บทที่ 1
แสนชัง
“ลาออก?”
หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น
“ค่ะ”
“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย
“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”
เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้ว
ที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้
“กลัวจะบาดใจ?”
ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหว
ตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก
“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”
“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานให้หัวใจต้องคันยิบ
“ฮื้อ เก่ง”
คนไร้ใจขานรับ เพราะปวริศาพูดถูกต้องทุกประการเขานั้นตั้งใจ ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปใกล้คนที่เป็นอดีตไปแล้ว พร้อมหยิบปอยผมที่ร่วงหล่นระใบหน้าเศร้าขึ้นมาทัดหูให้ พลางโน้มใบหน้าลงกระซิบเสียงต่ำ
“ทนอยู่ต่อไปนะ เหมือนวิวาห์ที่ฉันต้องทนมาสองปี” มันทำให้ในหัวใจที่มีตะกอนแห่งความกรุ่นโกรธตีขึ้นเพราะวิวาห์ครั้งนั้นเขาถูกกระชากหัวใจออกไปไกล
ส่วนปวริศาก็เบี่ยงใบหน้าหนี ลมหายใจอุ่นร้อนกำลังเป่ารดใบหน้า
“ถ้าเข้าใจแล้ว นั่นประตู” และนี่คือการขับไล่ตรงๆ
“คุณธร”
ทั้งน้ำเสียงและสายตาส่งไปวอนขออยากให้เขาคิดใหม่ คนใจดำก็สวนกลับมาฉับไว
“ออกไป”
สิ้นวาจานั้นหญิงสาวก็มองด้วยแววตาตัดพ้อ และเห็นว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านใดๆสักนิด
“ค่ะหวานเข้าใจแล้ว”
สุดท้ายก็ต้องเลือกถอยห่าง และรู้ว่าต่อให้วิ่งหนีหายไปซ่อนตัวและเก่งแค่ไหน เขาก็คงมีวิธีหาทางให้กลับมาสยบอยู่ใต้เท้าได้อยู่ดี รู้ดีว่าพายุร้ายลูกใหญ่กำลังจะพัดถล่มมาเล่นงานให้ชอกช้ำหญิงสาวถอยร่นออกห่างพร้อมกำมือแน่น ไม่ใช่เพราะขุ่นเคือง แต่เพราะกำลังกลั้นความปวดร้าวและบังคับให้สองขาเดินต่อไปให้ไหว
เธอไม่รู้ว่าภาธรจะยอมยุติเกมบ้าๆ นี้เมื่อไหร่และไม่รู้ว่าอะไรที่มันจะหยุดก่อน ระหว่างหัวใจเธอและเขา
ไม่ทันจะพ้นวันให้ใจได้ฟื้นสภาพ ปวริศากลับต้องมาเจอความร้ายของภาธรซ้ำอีก
เข็มนาฬิกาบอกเวลาสิบหกนาฬิกา ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของอดีตสามี
ปิ๊บๆ
‘14 พ.ย. ฤกษ์แต่งงานของฉัน’
ปวริศาตาร้อนผะผ่าว ทั้งที่หลายชั่วโมงที่ผ่านมาพยายามตั้งรับและบอกตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาจะไม่เว้นว่างให้ได้เตรียมใจบ้างหรือ จะกระหน่ำซ้ำเติมกันถึงไหน
เพราะกำแพงที่หล่อนพยายามสร้างขึ้นเพื่อป้องกันความร้ายกาจไม่ได้สร้างมันให้เสร็จได้ในวันเดียว
ที่สำคัญตอนนี้ภาธรดูเหมือนไม่มีหัวใจมากขึ้นไปทุกขณะ
ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ปล่อยตัวเองให้จมกับมันเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนปาดน้ำตาที่คลอเบ้าทิ้งและสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะลุกขึ้น พลันมุ่งตรงไปยังห้องเดิมอีกครั้ง
โชคร้ายที่คลาดกับเจ้าของบริษัท เพราะชายหนุ่มมีประชุมกับผู้ถือหุ้น
ปวริศาไม่ได้ลดความตั้งใจที่จะพบเขา เจ้าหล่อนรอที่หน้าห้องทำงาน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง จนกระทั่งล่วงเลยมาสู่เวลาสิบแปดนาฬิกา ผู้ประชุมต่างทยอยกันออกมาจากห้อง โดยเจ้าของบริษัทอย่างภาธรออกมาเป็นคนสุดท้าย
“คุณธร หวานมีเรื่องอยากจะขอ”
“ว่ามา”
เขาทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้แล้วมอง พร้อมกับวางท่าอย่างสบายๆ เอาเข้าจริง หล่อนคิดว่าภาธรก็รู้ว่าเธอมาด้วยจุดประสงค์ใด
“หยุดส่งมันมาหาหวานหวานไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของคุณธรแล้ว” หญิงสาวบอกและปั้นดวงตาให้ดูนิ่งที่สุด ในเมื่อพันธะมันสิ้นสุดและใจเขาก็มีความชิงชัง มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของกันและกันอีก
