“ฮ่าๆ คุณเพลิงนี่ตลกจังเลยนะครับ คุณเพลิงจะมาให้เงินอีขอทานนั่นได้ยังไง”
“จริงด้วย คนระดับคุณเพลิงคงไม่มาสนใจอีขอทานคนนี้หรอก” เหล่าผู้ชายพวกนั้นต่างหัวเราะกลบเกลื่อนความกลัวของตัวเองแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปสบตาแข็งกร้าวของเพลิงไฟก็ถึงกับต้องถอยหลังหนี “รบกวนคืนเงินให้เธอด้วยนะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน” รัญช์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นความเงีบของผู้เป็นนายซึ่งเป็นชนวญที่อันตรายอย่างหนึ่ง และเหมือนเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นจะรู้สึกได้จึงยอมยื่นเงินให้รัญช์ “ให้กูเห็นหน้าพวกมึงเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ากูเห็นมึงรังแกใคร ไม่ใช่แค่มันแต่เป็นคนอื่นกูก็ไม่ปล่อยไว้แน่” เปลวเพลิงพูดจบผู้ชายกลุ่มนั้นก็พากันวิ่งออกไปด้วยความเร็ว เขาแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปมองมายาวีที่ตอนนี้ถอยหลังกรูดเว้นระยะห่างจากเขาแล้ว “เงินแค่นี้ยังไม่มีปัญญารักษาไว้ ฉันว่าชีวิตเธอตัวเธอก็คงไม่มีปัญญารักษามันไว้หรอก” เปลวเพลิงดึงเงินจากรัญช์มาโยนใส่หน้ามายาวีที่ได้แต่ยืนก้มหน้าเม้มปากตัวเองแน่น “รัญช์เก็บเงินมา” แต่จู่ๆ เขากลับสั่งรัญช์ให้เก็บเงินที่โยนไปเมื่อสักครู่ “แต่ว่าเงินนั่…” “เก็บมา คนโง่ๆ อย่างมันไม่สมควรได้ใช้เงินหรอก!” ให้ไปแล้วยังไม่มีปัญญาที่จะรักษาไว้ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นคนโง่ขนาดนี้นี่แหละ “หนู หนูขอมันได้ไหม?” มายาวีที่ได้ยินแบบนั้นรีบก้มจะเก็บเงินไว้แต่รัญช์กลับไวกว่าคว้าเงินพวกนั้นมาได้ก่อน ร่างเล็กถึงกลับหน้าเสีย เงินจำนวนห้าพันที่อาจจะต่อชีวิตเธอได้เป็นเดือนถูกเขายึดคืนไปแล้ว “ฉันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเธอถึงได้มีชีวิตแบบนี้” “คุณคะ หนูขอเงินคืนได้ไหม?” มายาวีไม่ได้สนใจคำพูดของเปลวเพลิงเพียงแต่เอ่ยขอเงินคืนจากเขา “เพราะซื่อบื้อแบบนี้ไง มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหน่อยก็คงถูกหลอกไปขาย” กล่าวจบเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถ มายาวีตั้งท่าจะวิ่งตามไปแต่ถูกรัญช์คว้าแขนเอาไว้ก่อน เขาหยิบเงินในกระเป๋าตัวเองยื่นให้เธอห้าร้อยบาท “คนอ่อนแอยากที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เข้มแข็งไว้นะครับ” อวยพรเธอเสร็จเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถ ยื่นเงินห้าพันบาทคืนผู้เป็นนายแล้วขับออกไปจากบริเวณนี้ ส่วนมายาวีก็วิ่งตามรถเขาออกไปก่อนจะหยุดยืนมองอยู่ข้างทาง มายาวีเดินไปนั่งกอดเข่าตัวเองบนพื้นหน้าตึกร้าง สายตาเหม่อลอยไปตามถนนใหญ่ที่ยังคงมีรถวิ่งพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา เธอมองรถวิ่งแบบนี้แทบทุกวัน มองจนคิดว่าหากชีวิตตัวเองวิ่งได้เก่งและเร็วแบบนั้นคงดีกว่านี้ …. “แล้วฉันจะไปหาหญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจากไหน เด็กสมัยนี้สิบหกสิบเจ็ดก็ร่อนเป็นหมดแล้ว” “แม่ว่าเธอคนนั้นจะบริสุทธิ์ไหมคะ” “ยัยขอทานตัวเหม็นนั่นเหรอ ไม่เอาหรอกนะสกปรก!” “เพราะสกปกรกแบบนี้ไงคะใครจะมาเอา แต่ถ้าเราพาไปอาบน้ำถึงหน้าตาจะแย่ก็แค่แต่งเติมเพิ่งความสวยแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราหาคนให้นายได้แล้วนะคะ” “จริงด้วย แกลองไปถามดูสิสนใจทำงานหรือเปล่า” “โอเค งั้นรอแปป” ว่าแล้วหญิงสาวหน้าคมเข้มผิวสีแทนอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีก็เดินไปหาร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นเหม็นสาบจากตัวเธอจนต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกไว้ “เธออ่ะ ชื่ออะไรเหรอ?” “คะ? คุยกับหนูเหรอคะ?” มายาวีมองหญิงสาวร่างเพรียวสูงตรงหน้าพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็ต้องถามเธอไหมล่ะ” “อ่อ หนูชื่อมายาวีค่ะ” “อืม ฉันชื่อชาช่านะเธออายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเก้าค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หยัดกายลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจกับการที่จู่ๆ หล่อนก็เดินเข้ามาถามทั้งที่ก่อนหน้านี้คนเดินผ่านตัวเธอแทบจะไม่มี “เป็นขอทานเหรอ?” “…” เมื่อก่อนอาจไม่ใช่ แต่ตอนนี้คงใช่..มายาวีไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ เธอดึงกระเป๋าเสื้อผ้าใบเก่าขึ้นมากอดไว้แล้วจ้องหน้าชาช่าเพื่อรอฟังสิ่งที่หล่อนจะพูด “มาทำงานกับฉันไหม?” “งะ งานอะไรเหรอคะ” ถามด้วยความตื่นเต้น แววตาที่สิ้นหวังก่อนหน้านี้เปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวังอีกครั้ง “อืม งานบริการน่ะ ในกลุ่มที่ฉันทำเรียกว่าหญิงงามเมือง” “มันคืออะไรเหรอคะ?” “สนใจรึเปล่าล่ะ นั่นแม่ฉันเขาเห็นเธอน่าสงสารเลยอยากให้โอกาสน่ะ จะลองรับไว้ดูไหมล่ะ?” ชาช่าชี้นิ้วไปยังกีกี้พร้อมอธิบายให้เด็กสาวฟัง มายาวีใช้เวลาครุ่นคิดเพียงสองนาทีนิดๆ จึงพยักหน้ารับอย่างไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป “หนูอยากทำงานค่ะ” เธอบอกด้วยรอยยิ้มหวานๆ “งั้นก็ดี แม่กี้มานี่สิ” หล่อนหันไปกวักมือเรียกกีกี้ที่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสวมแมสไว้เรียบร้อย “ว่าไง” “ตกลงค่ะ ชื่อมายาวีอายุสิบเก้าปี” “อืม หน้าตาก็ไม่ได้ถึงกับแย่ถ้าได้อาบน้ำแต่งตัว…พาเธอไปจัดการให้เรียบร้อย ให้กินข้าวแล้วพักผ่อนก่อนไว้เริ่มงานคืนนี้ ไงก็ยกให้เป็นหน้าที่เธอละกัน” ยื่นเงินให้ชาช่าปึกหนึ่งแล้วกีกี้ก็เดินไปขึ้นรถพร้อมขับออกไป “เธออ่ะตามมา” “เราจะไปไหนกันเหรอคะ?” เอียงคอถามหญิงสาวตรงหน้าแต่ขาก็ก้าวตามหล่อนไปด้วย “ไปทำตัวเธอให้สะอาดไง อย่าถามอะไรเยอะ” “ค่ะ” ตอบรับแล้วเดินตามชาช่าไปจนมาถึงห้องพักของหล่อน “เข้าไปอาบน้ำแต่งตัวรอ ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้ามาให้” เอ่ยบอกคนตัวเล็กที่ก็พยักหน้ารับ หล่อนยื่นผ้าขนหนูผืนใหม่ให้มายาวีก่อนจะออกจากห้องพักไป ส่วนมายาวีที่ได้เห็นห้องน้ำก็รีบเข้าไปจัดการล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดสะอ้าน น้ำเย็นๆ ที่นอกจากฝนแล้วก็ไม่ได้โดนน้ำเลยสักครั้ง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็นุ่งผ้าขนหนูไปนั่งรอชาช่าบนเก้าอี้ ราวยี่สิบนาทีนิดๆ หล่อนก็กลับมาพร้อมถุงเสื้อผ้า ชาช่าชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวที่เธอพามาด้วยกับตอนนี้นั้นดูต่างกันลิบลับ มายาวีสวยใสไร้ที่ติราวกลับว่าเป็นคนละคนกับที่เธอพามา “สายตาฉันนี่มองคนไม่ผิดจริงๆ ชุดนี้ใส่ๆ ไปก่อนส่วนชุดทำงานเดี๋ยวฉันเอามาให้” “ค่ะ ว่าแต่เริ่มทำงานตอนไหนเหรอคะ?” “สองสามทุ่มแหละ เดี๋ยวมารับเธอก็นอนพักอยู่ที่นี่ก่อน ไดร์เป่าผมอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งนะ” “เดี๋ยวสิคะ” มายาวีลุกขึ้นเดินไปคว้าแขนของชาช่าไว้ “มีอะไร” “พี่จะไปหนคะ?” “ฉันก็จะไปทำงานของฉันสิ เธอรีบนอนพักคืนนี้ต้องทำงานหนัก” เดินไปหยิบไดร์เป่าผมเสียบปลั๊กเปิดเครื่องแล้วยื่นมันให้มายาวีที่มีความตกใจนิดๆ หลังจากไดร์เป่าผมเปิดแต่ก็ยอมรับมาเป่าผมตัวเอง “ว่าแต่ หญิงงามเมืองที่พี่บอกมันคือกลุ่มอะไรเหรอคะ?” “กลุ่มที่มีแต่คนสวยๆ ทำงานกันน่ะ” “อ่อ แต่ว่าหนูหน้าตาไม่ดีจะทำได้เหรอ” พูดถึงเรื่องความสวยมายาวีก็เริ่มกดดัน หน้าตาเธอไม่ได้ดีถึงขั้นจะไปพรีเซ็นต์ความสวยแข่งกับใครได้ “ได้สิ เธอสวยกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลยรู้ไหม…ว่าแต่เคยมีแฟนรึยัง?” “ยังค่ะ” “เรื่องแบบนั้นก็ยังคงไม่เคยสินะ” หรี่ตามองสาวน้อยที่มองเธอหน้าเธออย่างไม่เข้าใจกับคำถาม ชาช่าจึงหัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนจะชี้นิ้วไปยังตู้เย็น “ช่างเถอะ ในตู้เย็นมีของกินที่กินได้” “…” ทำไมไม่รู้จู่ๆ เธอก็เริ่มกังวลกับความใจดีแปลกๆ ของหล่อน “ทำไม กลัวเหรอฉันไม่ได้วางยาหรือจะฆ่าเธอหรอก แค่เห็นแล้วรู้สึกสงสารเลยอยากช่วย เธอควรจะขอบคุณฉันนะ ไปล่ะ” พูดอย่างไม่ได้ต้องการคำขอบคุณจริงๆ แล้วชาช่าก็เดินออกไป เช่นเดียวกับมายาวีที่ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า “มีอะไรกินบ้างนะ” เธอเดินไปเปิดตู้เย็นที่ชาช่าชี้ให้ดูก็พบกับผลไม้หลากหลายชนิด มือเล็กเอื้อมไปหยิบส้มกับแอปเปิลอย่างละลูกมานั่งกินบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตัวเล็ก ดวงตากลมโตมองสำรวจห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ภายในมีเตียงนอน โต๊ะและเก้าอี้อย่างละตัวกับตู้เย็น มีห้องน้ำภายในตัวและมีลิ้นชักห้าชั้นไว้ใส่เสื้อผ้าเพียงเท่านั้น