เมื่อท่านลุงเห็นว่านางยื่นถุงห่อข้าวใส่มือตนเองก็เอ่ยถามออกมา
“เสี่ยวเมิ่ง แล้วเจ้าไม่เข้าไปกินข้าวกับลุงกับป้าเจ้าหรือ? ”
“ข้าห่อมาให้แค่ท่านลุงกับท่านป้าน่ะเจ้าค่ะข้าอยากให้พวกท่านช่วยชิมฝีมือข้าสักหน่อย ไว้วันหน้าข้าจะมาเอาคำตอบว่าอร่อยหรือไม่ สิ่งนี้เรียกว่าข้าวมันไก่เจ้านะเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นท่านลุงรีบเข้าไปกินเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน ยังไงข้าคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ” เมิ่งฮวานางเอ่ยพร้อมกับโบกมือลาท่านลุง แล้วก็เดินหันหลังกลับจวนทันที
…
ทางด้านตระกูลลี่
“มีอะไรหรือตาแก่ สรุปว่าใครมาเคาะประตูเล่า? ” นางจูที่นั่งรอสามีอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แต่ก็ยังไม่เห็นสามีเดินกลับมาเลยเดินมาดู แต่ออกมาก็ไม่เห็นเจอใครเลยเอ่ยถามสามีออกมา
“เสี่ยวเมิ่งน่ะ นางเอาอาหารที่นางทำมาให้พวกเราชิม” เขาเอ่ยตอบภรรยา
นางจูชะโงกหน้ามองออกไปทางด้านนอกประตู พร้อมกับเอ่ย
“อ้าว แล้วไหนเสี่ยวเมิ่งเล่า ไปไหนแล้วเล่า นางกลับไปแล้วหรือ? ”
“นางเดินกลับบ้านไปแล้วน่ะ พวกเราก็รีบปิดบ้านเข้าไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียรสชาติเสียก่อน” เขาเอ่ยบอก พร้อมกับเดินนำภรรยาเข้าบ้านไปทันที
นางจูก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เดินตามสามีเข้าบ้านไปที่โต๊ะกินข้าวเลยทันที หลังจากนั้นก็จัดการกับอาหารที่เมิ่งฮวาห่อมาให้ใส่ถ้วยชามอะไรจนเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมือกินข้าวกันทันที
ชายสูงอายุอย่างลี่คุนก็ไม่รอช้ารีบตักข้าวฝีมือเมิ่งฮวาเข้าปากทันทีเพราะเขาเองก็รู้ว่ารสมือของเมิ่งฮวานั้นดีเพียงใด เพียงแต่อาหารที่นางเรียกว่าข้าวมันไก่ เขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนไหนจะไม่เคยได้กินอีกด้วย
“ตาแก่นี่! เจ้าจะรีบกินอะไรขนาดนั้น ห๋า! เดี๋ยวก็ได้ติดคอตาย ค่อยๆ กินสิ” นางจูที่เห็นสามีตักอาหารฝีมือเมิ่งฮวาเข้าปากไม่หยุดไม่หย่อนก็ถึงกับต้องเอ่ยดุสามีออกมา
นางเองที่เห็นสามีกินช้าลงแล้ว ก็เลยตักข้าวเข้าปากตนเองด้วยเช่นกัน
“หืม… ฝีมือของเสี่ยวเมิ่งอร่อยไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ รสชาติเช่นนี้ข้าไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ช่างแปลกยิ่งนักแต่ก็อร่อยมากเช่นกัน” นางจูเอ่ยชม พร้อมกับตักข้าวเข้าปากอย่างไม่หยุดพัก
สองสามีภรรยาต่างก็ผลัดกันพลุ้ยข้าวเข้าปากกันอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีข้าวมันไก่ในจานก็พร่องไปจนตอนนี้เกลี้ยงจานไปเสียแล้ว
เอิ้กกก
เมื่อทั้งคู่ที่รู้สึกตัวว่ากินอาหารไปเยอะมากก็ตอนที่อาหารหมดแล้วตัวเองก็รู้สึกแน่นท้องจนขยับตัวแทบจะไม่ไหว แถมยังหลุดเสียงเรอออกมาดังลั่นแล้วนั่นเอง …นางจูเองก็ได้แต่ลูบหน้าท้องตัวเองป้อยๆ ด้วยความอิ่ม
…
ตัดกลับมาที่ด้านเมิ่งฮวา
