อารดาเองก็แลหาตัวต้นเรื่อง ประหลาดใจที่อยู่ๆ น้ำเหม็นๆ นี่ก็ถูกสาดใส่ร่างรสิกา แล้วเธอก็ถึงบางอ้อ ตัวต้นเรื่องมิใช่ลุงคนสวน แต่เป็น...
“โอ...ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ พอดีผมช่วยลุงเขารดน้ำต้นไม้น่ะ ไม่รู้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้”
ศรัณตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ มองสภาพเหมือนหนูตกคลองน้ำเน่าของสาวเจ้าแล้วอยากหัวเราะดังๆ แต่ต้องกลั้นไว้ ช่วยไม่ได้ละนะ อยู่ดีๆ มาตบคุณอุ่นของเขาทำไมล่ะ
“นะ...นาย!? นายเป็นใคร!? เข้ามาบ้านฉันได้ยังไง!”
รสิการ้องถาม ถึงหนุ่มน้อยที่พาร่างออกมาจากแนวต้นโมกข์จะหน้าตาดี แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาควรมาอยู่ในบ้านของคนอื่นอย่างนี้
“ผมเหรอ ผมเป็นสามีคุณอุ่นครับ” ศรัณตอบชัดๆ
อารดาปัดหยดน้ำเน่าเหม็นออกจากตัว มันกระเด็นมาโดนเธอไม่น้อย เรื่องปวดหัวของเธอเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้า และยังไม่จบลงง่ายๆ
“อะไรนะ! สามีงั้นเหรอ!?”
อารดาไม่ตอบโต้ ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“กลับไปอาบน้ำเถอะรุ้ง บอกคนที่บ้านเธอมากินข้าวด้วยล่ะ ฉันจะพูดทุกอย่างตอนมื้อค่ำ”
“อย่ามาสั่งนะ แล้วเรื่องน้ำบ้าๆ นี่ล่ะ”
“ปุ๋ยหมักชีวภาพครับ ไม่ใช่น้ำบ้าๆ กลิ่นมันแรงไปนิดแต่รดต้นไม้แล้วงามเชียวครับ” ศรัณเสนอเกร็ดความรู้ที่ไม่ได้เข้าหูรสิกาเลย
“เงียบก่อนศรัณ”
อารดาปรามเสียงต่ำ ศรัณหุบปากฉับเหมือนไม่ได้พกปากมา
“ฉันไม่ยอมแน่! แกขอโทษฉันเดี๋ยวนี้เลย”
รสิกาท้วงถามการขอโทษจากอารดา ศรัณเป็นงง
“เดี๋ยวนะครับ คนที่โดนตบคือคุณอุ่น”
“แต่ก็เห็นว่าฉันตัวเหม็นขนาดไหน!”
“นั่นผมขอโทษคุณแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ” ศรัณชี้แจง
รสิกาเชิดหน้าไม่สนไม่แคร์ จ้องหน้าอารดาเขม็ง
“ถ้าฉันบอกให้ขอโทษ แกก็ต้องขอโทษสิ ยังไม่ชินอีกเหรอ”
อารดายังเงียบอยู่ ใช่...มันเป็นเช่นนั้นมาตลอด แต่ไม่รู้สิ ตอนที่เด็กคนนี้มายืนเถียงคอแข็งเป็นเอ็นเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ผิด มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ นานแล้วกระมังที่นอกจากพี่พุดซ้อน ก็ไม่เคยมีใครเข้าข้างเธอเลย
“ฉันจะรอที่บ้าน อย่าสายล่ะ”
“ยัยอุ่น!”
