีก”คำพูดนั้นเฉือนผ่านห้วงความเงียบอย่างรุนแรงฮากุโร่ไม่ตอบในทันทีเขาหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจุดใหม่ ไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างเงาสะท้อนของซาโยะในม่านตาของเขา“แล้วเมื่อเจ้ารอดจริง ๆ เจ้ารู้สึกอย่างไร”ซาโยะนิ่ง เงีย
ย้อนอดีตของกลยุทธ์ “เพลิงเงา”🧭 เบื้องหลังกลยุทธ์ “เพลิงเงา”จุดมุ่งหมายหลัก:ดึงกองกำลังศัตรูเข้ามาสู่ กับดักซุ่มโจมตีใช้ “เปลวไฟ” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและสายตาใช้ “เงาคน” ทำลายระบบข่าวกรองและสัญญาณสื่อสารศัตรูขั้นตอนการเตรียมตัว:สำรวจพื้นที่เลือกเนินสูง 2 จุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ อิคุซะโนะโมริ เพื่อเป็นฐานตั้งกองกำลังหลัก (A และ B)ระหว่างเนินมีลำธารและพุ่มไม้หนาทึบเป็นทางเดินสำหรับการลอบซุ่มจัดเตรียมเพลิงลวงจุดกองไฟพร้อมเปลาะฟางและกิ่งไม้ลุกไวใน 3 จุด (X, Y, Z) ใกล้ทางเข้าจุดไฟพร้อมกันเพื่อสร้าง “วงเพลิงวงแรก” ระหว่างทางเดินเข้าป่าวางทหาร “เงาซุ่ม”กระจายหมวดลอบโจมตีตามแนวธาร และตามช่องว่างของพุ่มไม้สั่งให้เลี่ยงใช้ธงหรือโซนหมายเหตุระบุตัวแผนยกกองปลอมส่งกองทัพปลอม (ธงปลอม) มุ่งตรงไปยังทางทิศเหนือเพื่อเบี่ยงกำลังศัตรูเมื่อศัตรูเคลื่อนพลตาม มาเจอแต่เงาดับหายไร้เป้าหมาย และถูกล่อลวงเข้าสู่วงเพลิงขณะที่เงาซุ่มอยู่📐 แผนผังสนามรบ (มุมมองจากเบื้องบน) ┌───────────────────────────────────┐ │ ทางทิศเหนือ (กองปลอม) │ │
บทที่ 31 — เพลิงเงาในอิคุซะโนะโมริลึกเข้าไปในป่าภูเขาทางตะวันตกของซาคาเอะ ดินแดนที่เคยเงียบสงบกลายเป็นสนามซุ่มกลแห่งยุทธศาสตร์ — อิคุซะโนะโมริ ป่าที่ชื่อแปลว่า "ไพรสงคราม"เสียงฝีเท้าทหารของสองแคว้นดังสะท้อนผ่านแนวไผ่ ฮากุโร่สวมผ้าคลุมสีเทาเช่นเคย ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก แต่ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวคนตายที่ข้างกาย เขามี ทาคุมะ — รองแม่ทัพผู้รู้เพียงเศษเสี้ยวของอดีต และ อาซึกะ หญิงนักสอดแนมที่เคยล่วงรู้ความลับของซาโยะตั้งแต่ต้น“เรากำลังล่อศัตรูให้ตามแสงเทียน... แต่ไฟที่เผาเราอาจเป็นของจริง” อาซึกะเอ่ยเบา ๆ“แผนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ทาคุมะถาม“เพลิงเงา” ฮากุโร่ตอบเรียบเย็น “จุดไฟจากในเงา... เผาใจศัตรูให้กลายเป็นควันก่อนจะฟาดดาบใส่”ขณะเดียวกัน ซาโยะถูกทิ้งไว้ที่คฤหาสน์มิสุโนะพร้อมกับกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ฮากุโร่ทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทางนางลังเล ก่อนจะเปิดมันภายในคือ สายสร้อยจากเปลือกหอยโบราณ ที่บิดาของนางเคยสวมใส่ และจดหมายเพียงไม่กี่บรรทัด:“แม้ข้าจะเป็นเงา แต่ข้าขอให้เจ้าจำข้าในยามที่แสงอาทิตย์สิ้นสุด”มือของซาโยะสั่น ดวงตาหนักด้วยหยาดน้ำ และภายในใจ... มีบางอย่างที่เริ่มแตกออก —
บทที่ 30 — ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะรุ่งสางปกคลุมคฤหาสน์มิสุโนะด้วยหมอกหนา แสงแรกของวันไม่อาจส่องทะลุม่านสีเทา เหมือนชะตาของแผ่นดินที่ยังไม่รู้ปลายทางซาโยะนั่งอยู่หน้าชานเรือน ใต้ต้นสนโบราณ สวมกิโมโนสีม่วงหม่น ปลายผมยังเปียกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้า นางจ้องมองดาบของบิดา — ที่บัดนี้รู้แล้วว่าผู้ปลิดชีพท่าน ไม่ใช่ชายที่นางเกลียดมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจะโทษใคร? จะรักใคร? จะต่อสู้เพื่อใคร?เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ ฮากุโร่ก้าวเข้ามาอย่างไร้เสียง เงาของเขาทาบลงบนแผ่นพื้นไม้เหมือนเงาของสงครามที่ไม่เคยหายไป“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว“ข้าไม่เคยนอนดีเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้” ซาโยะตอบโดยไม่หันไปเขาเงียบ ไม่ตอบโต้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โดยรักษาระยะห่างพอประมาณ — เหมือนทั้งสองยังเป็นศัตรูในสนามใจ“ข้ารู้ความจริงแล้ว” ซาโยะเอ่ยในที่สุด “เจ้าปิดปากมือสังหาร ไม่ใช่เพราะความยุติธรรม... แต่เพราะเจ้าต้องการอำนาจของตำแหน่งว่าง”ฮากุโร่พยักหน้า“ใช่ — ข้าไม่ได้บริสุทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อเจ้าด้วยมือข้า ข้าแค่เดินเข้าไปในช่องว่างที่สงครามเปิดไว้”“นั่นต่างจากฆ่าเ