ที่สำคัญเธอก็ไม่ได้สมัครใจจะรู้เรื่องของเขา
“ก็ฉันอยากให้เธอรู้”
ภาธรบอกพร้อมกับจับจ้องใบหน้าและดวงตาของคนที่ดูมีท่าทางแข้งกระด้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“อย่าแก้แค้นทำร้ายกันแบบนี้ได้ไหมคะ ในเมื่อคุณไม่เคยต้องการหวาน หวานก็จะไปให้แล้ว” ที่ผ่านมาแม้ว่าจะแต่งงานกัน หล่อนก็ไม่ได้ร้องขอให้เขารัก เพราะเจียมตัวดีว่าเขาแต่งเพราะเหตุผลใด
วิวาห์แสนขมในครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะร่างสูงขัดความต้องการของคุณย่าไม่ได้ และเมื่อท่านสิ้นบุญ เธอก็จะปลดปล่อยพันธะนี้ให้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ความแค้นในใจจะไประบายออกที่ไหนดี” บุรุษตัวโตทำท่าทางขบคิดเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อยอึดใจต่อมาก็พูดออกมาทำให้ร่างของคู่สนทนาชาหนึบ
“หรือให้ฉันไประบายกับคุณสรวิศ ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว”
“คุณธรอย่าดึงคุณท่านมาเกี่ยว ต้องการให้หวานทำอะไรหวานจะชดใช้ให้” หญิงสาวส่ายหน้าฉับพลันพลางตัดพ้อ เชื่อว่าที่เขาบีบเธอด้วยวิธีนี้ เพราะรู้ดีว่าตนทั้งรักและเคารพผู้มีพระคุณคนนี้มาก
“อื้ม น่าจะสนุกดี” ชายหนุ่มแย้มยิ้มกว้าง“เป็นตัวแทนไปก่อนจะถึงวันแต่งงานของฉันละกัน”
ภายในอกระบมร้าวไปทั่ว เจตนาของเขาปวริศาทราบดีว่ามันคือการทำให้เจ็บ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะอยากเป็นตัวแทนของใคร
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดอยากจะเป็นตัวแทนของใคร หรือพยายามจะเป็นคนสำคัญของเขาเธออยู่ในที่ที่ภาธรอยากให้อยู่มาตลอด นั่นคือ นอกหัวใจ
“ที่นี่เลยไหม ว่าที่นางบำเรอของฉัน”
ภาธรถาม ชั่วประเดี๋ยวเดียว ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นราวกับมีแผนการใหม่ มุมปากกระตุกยิ้มออกมา
“ไม่เอา เปลี่ยนที่ดีกว่า” พูดจบก็คว้าข้อมือบางแล้วดึงถลาให้เดินตาม
“จะพาหวานไปไหน” เพราะดวงตาที่เจิดจ้าของคนตรงหน้าทำให้ความกลัวมาจุกที่ใจจนแววตาไหวระริก ดูเหมือนว่าวินาทีนี้อดีตสามีพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นบทผู้ร้ายทุกขณะ
“คอนโดฯ ฉันไง”
ร่างสูงตอบเพื่อแถลงไข แต่มันเป็นราวกับประโยคสังหาร
พูดจบภาธรก็เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนตรงหน้า แล้วก็ได้เห็นว่านัยน์ตาดำขลับของปวริศาเปลี่ยนไป มันส่อถึงความกลัว
“ไม่กล้าไปหรือ”
ปวริศาหลุบตาต่ำ แม้อยากจะให้เขาหยุดในสิ่งที่คิด ทว่าคงไม่มีทาง
“งั้นฉันก็คงต้องกลับไปคิดใหม่เรื่องคุณสรวิศ…”
เธอรู้ว่ากำลังถูกบีบให้จนมุม แม้ว่าจะเจ็บประหนึ่งโดนมีดกรีดลงกลางใจ หญิงสาวก็ต้องซ่อนหยาดน้ำตา“หวานจะไป แต่คุณธรจะไม่ได้เห็นน้ำตาของหวานสักหยด” ปวริศาทำใจเข้มแข็งแต่ปากก็ไม่เลิกสั่น
“งั้นดีลฉันจะเตรียมตัวรอดูมันเลยละหวาน”
ชายหนุ่มระบายยิ้มอย่างมีชัยเพราะกำลังบรรลุเป้าหมายก่อนจะดึงข้อมือบางอีกครั้ง ปวริศาจำต้องสืบเท้าตาม
ตลอดทางปวริศานิ่งเงียบและพยายามเก็บความรู้สึกสองเท้าที่ถูกบังคับให้เดินเริ่มช้าลงยามใกล้ห้องหมายเลข 1304 ห้องที่ภาธรไม่เคยให้หล่อนได้เหยียบเข้ามา เพราะมันมีของสำคัญของชายหนุ่มอยู่
วงหน้าเศร้าเจือนลงไปทุกขณะ
เขาไม่รอช้าให้เธอได้ทันเสียใจ เพียงเข้าห้องมาเขาก็บีบคางมนให้เชิดขึ้นแล้วบดริมฝีปากร้อนลงมา โดยไม่สนใจจะเปิดสวิตช์ให้ไฟสว่างขึ้น ภาธรดันร่างบางให้ชิดกำแพง สองมือก็รวบข้อมือบางขึ้นติดกำแพงกักขังอิสรภาพ
จากนั้นจึงเริ่มไล่ลงมาที่คอขบเม้มและฝากรอยไปทั่ว ปวริศาพยายามเก็บเสียง คนมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็รู้ดีว่าสมควรจะทำอย่างไรให้ได้รับชัยชนะ และให้คนที่พ่ายแพ้เป็นปวริศา
กลิ่นหอมจากเนื้อกายที่ไม่ได้มีอะไรปรุงแต่ง บางครั้งมันก็ทำให้ภาธรหลุดจากอารมณ์กรุ่นๆ มานุ่มนวลได้
อื้ม...
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่