นางที่หิวจนจะทนไม่ไหวแล้วเช่นเดียวกัน ก็จัดการข้าวมันไก่ใส่จาน พร้อมกับตักน้ำซุปใส่ถ้วยแล้วก็ยกเข้าไปนั่งกินที่โต๊ะอาหาร
นางก็ไม่รอช้ารีบราดน้ำจิ้ม แล้วใช้ช้อนตักข้าวมันไก่เข้าปากทันที
“งั้มๆ อื้ม! อร่อยมาก ข้าล่ะคิดถึงอาหารรสชาติของโลกที่ข้าจากมาจริงๆ ” เมิ่งฮวาตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ
[เจ้าอย่าเศร้าไปเลย หากเจ้าอยากกินอะไรเจ้าก็ทำเองเลยสิ] เสี่ยวเปาเอ่ยปลอบใจ
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วสิ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ข้าก็กลับไปกินอาหารของโลกแห่งนั้นไม่ได้แล้ว ข้าก็ต้องลงมือทำเอง! งั้มๆ ” เมิ่งฮวาเอ่ยอย่างฮึกเหิม พร้อมกับตักข้าวเข้าปาก
[ใช่แล้วๆ แต่ข้าว่าเจ้าน่ะกินข้าวช้าๆ ลงหน่อยเถิด เป็นหญิงเป็นนางเหตุใดถึงได้กินข้าวมูมมามเช่นนี้] เสี่ยวเปาเอ่ยบ่นเมิ่งฮวาออกมา
เมิ่งฮวาที่ได้ยินก็ถึงกับยู่หน้าออกมาด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับเอ่ยออกมา
“ก็ข้าหิวนี่! เหตุใดเจ้าต้องมายุ่งวุ่นวายกับการกินข้าวแสนอร่อยของข้าด้วยเนี่ย อีกอย่างข้าก็ทำแบบนี้แค่ที่จวนนะ!”
[เห้อๆ ข้าไม่บ่นเจ้าละ] เสี่ยวเปาเอ่ยอย่างท้อแท้
เมิ่งฮวาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกทำเพียงตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งนางกินจนอิ่ม
“อื้อ! อิ่มมาก…” นางเอ่ยพร้อมกับลูบท้องของตัวเองป้อยๆ พร้อมกับหนังตาที่หย่อนลงอย่างง่วงงัน
[ถ้าง่วงเจ้าก็รีบนำถ้วยจานไปเก็บ แล้วไปอาบน้ำแต่งตัวเข้านอนเสีย อย่ามานั่งทำตาเหมือนจะหลับกลางอากาศเช่นนี้]
“อื้อๆๆๆ ข้ารู้แล้วน่า เจ้านี่ขี่บ่นมากเลยจริงๆ ” เมิ่งฮวาบ่นอุบ ทั้งๆ ที่ตาก็จะปิด
นางไม่รอช้าก็รีบลุกขึ้นนำถ้วยจานไปเก็บล้าง แล้วก็เข้ามิติไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เตรียมตัวเข้านอนทันที
“ราตรีสวัสดิ์นะเสี่ยวเปา” พูดจบนางก็ผล็อบหลับไปด้วยความง่วงงัน
[ราตรีสวัสดิ์ฮวาฮวา ข้าขอให้เจ้านอนหลับได้สนิทขอให้เจ้าไม่ฝัน] เสี่ยวเปาเอ่ยตอบทั้งๆ ที่รู้ว่าเมิ่งฮวานั้นก็หลับไปแล้ว
คร่อก คร่อก ฟี้! z Z
[นอนไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาเสียเลยจริงๆ นะเจ้าน่ะ หึ!] เสี่ยวเปาเอ่ยออกมาเพราะเห็นว่านางนั่นนอนฉีกแข้งฉีกข้า นอนได้ไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย
เสี่ยวเปาเมื่อเห็นว่าเมิ่งฮวาหลับแล้วเขาก็ปิดการมอบเห็นภาพทุกอย่าง ให้เหลือเพียงการสื่อสารกันทางจิตได้อย่างเดียว
.
.
ยามอิ๋น (03:00-04:59 น.)
เมิ่งฮวาที่นอนพลิกตัวไปมา ไม่นานก็รู้สึกตัวตื่นนอน นอนกระพริบตาปริบๆ อยู่ลนเตียงใหญ่
“ฮ๊า… เป็นเช้าที่สดใสดีจริงจริ๊งงง~ เมื่อคืนนะข้านอนหลับสนิทมากไม่ฝันอะไรสักแอะเลยแหละ…” เมิ่งฮวาลุกขึ้นมานั่งทั้งสภาพที่หัวฟูๆ แล้วก็เอ่ยเล่าออกมาอย่างกระตือรือร้น
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป