บทที่ 6 ~ ลูกบ่าวอก
“โยมมาเถอะ”
ศศินาเดินตามหลวงพ่อไปยังเมรุเผาศพ มองสัปปะเหรอกำลังลากแผ่นสังกะสีออกมาจากใต้ถุนเมรุ
ยามเช้ามืดของภาคเหนืออากาศเย็นจัดจนเธอต้องสวมเสื้อกันหนาวทับอีกตัว เธอมองกองขี้เถ้าของคนร่างสูงใหญ่อย่างพ่อเลี้ยงตาที่เหลือไว้เพียงก้อนกระดูกไม่กี่ชิ้น
“โยมเลือกเลย เอาที่เป็นก้อนใหญ่สักหน่อยนะ แล้วนี่จะลอยอังคารหรือเก็บไว้ล่ะ”
“ลอยอังคารค่ะหลวงพ่อ”
ศศินานั่งยอง ๆ ลงข้างสังกะสีที่เย็นตัวลงแล้ว เธอใช้ไม้เขี่ย ๆ เลือกหยิบชิ้นกระดูกของพ่อเลี้ยงตาวางไว้บนผ้าขาวบางที่หลวงพ่อช่วยปูไว้ให้
“เท่านี้พอแล้วค่ะหลวงพ่อ”
“เอาล่ะ งั้นก็ห่อแล้วสวดสักหน่อยนะโยม”
ศศินามองมือเหี่ยวย่นของหลวงพ่อโรยกลีบดอกดาวเรืองบนเถ้ากระดูกพรมน้ำมนต์แล้วผูกผ้าขาวบางห่อเถ้ากระดูกไว้ข้างใน เธอพนมมือขึ้นเมื่อหลวงพ่อเริ่มสวดแผ่เมตตา
“เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว คุณก็นำท่านไปทำบุญเช้าเสียก่อนแล้วค่อยจัดการต่อ”
ศศินากราบบนพื้นสามครั้งรอจนกระทั่งหลวงพ่อเดินห่างไปจึงลุกขึ้นยืนพร้อมห่อผ้าในมือ
ในศาลาวันนี้มีคนมาถวายมื้อเช้ากันแล้ว เธอเดินขึ้นไปบนศาลาเห็นคณะที่มาทำบุญจำนวนสามสี่คนกำลังเรียงจานอาหารเป็นวง ๆ คนทั้งหมดหันมองเธอเป็นตาเดียวเมื่อเธอขึ้นไปข้างบน
“คุณหนูไปเถอะค่ะ แม่อุ๊จัดไว้ตรงนั้นแล้ว เดี๋ยวรอให้พระท่านสวดให้สักหน่อยเราก็กลับ”
ศศินานั่งลงที่แม่อุ๊เตรียมของไว้ให้มีสังฆทานและบงกชแก้วสำหรับกรวดน้ำพร้อมสรรพ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมาวันเดียวกัน เฮ้ออ”
เสียงแม่นมข้างกายเอ่ยรำพึงรำพันขึ้น ทำให้ศศินาเมื่อวางห่อผ้าลงด้านหน้าแล้ว จึงมองไปยังกลุ่มคณะนั้นอีกครั้ง เห็นหญิงสาวนางหนึ่งหน้าตาสะสวยดั่งคนเหนือ ผมดำขลับเกล้าเป็นมวยไว้ตรงกลางศีรษะ สวมผ้าซิ่นเสื้อเชิ้ตแลดูงามตา
“ใครคะแม่อุ๊”
“อย่าไปใส่ใจเลยคุณหนู แม่อุ๊ก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
แม่อุ๊เพิ่งรู้สึกตัวรีบบอกปัดทันที ใบหน้าร้อนรนแปลกไป
“พวกเปิ้นเป๋นคณะคุณนายนายอำเภอ เจ้าไปตางใดมา[1]จึงบ่ฮู้จัก”
เสียงแม่อุ๊ยที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ได้ ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่ดวงตายังสดใสจ้องเธอจริงจัง
“เจ้าเป๋นลูกเฮือนใด๋ บ่เคยหันหน้า”
“ไร่เดือนฉาย”
สิ้นเสียงคำว่าไร่เดือนฉาย ศศินาพลันรู้สึกถึงความเงียบสงัดบนศาลา ทุกคนหันหน้าหนีก่อนจะก้มลงกระซิบกระซาบบางอย่างให้กัน
“เหอะ ลูกบ่าวอก[2]ตาก๋า ป๋อเจ้ามันขี้วอก จ๊าดหมา[3]ขนาด ลงเฮือนศาลาไปสะ!!”