มองดูจากการที่ไม่มีของมากมายเธอคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะไม่ค่อยได้อยู่ห้องสักเท่าไหร่ “งานอะไรกันนะ แต่จะงานอะไรก็ช่างเถอะขอให้มีงานทำมีเงินซื้อกินก็พอแล้ว” บ่นกับตัวเองก่อนจะเดินไปล้างไม้ล้างมือมาล้มตัวนอนบนที่นอนเพื่อพักผ่อนรอทำงานในค่ำคืนนี้ คิดว่ามีโอกาสแล้วก็ควรจะรับมันไว้แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสที่ได้รับผลมันออกมาเป็นยังไงก็ตามกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ตอนที่ลูกๆ ของมายาวีเติบโตเป็นสาวเป็นหนุ่มแล้ว ณลิลในวัยสิบเจ็ดปีและเป็นหนึ่งในวัยสิบสามปี ส่วนคุณแม่ก็ปาไปสามสิบปลายๆ และคุณพ่อที่จะห้าสิบอยู่ไม่กี่ปีทว่าความรักของพวกเขากลับไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย“คุณพ่อขา คุณแม่ไปไหนเหรอคะ” เสียงหวานใสของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีอย่างณลิลวิ่งเข้ามานั่งบนพื้นพับเพียงข้างผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านข่าวกีฬาจากไอแพดอยู่ เปลวเพลิงวางไอแพดลงยกมือขึ้นมาลูบผมบุตรสาวอย่างอ่อนโยน“คุณแม่ไปตลาดกับน้องครับ”“วันนี้วันเกิดเพื่อนหนูขอไปได้ไหมคะ?”“รอขอแม่ก่อนไหมครับ”“อือ คุณแม่ไม่ให้ไปอยู่แล้ว”“แล้วคิดว่าพ่อจะให้ไปเหรอ”“ก็คุณพ่อใจดีกว่าคุณแม่นี่คะ ณินก็ไปด้วยนะคะหนูไม่ได้ไปคนเดียว”“หนูเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ จะหัดเที่ยวกลางคืนแล้วเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แข็งหรือว่าอ่อนนุ่มจนเกินไป ณลิลขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟายกแขนขึ้นมากอดอกแสดงท่าทาเอาแต่ใจออกมา“ไม่รักหนูแล้วล่ะสิถึงพูดแบบนี้”“ถ้าหนูดื้อพ่อก็ไม่รัก”“คุณพ่ออ่า” ขยับเข้าไปโอบกอดผู้เป็นพ่อที่มีอายุจะห้าสิบแล้วทว่าความหล่อของเขากลับไม่แผ่วลงเลยสักนิด ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งหล่อดึงดูดสาว
ผ่านไปไม่กี่เดือนคุณแม่มือใหม่อย่างมายาวีก็ได้ให้กำเนินลูกสาว ทุกคนต่างเห่อมาก มาดูและชื่นชมกันไม่หยุดหย่อนแต่เปลวเพลิงคุณพ่อมือใหม่กับเห็นแววดื้อรั้นของลูกสาวตั้งแต่เกิดมาไม่กี่ชั่วโมง ดูจากตอนนี้ที่ร้องไม่หยุดแม้จะมีนมจากเต้าของแม่อุดปากอยู่ก็ตาม…“โอ๋ๆ หนูจะร้องทำไมลูก คุณหมอคะเขาเจ็บหรือเปล่าทำไมร้องไม่หยุดเลย” มายาวีหันไปถามคุณหมอที่กำลังยืนคุยอยู่กับเปลวเพลิงเมื่อลูกสาวตัวน้อยนั้นร้องไม่ยอมหยุด แม้จะอ้าปากคาบนมแต่ก็ยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เด็กร้องน่ะดีแล้ว”“อ่อ เงียบแล้ว” ก้มมองเด็กน้อยในอ้อมอกที่ปิดเปลือกตาลงแล้ว ปากยังคงดูดนมเธออย่างเอร็ดอร่อย มายาวีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อลูกสาวหลับไปแล้วใช้เวลาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลไม่กี่วันก็กลับมาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านจนตอนนี้ครบสามเดือนแล้ว คุณแม่มือใหม่กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแทบทุกวันจนบางคืนคุณพลับพลึงต้องมานอนที่นี่เพื่อช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงหลานสาวตัวน้อยที่อ้อนเก่งเสียเหลือเกิน“ณลิลน้อย ดูดนมเก่งแล้วนะเรา” เสียงหวานใสของคุณแม่ที่นั่งอุ้มเด็กน้อยอยู่ในอกดังขึ้น ดวงตากลมใสจ้องมองลูกสาวตัวน้อยที่ดูดนมจ๊วบจ๊วบหล
บ้านปรัชญา…ภายในบ้านที่กำลังครึกครื้นเมื่อทุกคนยกเว้นเรมิกับรัญช์ต่างพากันมารวมตัวกันเมื่อพูดคุยสังสรรค์กันเป็นประจำแทบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ตอนนี้ปัณณพรกับเปมิศาย้ายมาอยู่ที่บ้านของปรัชาแล้วเพราะทั้งคู่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อเดือนที่แล้วปัณณพรแยกทางกับสามีโดยมีปรัชญาสั่งห้ามไม่ให้พ่อของเปมิศาเข้ามาวุ่นวายที่นี่แต่จะส่งเงินให้รายเดือนเอาซึ่งสองแม่ลูกตกลงเพราะสามีเอาแต่เมาไม่ทำมาหากินตัวปัณณพรจึงไม่ได้ต้องการมาสร้างปัญหาให้ตัวเองสักเท่าไหร่“แล้วทำไมหนูเรมิไม่มาล่ะ” ปัณณพรเอ่ยขณะกำลังล้างผักเพื่อเตรียมอาหารให้เด็กๆ อยู่ในครัวกับลูกสาวคนสวยที่คอยเป็นลูกมือ“ตีกันกับพี่รัญช์มั้งคะ”“ตีกีนจริงไหม?”“ก็ทะเลาะกันปกติแหละค่ะ เถียงกันนิดๆ หน่อย”“เรมิเอาแต่ใจครับ พอถูกรัญช์ตามใจก็เคยตัวแต่ช่วงนี้รัญช์มันเริ่มเอาจริงเรมิก็เลยงอแงน้อยใจ” ปรัชญาที่นั่งหั่นเนื้อสัตว์อยู่บนโต๊ะกลางครัวเอ่ยขึ้นบ้าง เขารู้มาจากเปลวเพลิงว่าช่วงนี้รัญช์ดุขึ้นซึ่งนั่นคือนิสัยที่แท้จริงของหมอนั่นและที่ดุก็คงเพราะภรรยาสาวของตัวเองคงจะดื้อมากจนเกินไป เขาไม่ได้ห้ามหรือเข้าไปยุ่งเพียงแต่แค่กำชับรัญช์ไว้แค่สองอย่างคือเรื่องนอ
หลายเดือนต่อมา…“พี่เพลิงคะ” เสียงหวานของหญิงสาวร่างเล็กเอ่ยเรียกแฟนหนุ่มที่กำลังปลูกดอกไม้อยู่หน้าบ้าน เขาละมือจากงานตรงหน้าเพื่อหันไปมองแฟนสาวที่กำลังเดินตรงมาทางเขา“ว่าไงครับ?”“พี่เรมิโทรมาชวนไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ ขอไปนะคะ”“อืม รอพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ”“หนูไปคนเดียวไม่ได้เหรอคะ?”“นัดผู้ชายไว้?” ถามเสียงเข้มๆ จ้องหน้าแฟนสาวอย่างจับผิด ร่างเล็กส่ายหัวให้ก่อนจะจูงมือหนาพาเดินเข้าไปในบ้าน“มีผู้ชายให้นัดก็ดีสิคะ”“แล้วทำไมถึงอยากไปคนเดียว”“พี่เรมิอยากมาระบายเรื่องความรักกับพี่รัญช์ พี่เขาบอกว่าไม่อยากให้พี่ไปกลัวพี่จะไปหาเรื่องพี่รัญช์”“มันทำอะไรเรมิ?”“ก็แบบนั้นแหละ”“มีอะไรกันแล้ว?”“อือ”“แล้วทำไมจะต้องมาระบาย แต่งงานแล้วจะมีเซ็กส์กันก็ไม่แปลกอะไรนี่นา เรมินี่ยิ่งนับวันปัญหายิ่งเยอะนะ”“ก็เพราะแบบนี้ไงคะพี่เรมิถึงไม่อยากให้พี่ไปกับหนู”“และพี่ก็ไม่ให้หนูไปด้วยครับ ท้องอยู่เดินทางบ่อยไม่ดีอยู่บ้านนี่แหละ” บอกอย่างเป็นคำสั่งจ้องหน้าแฟนสาวด้วยสายตาแข็งๆ มายาวีจึงซบหน้าลงบนต้นแขนถูใบหน้าไปมาเบาๆ เหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของ“งื้ออ! แต่หนูอยากไป”“ไม่ครับ ขึ้นไปนอนพักบนห้อง”“พ
หลายวันต่อมา… สุดท้ายวันที่ได้กลับมาบ้านก็ถึงสักที ร่างเล็กลงจากรถวิ่งตรงเข้าไปในตัวบ้านที่จากลาไปเสียหลายเดือนกว่าจะมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดวงตากลมโตมองไปรอบตัวบ้านที่ยังคงใหม่สะอาดน่าอยู่เหมือนกับเมื่อก่อน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ขาเรียวก้าวตรงไปยังรูปภาพพ่อกับแม่ที่ติดอยู่ข้างผนังบ้าน มือเล็กยื่นไปแตะใบหน้าของพวกเขาพร้อมฉีกยิ้มหวานให้ “หนูมาร์กลับมาแล้วนะแม่จ๋าพ่อจ๋า” “กลับมาแล้วก็อย่ามาส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น” จิตรดาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้น หล่อนเบะปากใส่ลูกเลี้ยงที่หันมามองก่อนจะหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านแทนการสบตากับหญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้าน “พี่จันตรีล่ะคะ ไหนว่ากลับมาอยู่ที่นี่แล้ว” มายาวีเดินไปจูงมือแฟนหนุ่มแล้วพากันไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามแม่เลี้ยงจิตรดา “อยู่ในครัว” “พี่ให้ทำขนมหวานให้เธอน่ะ” เปลวเพลิงบอกพลางโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มแฟนสาว มายาวีพยักหน้ารับแล้วมองแม่เลี้ยง “ไม่ได้ไปทำงานเหรอคะ?” “วันนี้หยุด” “อ่อ พี่จันก็หยุดเหรอคะ” “จะถามอะไรมากมา…” เมื่อหันไปสบกับสายตาคมกริบของเปลวเพลิงจากที่จะใส่อารมณ์กับลูกเลี้ยงจิตรดาก็ต้อง
สิบห้านาทีต่อมา…“เมียครับ กลับบ้านกันเถอะ” เปลวเพลิงเดินผิวปากเข้ามาในร้านพร้อมเอ่ยเรียกแฟนสาว ด้านหลังเขามีปรัชญาเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่“คุณปรัช…” เปมิศาเดินไปสำรวจใบหน้าร่างกายของปรัชญาก็พบว่าทุกอย่างปกติเหมือนตอนเดินออกไป มีเพียงแค่สีหน้าเขาเท่านั้นที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “เป็นอะไรเหรอคะ”“ไม่ได้เป็นไร”“แต่สีหน้าคุณดูหงุดหงิดนะคะ”“ก็ไอ้เวรนี่มันให้ฉันจัดการคนพวกนั้นคนเดียวไง!” ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่สบอารมณ์“คุณปรัชจัดการคนเดียวเหรอคะ แล้วพวกนั้นมีกี่คน” มายาวีถามต่อ มองหน้าแฟนหนุ่มที่เอื้อมมือมายีผมเธอพร้อมรอยยิ้ม“ใช่ครับ มันจัดการคนเดียวพวกนั้นก็แค่ห้าคนเอง”“มันน่าภูมิใจมากไหมคะ?”“ก็ประมาณหนึ่งครับ มีพี่ชายเก่ง” ยกหน้ายกตาพูดอย่างกับภูมิใจจริงๆ มายาวีได้แต่ส่ายหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนจะยกมือโบกลาเปมิศาแล้วเดินตามเปลวเพลิงออกไป“จันตรีล่ะคะ?”“วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว”“แล้วผู้ชายพวกนั้น…”“โดนไอ้ปรัชกับไอ้รัญช์จัดการแล้ว เธออยากไปไหนไหมเดี๋ยวพี่พาไป” เปลวเพลิงหยุดเดินเมื่อมาถึงรถ เขายื่นมือไปแตะแก้มนุ่มของแฟนสาวเบาๆ ระหว่างรอคำตอบจากเธอ“อยากกลับบ้านค่ะ แต่ว