รสิกาไม่อยากยอม แต่อารดาหันหลังเดินหนี
“รอดูไปเถอะว่าจะเกิดอะไรขึ้น รอดูได้เลย”
ศรัณเป็นงงเมื่อรสิกาเอ่ยเช่นนั้นแล้วก้าวจากไปด้วยโทสะ เขารีบเดินตามอารดาไป มือไม้ยื่นไปหาหล่อนโดยอัตโนมัติ ยื่นไปหาแก้มที่ถูกตบของหล่อนนั่นอย่างไร
ยามที่ปลายนิ้วของศรัณสัมผัสที่ผิวแก้ม อารดาก็ถอยห่างเขาโดยสัญชาตญาณ หัวคิ้วมนๆ ของหญิงสาวขมวดมุ่น
“ทำไมต้องมายุ่งเรื่องนี้”
“อ้าว? เมียผมถูกรังแกจะให้ผมยืนเฉยเหรอ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะตบคนเมื่อกี้ให้หน้าหันเลย”
“อย่าเอานิสัยอย่างนั้นมาใช้ที่นี่นะ เป็นผู้ชายก็ควรให้เกียรติผู้หญิง”
“แต่ผู้หญิงที่ตบเมียผม ผมควรให้เกียรติด้วยเหรอ”
“ศรัณ!”
“ครับ!”
“เลิกเรียกเมียผมๆ สักทีเถอะ ฉันไม่ชินเลย เราควรต้องมาจับเข่าคุยกันก่อนจะแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเป็นสามีภรรยา” เธอเอ่ยแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“ผมแค่อยากปกป้องเมียผมบ้าง”
อารดาแอบชักสีหน้า เพิ่งบอกเมื่อกี้ว่าอย่าเรียกเธอว่าเมีย แต่ก็หลุดปากพูดจนได้ เขาเอาความเคยชินมาจากไหนกัน เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ
“ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉันนะ”
“ทำอะไรล่ะ” เขาย้อน
“เราเพิ่งรู้จักกัน ทำไมถึงพูดเหมือนว่าเรารู้จักกันมานานจนสนิทสนม และพร้อมจะปกป้องฉัน”
“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ ผิดด้วยเหรอที่ผมเป็นห่วงคนของผม”
“แต่เรายังไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ”
“งั้นเราก็แค่ต้องอยู่ใกล้กัน จะได้เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น”
อารดาเม้มปากเม้มแล้วเม้มอีก เด็กบ้านี่เถียงเก่งเหลือเกิน
“เราแต่งงานกันแค่ในนาม”
“หือ?” ศรัณทำตาโต “ใครบอกคุณกัน”
อารดาอ้ำอึ้ง อันที่จริงนี่ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เธอตกลงกับย่าพร้อม เธอแค่ลองๆ หยั่งเชิงดู เผื่อว่าเขาจะยอม
“ก็...เราไม่ได้รักกัน”
“ผมรักคุณ”
“หา!?”
“เมื่อเช้า ตกหลุมรักจังเบ้อเร่อ”
สองแก้มของอารดาเห่อร้อน อะไรกันนะ พูดตรงๆ แบบนี้ก็ได้หรือ
“เพราะยังเด็กสินะถึงพูดคำว่ารักออกมาง่ายๆ”
“ไม่ง่ายเลย แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้คุณอุ่นสนใจผมบ้าง บางทีเราอาจเป็นสามีภรรยาแค่ในทะเบียนสมรส ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้...เปลี่ยนใจละ” ว่าแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม จ้องเข้าไปในดวงตาของคนที่อยู่ตรงข้าม แน่นอนว่าอารดาไม่อาจทนทานต่อสายตาเจ้าชู้ของเขาหรอก
อารดาไม่รู้จะเถียงเขาอย่างไรแล้ว พูดอะไรออกไปเขาก็ตอบกลับมามากกว่าที่เธอพูดเสียอีก
“กินข้าวเสร็จเราค่อยคุยกันอีกทีแล้วกัน อ้อ...อย่ายุ่งกับรุ้งอีกล่ะ”
“ใคร ผู้หญิงเมื่อกี้เหรอ”
“อือ...เดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก ฉันไม่ชอบมีเรื่อง ฉันเบื่อ”
อารดาตอบแล้วเดินล่วงหน้าไปก่อน
ศรัณครุ่นคิดยามเดินตามร่างบอบบางที่เหมือนว่าพลังความสดใสถูกสูบออกไปจากร่างของหล่อน อารดาเหมือนคนที่อมทุกข์ตลอดเวลา แม้สีหน้าหล่อนวางเฉย แต่ดวงนั้นแสนเศร้าพิกล
เขาไม่เข้าใจว่าผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างหล่อนทำไมถึงมีแววตาเช่นนั้น และเขาคงได้หาคำตอบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ศรัณไม่ได้ตามอารดาไปในทันที แต่กลับตรงไปในทิศทางของห้องครัว คนสนิทของอารดาช่วยแนะนำเขาคร่าวๆ เกี่ยวกับห้องหับในบ้านหลังนี้ พี่พุดซ้อนช่วยเขาหลายอย่าง รวมถึงที่หลับที่นอนในคืนนี้ด้วย แต่ว่า...มันคนละห้องกับศรีภรรยานี่สิ น่าขัดใจชะมัด
ตะวันตกดินแล้วแต่สองพ่อลูกยังไม่กลับมาเลย อารดาร้อนใจทว่าไม่ได้โทรตามเพราะคิดว่าเขาอาจจะยุ่งอยู่ เธอเฝ้ารออย่างอดทน กระทั่งรถของสามีแล่นเข้ามาจอด เขาหิ้วถุงมาเต็มสองมือ กลิ่นขนมนมเนยลอยมาให้เธอได้สัมผัส และแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาไปบ้านเพียงฟ้ามา แต่สุดท้าย เธอก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจ“แม่อุ่นค้าบ”“ครับคนเก่ง เป็นยังไงบ้าง ทำขนมช่วยแม่ฟ้าเหนื่อยไหมเอ่ย”“ไม่คับ! วันนี้พ่อช่วยเราด้วย พ่อแพ็กขนมเก่งที่สุดเลย”อารดาเผลอสบตาสามีไปหนหนึ่ง เธอยิ้มให้เขา ยิ้มให้ลูกชาย แต่รอยยิ้มนั้นไม่สดใสจนศรัณรับรู้ได้“ไปอาบน้ำแล้วค่อยลงมากินมื้อค่ำนะจ๊ะ”“คับผม!” เด็กชายรับคำแล้ววิ่งขึ้นเรือนอารดาไปรับของจากสองมือของสามี มีขนมอบติดมือมาไม่น้อย“วันนี้คงไม่ต้องกินข้าวแล้วมั้ง รัณกินขนมก็คงอิ่ม”“งอนผมเหรอ ผมไม่ได้อยากไปนะ น้าชุนไม่ว่าง ผมเลยต้องไปแทน”เธอยักไหล่ หิ้วถุงขนมไปวางที่กลางโต๊ะใต้ถุนเรือน น้ามาลาโผล่หน้าออกมาดู หยิบบราวน์นี่ไปชิ้น
[16]คือความรับผิดชอบ___________________เครื่องไล่ยุงอันน้อยถูกเสียบเข้ากับปลั๊กตรงต้นเสาที่กลางกระท่อม พุดตานถอนหายใจรอบที่ร้อย มองไปที่หลานเจ้านายแล้วจำต้องถอนหายใจอีกครา“ไปคุยกับย่าอีกรอบเถอะนะคะ คุยกันดีๆ เดี๋ยวท่านก็หายโกรธ”พุดตานแนะด้วยหวังดี อรุณฉายมาหาย่าพร้อมข่าวคราวที่ชวนให้หญิงชราตื่นตะลึง ทั้งสองมีปากเสียงกันไม่น้อย ย่าแค่ต้องการรู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องของหลานสาว แต่เจ้าตัวใจแข็งนัก ใจแข็งเกินกว่าจะยอมปริปาก สุดท้ายเลยถูกย่าไล่ลงเรือนไม่ต่างจากบิดามารดา แต่ว่า...เจ้าตัวจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร กระท่อมท้ายสวนมันไม่สะดวกสบายสักนิด“ไม่เอาแล้วจ้ะน้า แค่มาบอกเรื่องวุ่นวายนี่ ย่าก็เป็นลมไปหลายรอบแล้ว” บอกน้าพุดตานอย่างสำนึก เรื่องมันช่างน่าเศร้านัก ย่าพร้อม...ที่พึ่งสุดท้ายของเธอไม่ยินยอมให้เธอพึ่งพา ตอนนี้ เธอคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว“น้าจะช่วยพูดนะคะ ตอนนี้ย่ายังโกรธอยู่”หญิงสาวยิ้มให้สาวใหญ่ด้วยความขอบคุณยิ่ง แต่เธอทำอย่างนั้นไม่
คนเป็นมารดาเริ่มสติแตก ทำไมลูกที่เฝ้าฟูมฟักดูแลถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้นะ อรุณฉายคือความภาคภูมิใจของเธอ จะมาเป็นแบบนี้ไม่ได้!คนเป็นลูกส่ายหน้าอีกครา เธอไม่รู้จะตอบมารดาอย่างไรดี“หมายความว่าไง ออม...บอกมาลูก ท้องกับใคร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ” โอภาสยังคุยดีกับลูกสาว ตอนนี้ท่านมั่นใจว่ามีสติมากกว่าโฉมชบา“หนู...หนูไม่รู้ เราเจอกันที่บาร์ หนู...ไม่รู้จักเขา ไม่รู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ”“ออม!? นังลูกบ้า! นังลูกไม่รักดี! แกพูดอะไรออกมาฮะ!?”โฉมชบามิใช่แค่ร้องด่าแต่แลหาของใกล้มือ เจอขวดน้ำหอมของอรุณฉายก็คว้ามาปาใส่ร่างเจ้าตัว อรุณฉายไม่ลุกหนี ไม่ตอบโต้ด้วยซ้ำ“ไปเรียกมันมา ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันต้องมารับผิดชอบแก ฉันไม่ยอมให้แกท้องโย้ประจานตัวเองหรอก ฉันอายชาวบ้านเขาได้ยินไหม!?”“แม่คะ หนูแค่ท้องนะคะแม่ หนูไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อย แม่...ช่วยหนูเลี้ยงแกได้ไหม...ฮึกๆ หนูไม่มีใครแล้ว เขาไม่รับผิดชอบ เขาไม่รับผิดชอบหนู แม่รู้บ้างไหม!?”“กรี๊ดดด!!! นังลูกสิ้นคิด! แกคิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ
อรุณฉายน้ำตาไหลพราก ปาดน้ำตาแห่งความอึดอัดใจแล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เธอไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทำแท้งไปดีกว่า จะได้จบๆ ไป“คิดเสียว่าวันนี้ไม่ได้เจอฉันก็แล้วกัน” บอกเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวจากมา ชนนท์ตามเธอมาติดๆ เขาพยายามรั้งเธอไว้ เรียกชื่อเธอ ดึงแขนเธอ แต่ว่า...ไม่ได้พูดสักคำว่าอยากยอมรับลูกเธอ แล้วเธอจะยอมเขาไปทำไม“อย่าเพิ่งไปสิ! อย่าเพิ่งใจร้อนได้ไหม ค่อยๆ คิดก่อน” เขาเอ่ยอ้าง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองเมื่อชนนท์พูดเสียงดัง“ฉันไม่อยากรอ ฉันรอไม่ได้ ฉันเครียดรู้ไหม ฉันเพิ่งยี่สิบเอ็ดและฉันไม่เคยท้องมาก่อน ฉันทั้งกลัวทั้งสับสนไม่ต่างจากนาย และอย่ามาพูดว่าให้ฉันใจเย็นๆ ถ้ามาเป็นฉัน นายจะเย็นได้ไหมล่ะ ลองมาเป็นฉันดูไหม!”เธอผลักเขาออกเต็มแรง วิ่งไปขึ้นรถของตัวเองอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่ก่อไว้ เธอขับรถออกมาด้วยความเร็ว บางทีนะ...บางทีการทำแท้งอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ชนนท์มองตามรถของอรุณฉาย ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เขากลับไปที่โต๊ะ หยิบมือถือมาต่อสายหาหล่อนแต่หล่อนไม่ยอมรับเลย หล่อนหน
“หมายความว่าไง” เธอสวนทันควัน ไม่ชอบใจเสียงนี้ของตัวเองเลย มันเหมือนเสียงนางมารร้ายอย่างไรก็ไม่รู้“ก็...ในฐานะที่เธอเป็นแม่ของฟีฟ่า ในตอนที่เลิกกัน ผมควรให้อะไรเธอบ้าง...อย่างเช่นค่าเลี้ยงดูอะไรอย่างนี้”อารดาหันหลังให้สามีทันควัน เรื่องอะไรต้องเอาเงินไปให้คนอื่นด้วย ถึงเขาจะมีเงินมากมาย แต่ต้องเอาไปให้เมียเก่า เธอก็ไม่ชอบนะ แค่ต้องออกค่ากินค่าเช่าบ้านให้ เธอก็คิดว่ามากพอแล้ว“ไม่รู้! แล้วแต่เถอะ!” เสียงห้วนๆ หลุดออกจากปาก เธอหงุดหงิดเพราะเสียงตัวเองอีกแล้วศรัณยกมือยอมแพ้ในนาทีนั้น“ครับ! แล้วแต่...แล้วแต่แสดงว่าไม่โอเค ไม่โอเคก็ไม่ให้แล้วกัน ให้เท่าที่ให้ได้นั่นแหละ”รอยยิ้มสมใจปรากฏที่ใบหน้าของอารดา หญิงสาวพอใจยิ่งนักกับการตัดสินใจของสามี เธอขยับไปโอบร่างเขา ไม่พอใจก็ปีนขึ้นนั่งบนตัก ศรัณกอดเอวเธอไว้“วันนี้จะทำอะไรดีครับ”“เข้าสวนพร้อมรัณดีไหม”เขาส่ายหน้าพรืด “อยู่บ้านสอนหนังสือฟีฟ่าดีกว่า เพราะวันนี้แม่เขาไม่อยู่ คงไม่ได้แวะไปหากัน น้ามา
คนเป็นลูกบ่นให้มารดาขณะรอเจ้าบ้านให้ลงมาที่โต๊ะอาหาร ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นคราวโน้น เธอรู้สึกว่าน้าชายของเธอเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดจากับมารดาเท่าไหร่ หรือหากพูด ก็พูดตามมารยาท ไม่ได้ดูเกรงอกเกรงใจเท่าที่ควร มันแปลกไปจนเธอรู้สึกได้ เรื่องนั้นที่ทำให้อารดาฟิวส์ขาด คงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในบ้านนี้เปลี่ยนไป เธอไม่สนหรอก ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่อารดาไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ดีใจมากแล้ว เจ้าหล่อนลาออกจากงานอีก ยิ่งเข้าทางเธอเลย“ตักข้าวเถอะพุดซ้อน”โอภาสบอกพุดซ้อนตอนที่นั่งลงยังหัวโต๊ะ โฉมชบาช่วยขยับเลื่อนจานกับข้าวไปตรงหน้าสามี มองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือน้อยลงแล้วรู้สึกแปลกๆ ต่อให้ไม่ค่อยได้รักใคร่ปรองดองกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังชอบใจให้ทุกคนอยู่กันครบ ไม่ใช่หายไปทีละคนสองคนอย่างนี้“คิดถึงยัยอุ่นเหมือนกันนะคะ”โฉมชบาเอ่ยขึ้น พี่สาวของสามีเลยได้เลิกคิ้วสูง“เพิ่งรู้ว่าหล่อนก็เอ็นดูลูกเลี้ยงนะแม่โฉม”โฉมชบาคอแข็งขึ้นมา เชิดหน้าใส่อรดีอย่างไม่เคยทำมาก่อน“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้เอ็นดูอะไรยัยอุ่นมากมาย แต่ฉันมั