“อี่อุ๊ย จะไปปาก[4] เจ้าสิขี้วอก[5] ปากจ้าดนั่กคุณหนูอย่าไปฟังค่ะ”
ยามนี้ศศินาใบหน้าซีดเผือด ถึงแม้เธอจะรู้ว่าคนในอำเภอจงเกลียดจงชังพ่อเลี้ยงตา คนขี้โกงที่ดินชาวบ้านมาเป็นของตัวเอง แต่เธอไม่เคยพบเจอชาวบ้านจัง ๆ สักครั้ง
“พู้นหันก๊ะ ว่าที่แม่เลี้ยงชัยสงคราม ป้อเจ้าเญี่ยะ[6]ป้อเลี้ยงพันแสงไว้จ้าดนั่ก[7] ”
“ฮาหนี้บะเฮ้ย[8] แม่อุ๊ย คุณหนูไปกันเถอะลงจากศาลาไปก่อน ค่อยไปขอให้หลวงพ่อสวดที่กุฏิก็ได้ค่ะ”
แม่อุ๊ดึงมือของศศินาขึ้น เธอยังได้ยินเสียงคำเมืองด่าตามหลัง ร่างเล็กก้าวเท้าลงบันไดศาลาวัดประจำอำเภอ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย เธอหอบห่อเถ้ากระดูกลงจากศาลาพร้อมแม่อุ๊
“คุณหนูอย่าไปฟังพวกปากดี กลับบ้านกันเถอะค่ะ วันพรุ่งค่อยมาใหม่”
“แม่อุ๊ แล้วที่แม่อุ๊ยพูดถึงว่าที่แม่เลี้ยง?”
ศศินายังดึงดันถามก่อนที่จะขึ้นรถ แม่อุ๊เพียงชะงักไปนิดก่อนจะตอบคุณหนู
“เขาก็แค่ลือกัน เพราะเห็นพ่อเลี้ยงแสงไป ๆ มา ๆ ที่บ้านนายอำเภอมาสักระยะหนึ่งแล้ว”
ศศินาก้าวขึ้นรถยังมึนงง เมื่อคืนจากปากที่พ่อเลี้ยงพันแสงพูดคือต้องการให้เธอไปเป็นเมียบำเรอ แต่เช้าวันนี้เธอกลับพบว่าพ่อเลี้ยงพันแสงมีคนรักอยู่แล้ว
“คุณหนู มันก็แค่ข่าวลือ คุณหนูไม่ต้องไปใส่ใจหรอกค่ะ ไป ป้ออุ๊ยคำปิกเฮือน”
[1] ไปที่ไหนมา
[2] คำด่า ไอ้โกหก
[3] คำด่า ชาติหมา
[4] หุบปาก
[5] ขี้โกหก
[6] ทำ
[7] มาก
[8] โธ่โว้ย
บทพิเศษ 2ใจดวงเล็กทั้งตื่นตระหนก ทั้งตื่นเต้นปะปนคละเคล้ากันไป กายสาวสั่นระริกไปทั่วร่าง สัมผัสแปลกใหม่ทำสาวแรกรุ่นใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งอยากรู้อยากลอง ต้องการเป็นของเขาทั้งตัวทั้งใจ ยินยอมขยับต้นขาเปิดออกให้ปลายนิ้วแทรกลงกลางไรขนอ่อนนุ่มราวผ้าไหม“เดือน อ่า นุ่มมือมาก”หน้าเข้มขยับเลื่อนขึ้นซอกคอสูดกลิ่นกายสาวดูดขบเม้มเนื้ออ่อนใกล้จุดชีพจรแสนอ่อนไหวตรงฐานลำคอนิ้วสัมผัสกายสาวฉ่ำชื้นแทรกลงตรงกลางกลีบแหวกออก ส่งนิ้วชี้ลูบไล้จนกระทั่งพบเม็ดเล็กกลางร่องงาม ร่างเล็กสะดุ้งขึ้นยามเขากดลงแรงคลึงเม็ด“เดือนจ๋า คนดี พี่ขอได้ไหม”สาวน้อยไร้ประสบการณ์ไม่เข้าใจสิ่งที่พันแสงถาม เธอเอียงหน้าไปอีกทางยามเขาซุกไซ้ลำคอ มือแกร่งด้านล่างยังล้วงลึก อีกมือกอบกุมทรวงงามบีบเคล้นลงแรงเต็มมือ ร่างเล็กนอนระทวยทำได้เพียงแอ่นร่างรับไฟพิศวาสส่งเสียงครางในลำคอ กระทั่งนิ้วของคนด้านบนเริ่มสอดใส่เข้าไปทางร่องรักจึงได้รู้สึกตัว“พี่แสง อ่า ไม่ได้นะ อื้อ อ่า อย่า อย่าสอดนิ้วเข้าไป”เสียงห้ามปรามแผ่วเบาปนกระเส่า น้ำหวานเอ่อล้นสวนทางกลับเสียงร้องทักท้วง นิ้วยาวเรียวส่งเข้าทาง แม้ว่าไม่ถนัดถนี่นักแต่ยังพอเข้าไปได้“โอ้! เด
