ไม่ได้เป็นคนงกนะ แค่รู้คุณค่าของเงินทุกบาทที่ได้มาก็เท่านั้น และจำนวนที่ป้าจันทร์บอกมาก็ทำให้เธอตาโต เพราะมันมากมายกว่าที่เธอทำทุกวันหลายเท่านั้นและแถมได้เป็นเงินก้อนเสียอีกด้วย มันเลยทำให้เธอตาโตใสแจ๋วแวววาวและยิ้มออก
เงินที่เจ้านายป้าจันทร์อาจจะคิดว่าไม่มาก แต่เงินก้อนนี้สามารถต่อชีวิตของเธอและน้าชายไปอีกหลายเดือนทีเดียว อีกทั้งยังสามารถชดใช้หนี้สินให้กับเสี่ยอ้วนพุงพลุ้ยเจ้าของตลาดที่มีชื่อว่า “วสันต์” ได้เยอะเสียด้วย ถ้ามีงานแบบนี้ขอแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้นเอง เชื่อว่าปีเดียวเธอก็สามารถใช้หนี้ที่น้าชายก่อไว้ได้จนหมดแน่นอน
หลังจากกดกริ่งและยืนรอเพียงไม่นาน กันติชาก็ได้เห็นชายร่างสูงใหญ่ โดดเด่นตั้งแต่ผมสีดำสนิทสะท้อนแสงเงางามน่าจับต้องด้วยกระหายใคร่รู้ว่ามันจะนุ่มเพียงใดยามได้สัมผัสแตะต้อง
‘บ้าแล้ว นี่เราเป็นอะไรไปนี่’ กันติชาพึมพำอย่างงุนงง เมื่อห้ามสายตาให้ไล่มองเค้าโครงหน้าที่แข็งแกร่งและดุกร้าวไปถึงลำคอใหญ่และลาดไหล่ไม่ได้ ดวงตากลมโตเป็นประกายพร่างพราวด้วยไม่รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่...เธอกำลังเล่นกับไฟที่พร้อมจะลวกและเผาทั้งร่างกายและหัวใจให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงได้ในพริบตาเดียว
ตึก ตึก ตึก… ‘หยุดนะ...อย่าเต้นอย่างนี้สิ’
ยิ่งชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัวเร็วเหมือนกับกลองสะบัดชัย ด้วยหุ่นใหญ่ล่ำชวนมอง ยามเมื่อเขาก้าวเดิน สาบเสือคลุมที่แยกออกเลยทำให้เห็นแผ่นอกกำยำกับไรขนเส้นเล็กๆ สีดำสนิทที่ขึ้นประปราย ทำเอากันติชาถึงกับหน้าแดงก่ำ รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
สองแก้มร้อนผ่าว ลำขาเรียวยาวสั่นระริก เมื่อไล่มองลงไปแล้วเห็นทุกครั้งที่ชายหนุ่มย่ำเท้าก้าวมาข้างหน้า ทำให้เธอได้เห็นขาแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งและทรงพลัง
‘เฮ้ย...!!! ฉันกำลังคิดอะไรอยู่นี่’
กันติชาร้องครางเสียงแผ่ว รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดแปลกๆ ที่ผุดขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด แม้จะก่นด่าและดุตัวเองในใจ ก็ยังทำให้เธอห้ามความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นไม่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกเช่นนี้กับชายคนที่เพิ่งจะได้เจอหน้ากันครั้งแรก
รัศมีแห่งอำนาจและบางอย่างชวนให้ถวิลหาที่นำพาซึ่งความเร่าร้อนราวจะแผดเผา ก่อเกิดความกลัวแล่นลิ่วเข้ามาเกาะกุมหัวใจดวงน้อย เมื่อร่างหนาเดินมุ่งหน้าตรงมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ ราวกับราชสีห์ที่กำลังขี้เกียจและเพิ่งจะตื่นจากนอนจำศีล แต่ก็มีอะไรบางอย่างบอกว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงม่านมายาหลอกตาเท่านั้น เพราะเพียงแค่เผลอนิดเดียวเจ้าสัตว์ร้ายก็พร้อมกระโดดกัดกินเนื้อสมันนุ่มนิ่มอย่างเร็วไว
‘หยุดได้แล้วยายว่าว’ กันติชาพยายามบังคับให้ตัวเองถอนสายตาจากร่างหนาแกร่งนั่น แต่ทำอย่างไรเธอก็ทำไม่ได้ การเยื้องย่างแต่ละครั้งที่ก้าวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของเรือนกายกำยำและทรงพลังที่ทำให้เธอร้อนวูบวาบราวกับโดนไฟเผา
กันติชายิ้มแหยๆ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ขนลุกซู่ เรือนกายสั่นสะท้านไหววูบขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เมื่อเขาคนนั้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เท้าเรียวยาวพาร่างโปร่งบางถอยไปด้านหลังเล็กน้อย เพราะรัศมีแห่งอำนาจและความดุร้ายระคนวาบหวามที่แผ่กระจายมา
ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับหลุบลงมองพื้นอย่างไม่สามารถประสานสายตาอันคมกริบที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงในทรวงได้ สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ชัดเจนยิ่งขึ้น
‘ทำไมเขาถึงได้ดูดี...ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าเฟอร์เฟ็ก สุดยอดที่สุดต่างหากล่ะ’
ใบหน้าออกเค้าสี่เหลี่ยมแข็งแกร่งและคมคร้าม หน้าตารกครึ้มด้วยหนวดและเคราที่ขึ้นเขียวครึ้ม นอกจากจะสร้างความหวาดกลัวให้แล้ว ยังซุกซ่อนอารมณ์บางอย่างเอาไว้อย่างที่คนมองไม่เคยจะรู้มาก่อนว่ามีอยู่
ราชันย์สบถเบาๆ อย่างหงุดหงิดและรำคาญ เมื่อต้องตื่นเพราะเสียงกริ่งที่ดังหนวกหูรบกวนการหลับนอน แล้วก็ต้องมาหงุดหงิดกับท่าทางตื่นกลัวและตระหนกตกใจในดวงตากลมโตของแม่สาวน้อยร่างโปร่งบางอวบอัดด้วยวัยสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า
เรือนกายสูงโปร่งในชุดเก่าๆ จะขาดอยู่รอมร่อ กลับยิ่งเน้นความอวบอิ่มของสัดส่วนเรือนกายสาว ที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่าจับต้อง เพียงแค่ได้เห็นครั้งแรกก็ทำเอาไฟอารมณ์ในกายเขาถึงกับลุกโชนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกิดอาการกำหนัดอยากจับยายเด็กน้อยมาอัดฟัดอย่างเร็วไว
‘ยายเด็กน่าฟัดนี่ลูกเต้าเหล่าใคร ถึงได้มายืนยั่วให้เขาอยากจับโยนขึ้นเตียงอยู่ได้’ สายตาคมกริบสีนิลวาววับจับจ้องไปบนใบหน้ารูปหัวใจ พวงแก้มใสเป็นสีชมพูระเรื่อชวนให้กดปลายจมูกลงไปดมดอม
วงหน้าส่วนที่เด่นที่สุดนอกจากดวงตากลมโตเหมือนกับดวงตาของสมันตัวน้อย เปิดเผยความกลัวและอยากรู้อยากเห็นและที่สำคัญคืออยากลอง ก็คงจะเป็นเรียวปากรูปกระจับอวบอิ่มเป็นสีชมพูระเรื่อที่ดูท่าจะหวานหอมน่าลิ้มลอง ที่เขาอยากยื่นมือไปคว้ากายโปร่งบางมาจูบให้หนำใจ
‘บ้าชะมัด’ ราชันย์สบถก่นด่าตัวเองที่ดันเกิดความปรารถนาในตัวยายเด็กสาวท่าทางยังโตไม่เต็มที่และเพิ่งเจอหน้าเพียงครั้งแรกคนนี้มาอยู่เหนืออารมณ์และเหตุผล แต่ช่างแม่งปะไร ยังไงเขาก็ไม่คิดจะสนใจใครอยู่แล้วนี่นา ถ้าอยากได้ก็ต้องได้
‘โทษตัวเองแล้วกันหนูน้อย เธอมายั่วให้ฉันอยากเอง’ เพียงคิดว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติสาวน้อยแรกผลิเหมือนกุหลาบแรกแย้มบาน เพราะรู้โดยสัญชาตญาณของนักล่า สาวน้อยตรงหน้าไม่เคยเจอภมรชอนไช ความแข็งแกร่งในเรือนกายที่หลับใหลอยู่ก็ตื่นตัว พร้อมคำสั่งห้ามปล่อยแม่จอมยั่วหลุดรอดมือไปโดยเด็ดขาด
‘ได้ยายเด็กนี่มาครอบครอง เตียงเขาคงได้ร้อนเป็นไฟไม่ต้องหลับต้องนอนกันล่ะ’ รอยยิ้มมาดหมายผุดขึ้นบนมุมหนึ่งของปากหนา ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่สาวน้อยซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ทันจะได้เห็น ดวงตาคมกริบมองลงไปตามส่วนอื่นของเรือนกายสาว
‘อื้อฮือ...อวบอิ่มน่าสัมผัสชะมัด’ ทรวงอกอวบอิ่มดุนดันเสื้อยืดกระชับตัวกำลังสะท้อนขึ้นและลงตามการหายใจ ท้ายสุดดวงตาคมดุก็หยุดที่ช่วงขาเรียวยาวที่โผล่พ้นขอบกางเกงยีนนวลเนียนและดูท่าจะนุ่มน่าสัมผัสจริงๆ
เพียงแค่ได้สบสายตาคมดุราวกับพญาเหยี่ยวที่กวาดมองไปทั่วร่าง เหมือนกับกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกโยนทิ้งไป กันติชาถึงกับตัวสั่นใจสั่น ขาเรียวพยายามจะก้าวถอยไปด้านหลังอ่อนยวบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนต้องยืนอยู่กับที่
‘เธอเป็นบ้าอะไรนี่’
เมื่อถูกจับแขนเอาไว้และตรึงไว้เหนือศีรษะให้เธอทำร้ายเขาไม่ได้ ก็คงจะมีเพียงแค่เสียงจากปากเท่านั้นที่ด่าเป็นน้ำไหลไฟดับ แทบจะไม่ซ้ำคำด้วยสลับหยุดพักหายใจ ก่อนจะพ่นคำด่าออกมาอีกระลอกใหญ่ สองขาเรียวขยับเคลื่อนดันขาแข็งแกร่งที่ทาบอยู่ให้ออกห่างอย่างสุดความสามารถ โดยที่ไม่รู้เลย การกระทำดังกล่าวนอกจากจะพาตัวเองให้หลุดรอดจากเงื้อมมือราชันย์ไม่ได้แล้ว ยังเป็นการยั่วยุและกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาของชายหนุ่มให้ลุกเป็นไฟอีกด้วย “ถามจริงไม่เหนื่อยบ้างหรือไงหนูว่าว ด่ายาวเป็นชุดเลย” ราชันย์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ แกล้งลูบไล้มือใหญ่ไปตามลำตัวเนียนนุ่มจากด้านหลัง เรื่อยขึ้นไปจนถึงขอบเสื้อชั้นใน และวกกลับลงมาตามสีข้าง ก่อนที่ลากเลยไปด้านหน้า “ไอ้คนเฮงซวย ชอบเอาเปรียบคนอื่น ปล่อยหนูนะ ไอ้ที่เสนอไปน่ะไม่ทำให้แล้ว หนูไม่อยู่กับคุณแล้วด้วย ปล่อย...” หญิงสาวกรีดร้องเสียงยาวดังตามมาอีกระลอก ดวงตาคมวามวาวที่มองมาทำให้กายสาวเริ่มสั่นสะท้าน หัวใจเริ่มสั่นไหว เพราะเข้าใจในความหมายนั้นดี ในลำคอเริ่มที่จะแห้งผากจนกลืนน้ำลายติดๆ ขัดๆ เบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งที่ไม่มีหน้าราชันย์อยู่ สมองเริ่มคิด จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที
“แหมคุณ...เอ่อ...โทษนะคะ ถ้าฉันจำไม่ผิดคุณคือคนที่มาขออาหารฉันกินเมื่อคืนใช่ไหมคะ” กันติชาถามน้ำเสียงเหมือนกำลังหัวเราะ “โทษทีนะคะที่ฉันเรียกชื่อคุณไม่ถูก เผอิญว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฉันเลยสงสัย คุณเป็นอะไรคะถึงได้ทำตัวเหมือนเจ้าสัตว์สี่ขาที่คอยแยกขาฉี่ตามแถวสี่แยกนะคะ แบบ...เวลาใครเดินผ่านไปมาหรือมันไม่ชอบใจใคร ก็มักจะส่งเสียงแงดๆ แล้วก็วิ่งไล่งับจนหางสั่น” “เฮ้ย...ยาย...” มือใหญ่ยกขึ้นชี้หน้ากันติชาอย่างเร็วรี่ นภดลโกรธจนเรียกได้ว่าเลือดขึ้นหน้า ใบหน้าคร้ามขาวอย่างคนผิวดีแดงปลั่งลามไปถึงใบหู ประกายในดวงตาแดงจัดและลุกเป็นเปลวเพลิง จ้องคนในอ้อมแขนเพื่อนกึ่งนายเหมือนกับจะเผาไหม้ให้เป็นจุณ “จุ๊ๆ อย่าโกรธซิคะคุณขา ฉันเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง แล้วก็อยากจะเตือนคุณไว้สักอย่างด้วยค่ะ ปากอย่างนี้ระวังจะมีคนเอาสีมาป้ายที่ปากกับหัว จนต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มโรงบาลนะคะ” ใบหน้าสวยยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหวานนุ่ม ไหล่กว้างเลิกขึ้นสูงอย่างไม่แคร์ ทีตัวเองว่าคนอื่นได้ แต่พอเขาสวนกลับก็โกรธ ผู้ชายอะไรไม่แมนเลย...ดวงตากลมโตกวาดไล่มองนภดลใหม่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงศีรษะอย่างไม่แคร
“แกล่ะ ไปไหนมาแต่เช้า หรือว่า...” นภดลปรายสายตามองยายแม่บ้านที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนกำยำด้วยความหงุดหงิด“ไปหาไอ้สิทธิ์มา มีธุระกับมันนิดหน่อย” “อ้าว แล้วไอ้สิทธิ์กลับตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นเมื่อคืนก็มานี่หว่า” นภดลเอ่ยถาม วาดสายตามองไปรอบๆ อย่างคนกำลังขบคิดเรื่องสำคัญ ราชันย์ไปหาสิทธิศักดิ์ทำไม มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ทำไมสองคนนี้ถึงได้ชอบคิดชอบทำอะไรลับหลังเขาเสมอนะ “แกก็รู้ว่าไอ้สิทธิ์เป็นเด็กดี ตื่นเช้าเข้านอนเร็ว เหล้ากินบุหรี่ไม่สูบ แล้วก็เกรงใจแฟนจะตาย ไอ้เรื่องนอนค้างอ้างแรมที่อื่นนะไม่มีทาง อาริตาเช็กตลอดยี่สิบชั่วโมง ถ้าทำได้” ราชันย์แขวะไปถึงเพื่อนรักที่ไม่น่าจะเข้ามาข้องแวะกับกลุ่มของเขาได้เลย เพราะพวกเขาบางคนตะวันไม่ขึ้นไม่กลับเข้าบ้านนอน แต่สิทธิศักดิ์ไม่เคยที่กลับบ้านเกินเที่ยงคืนซึ่งนั่นคือสูงสุดแล้ว ด้วยแฟนสาวเป็นห่วงยิ่งกว่าแม่เสียอีก คอยโทรเช็กเช้าเย็นตลอดจนถึงค่ำคืน ยิ่งวันไหนรู้ว่าไปกับกลุ่มของเขาละก็ แม่โทรเช็กนาทีต่อนาทีเลยเชียวล่ะ แต่อย่างน้อยการมีสิทธิศักดิ์เข้ามาในกลุ่มก็มีเรื่องดีในหลายๆ ด้าน เพราะสามารถพึ่งพาได้ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เพียงแค่โ
ริมฝีปากเล็กขบกัดติ่งหูพร้อมสอดแทรกปลายลิ้นเล็กและร้อนไปในช่องหูกว้าง ในขณะที่มือก็ลูบไล้ปลดเข็มขัดหนัก จิกทึ้งเสื้อโปโลออกจากตัวกางเกงและสอดมือไปลูบไล้อกกว้าง บอกแล้วว่าเธอมันหน้าด้านและเก่งเรื่องจดและจำในสิ่งที่ได้พบเจอ การสอนสั่งของราชันย์ที่มอบให้เมื่อคืนจึงย้อนกลับมาสู่ตัวเขา แม้จะยังไม่เต็มที่เท่าไหร่ก็ตามเถอะ มือเล็กเคลื่อนลงไปด้านล่างอย่างเชื่องช้า และเมื่อถึงบางส่วนของเรือนกายแข็งแกร่ง แทนที่เธอจะทักทายอย่างที่ราชันย์ต้องการ กันติชาเลือกที่จะหยุดและขยับตัวถอยห่าง แต่ยังคงไม่ปล่อยมือจากกายแกร่ง “ว่าไงคะคุณใหญ่ จะตัดสินใจยังไงเอ่ย” หญิงสาวถามเสียงนุ่มและเซ็กซี่เล็กๆ ปลายลิ้นลากไล้ริมฝีปากอย่างเย้ายวนชวนเชิญ ดวงตาเป็นประกายหวานเซ็กซี่ ราชันย์ถึงกับร้อนราวถูกไฟเผา เมื่อเจอกับการยั่วยวนของแม่นางบำเรอฝึกหัด มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้ปลายคางเบาๆ ดวงตาตวัดมองใบหน้านวลเนียนที่มีรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มเชิญชวน ไพล่มือไปจับมือเล็กมาดมดอม ริมฝีปากหนาขบกัดปลายนิ้วเล็กๆ เหมือนกับคนกำลังคิดสะระตะ การทำตามความต้องการของกันติชา แลกกับสิ่งที่เธอจะมอบให้มันคุ้มค่ากันหรือเปล่า ทั้งที่เขาตัดสินใจได้ตั้ง
“โธ่...หนูว่าวก็ พี่คิดถึ้งคิดถึงหนูจริงๆ นี่จ๊ะ หนูไม่คิดถึงพี่บ้างเลยหรือไง” วสันต์เอ่ยอย่างยอมแพ้เมื่อเห็นพวงแก้มอิ่มนุ่มทั้งสองข้างเริ่มมีสีแดงระเรื่อแต่งแต้ม“เอาละๆ ยอมแล้วจ้ายอมแล้ว แหม...น้องหนูว่าวนี่ดุจริงๆ ได้เป็นเมียแล้วจะดุแบบนี้ไหมจ๊ะ” เห็นแล้ว อยากจับมาใกล้แล้วก็จูบสักฟอดสองฟอด ปากก็เหมือนกันน่าจับบดขยี้ด้วยปากหนาๆ สักทีสองที สอดแทรกปลายลิ้นไปในโพรงปากนุ่ม แหม...แค่คิด ร่างกายก็คึกคะนองแล้ว ไฟร้อนผ่าวพุ่งขึ้นทั่วร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธกับคำพูดลามเลียอย่างโจ่งแจ้งที่ได้ยินเต็มสองหู ริมฝีปากอวบอิ่มขบกัดจนห้อเลือด “เสี่ยจะพูดดีๆ หรือให้ฉันเชิญออกจากห้อง” “แหม...น้องว่าวจ๋า พูดกับเสี่ยเขาให้เพราะๆ หน่อยซิจ๊ะ เดี๋ยวถ้าเสี่ยเกิดโมโหเข้า น้องกับน้าจะลำบากนะจ๊ะ” หนึ่งในลูกน้องของวสันต์เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ได้ ดวงตาวามวาวไล่มองไปตามสัดส่วนเรือนกายสาวอย่างโลมเลียและจาบจ้วง “ไอ้...” ฤทธิ์รงค์อดทนรนไม่ได้ด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้า กายผอมแห้งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกพยายามผุดลุกจากเตียง แต่เพราะความเจ็บจากบาดแผลที่มีอยู่เต็มกายเลยทำให้ทำไม่ได้ดั่งใจ จึงได้แต่หงุดหงิดจนต้องระบายคว
“โธ่...หนูว่าวก็ พี่คิดถึ้งคิดถึงหนูจริงๆ นี่จ๊ะ หนูไม่คิดถึงพี่บ้างเลยหรือไง” วสันต์เอ่ยอย่างยอมแพ้เมื่อเห็นพวงแก้มอิ่มนุ่มทั้งสองข้างเริ่มมีสีแดงระเรื่อแต่งแต้ม“เอาละๆ ยอมแล้วจ้ายอมแล้ว แหม...น้องหนูว่าวนี่ดุจริงๆ ได้เป็นเมียแล้วจะดุแบบนี้ไหมจ๊ะ” เห็นแล้ว อยากจับมาใกล้แล้วก็จูบสักฟอดสองฟอด ปากก็เหมือนกันน่าจับบดขยี้ด้วยปากหนาๆ สักทีสองที สอดแทรกปลายลิ้นไปในโพรงปากนุ่ม แหม...แค่คิด ร่างกายก็คึกคะนองแล้ว ไฟร้อนผ่าวพุ่งขึ้นทั่วร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธกับคำพูดลามเลียอย่างโจ่งแจ้งที่ได้ยินเต็มสองหู ริมฝีปากอวบอิ่มขบกัดจนห้อเลือด “เสี่ยจะพูดดีๆ หรือให้ฉันเชิญออกจากห้อง” “แหม...น้องว่าวจ๋า พูดกับเสี่ยเขาให้เพราะๆ หน่อยซิจ๊ะ เดี๋ยวถ้าเสี่ยเกิดโมโหเข้า น้องกับน้าจะลำบากนะจ๊ะ” หนึ่งในลูกน้องของวสันต์เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ได้ ดวงตาวามวาวไล่มองไปตามสัดส่วนเรือนกายสาวอย่างโลมเลียและจาบจ้วง “ไอ้...” ฤทธิ์รงค์อดทนรนไม่ได้ด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้า กายผอมแห้งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกพยายามผุดลุกจากเตียง แต่เพราะความเจ็บจากบาดแผลที่มีอยู่เต็มกายเลยทำให้ทำไม่ได้ดั่งใจ จึงได้แต่หงุดหงิดจนต้องระบายคว