บทพิเศษ 1หกปีที่แล้ว“มา ๆ หนูเดือน มากินกัน”ศศินารีบวิ่งนำพันแสงมาจากทางเนินเขาหลังบ้านเมื่อได้ยินเสียงคุณน้าระพีร้องเรียกแต่ไกล“พี่แสง เร็ว ๆ สิ เดือนหิวแล้วนะ”เสียงหัวเราะหวานใสบนใบหน้าของเด็กสาววัยสิบเจ็ด พวงแก้มยุ้ยออกเล็กน้อยด้วยโฮร์โมนวัยรุ่น ผมเลยติ่งหูแต่ไม่ประบ่าพันแสงมองตามร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์สีซีดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งลายสก็อตสีแดงตัวเก่งที่ศศินาชอบสวม เธอวิ่งไปหัวเราะไปจนเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินหยอกล้อไปกับเสียงหวานใสผสมผสานเสียงของลมหนาวที่กำลังพัดผ่าน นำกลิ่นใบยาสูบที่บ่มอยู่ในโรงบ่มกำจายโดยรอบบ้านไม้สองชั้นกลางไร่ยาสูบชัยสงคราม“ค่อยเดินสิ ประเดี๋ยวก็ล้ม”“ไม่หรอกค่ะ ฮ่า ฮ่า เร็วสิ พี่แสงเดินอย่างกับคนแก่”“พี่ไม่ใช่คนแก่สักหน่อย”ศศินาหยุดแล้วหันหลังกลับมายืนเท้าสะเอวมองตรงไปทางร่างสูงใหญ่ผิวสีเข้มผิดไปจากคนเหนือทั่วไป เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มใส่ในกางเกงยีนส์คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลธรรมดา สวมรองเท้าบูธสำหรับใส่ในไร่สีดำ ผมยุ่งเหยิงจากแรงลมที่พัดไปมารอบตัว ดวงตาสีนิลจ้องตอบเธอเปล่งประกายเจิดจ้ามีความสุขวันนี้พันแสงเรียนจบปริญญาโทดั่งที่ตั้งใจไว้ เขากลับมาอยู่บ้านเพื่
บทที่ 30 ~ จบบริบูรณ์พันแสงหยุดรถกลางทางมองศศินาที่หันจ้องหน้าเขาแววตาสงสัย หน้าคมเข้มยิ้มกว้างยกมือเล็กขึ้นจูบ“วันนี้คนที่บ้านเยอะหน่อยนะ”“อะไรนะคะ คนอะไรกันคะ คนงาน?”พันแสงหัวเราะเบา ๆ ชะโงกหน้าจูบปากหวานจิ้มลิ้มแล้วถอยห่างออกมา“เราจะไปไร่ชัยสงครามกัน”“อ้าว ทำไมคะ เดือนจะกลับบ้านนะ”พ่อเลี้ยงปล่อยมือสาวร่างเล็ก หันไปขับรถต่อแต่เลี้ยวเข้าทางไร่ชัยสงครามปล่อยให้ศศินามึนงงสงสัย กระทั่งเข้ามาถึงปากทางเข้าบ้านจึงเห็นลานบ้านมีแต่โต๊ะงานเลี้ยงและเวทีเล็ก ๆ กลางลาน“มีงานเหรอคะ งานอะไรกัน”ศศินาชะเง้อมองคนงานที่กำลังทำอาหารกันวุ่นวาย มีแขกมาบ้างแล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะ“งานแต่งงาน”“หื้อ งานแต่งงานใครคะ”ศศินาเอี้ยวใบหน้าหวานคมกลับมาที่พันแสง เห็นสีหน้ายิ้มกรุ่มกริ่มไม่พูดอะไรแล้วลงจากรถไปเธอรอให้เขาอุ้มร่างเล็กลงรถแล้วประคองเธอเดินตัดผ่านลานบ้านไปยังตีนบันไดขึ้นบ้าน“มากันแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาว”ศศินาทวนคำในใจ เจ้าบ่าวเจ้าสาว เธอมองบนบ้านห้อยทั้งสายสิญจน์และดอกไม้ประดับประดาเต็มเรือน“ไปห้องพี่ก่อน”ศศินาถูกจูงมือแม้เธอจะยังเหลียวหลังมองข้าวของบนเรือน ทั้งบายศรี และยังพานพุ่มดอกไม้เธอก้า
บทที่ 29 ~ ได้โปรดพันแสงขับรถด้วยความเร็วลงเนินเขา ใจเต้นโครมครามเมื่อนึกถึงใบหน้างาม เขามีเรื่องจะบอกเธอ คำพูดที่เขาติดค้างเธอไว้เมื่อหกปีก่อนชายหนุ่มลดความลงเร็วเมื่อถึงโค้งหักศอกใกล้ตีนเขา สังเกตเห็นรถมูลนิธิข้างทางและรถของฝูงชนที่มุงดูเหตุการณ์อีกฝั่งเป็นรถหกล้อบรรทุกรวงข้าวคงกำลังเร่งเพื่อไปให้ทันโรงสีปิดจนเกิดเหตุเขาชะลอรถเพื่อดูรถของผู้เสียหาย แสงอาทิตย์ยามเย็นพาดผ่านเหลี่ยมเขาแมกไม้เป็นเงาทอดยาวสีทองส่องไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่“ไม่ ไม่ ไม่!!”“เอี๊ยด!!”เขาตบพวงมาลัยเข้าข้างทางกะทันหัน ลงจากรถวิ่งข้ามถนนไปยังรถเกิดเหตุอย่า! ขอเถอะ! อย่าเป็นอย่างที่เขาคิด อย่า! ได้โปรด!ช่วงเวลาช่างยาวนานในระหว่างที่เขากระโดดก้าวข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม หัวใจเต้นถี่รัวและบีบรัดแน่น ช่องท้องมวนขึ้นตีจนจุกถึงลิ้นปี่“ป้อเลี้ยง! มาทำอะไรครับ เดี๋ยวครับ”พันแสงไม่ฟังเสียงห้าม เขาแหวกคนมูลนิธิเข้าไปใกล้รถที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่เห็นร่างเล็กในรถ“เธออยู่นี่ครับ”พันแสงมองหน้าคนมูลนิธิ สติยังไม่กลับคืนมา เขามึนจนแยกไม่ออกว่าเสียงที่พูดหมายถึงอะไร“ป้อเลี้ยง ป้อเลี้ยง รู้จักคนในรถเหรอครับ”หน้าคม
บทที่ 28 ~ พราวพิลาสมือใหญ่ยังตัดขนมสาคูไส้หมูออกเป็นสองชิ้นก่อนจะใช้ส้อมเล็กจิ้มเข้าปากตามด้วยพริกเม็ดใหญ่และผักสด มองหน้าแม่รอคำถามต่อไป“เรื่องหนูเดือน”“ครับหนูเดือน”“เขาลือว่าเห็นลูกจูบกันกับหนูเดือนที่หน้าร้านเบเกอรี่ที่หนูเดือนเป็นเจ้าของ จริงหรือเปล่า”“ครับ จริง”เขาจิ้มสาคูชิ้นที่เหลือเข้าปากตามด้วยพริกสดและผัก“ฝีมือแม่อร่อยเหมือนเคย แล้วยังไงครับ”“กะ ก็ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทำไมแม่ไม่รู้”เขาวางส้อมลงแล้วหยิบน้ำขึ้นดื่ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะวางแก้วน้ำลง“ก็ประมาณสามเดือนครับแม่ ตั้งแต่เดือนกลับมางานศพพ่อเลี้ยงตา”ระพีสะดุ้งตกใจ สามเดือนนั้นมันถือว่านานพอสมควร แล้วลูกชายของเธอก็ปิดบังเรื่องนี้มาตลอด“ตอนนี้ผมกับเดือน เรา เอาเป็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วครับแม่”“ได้ยังไง ก็ ก็ลูกอยู่บ้านตลอด”“ผมจะไปเฉพาะช่วงกลางคืนแล้วค่อยกลับมานอนบ้านครับ”“แสง!!”ระพีร้องอุทาน เธอนึกถึงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดร่างเล็กที่เธอเห็นครั้งสุดท้ายในวันเพลิงไหม้ มือเล็กของศศินาประคองร่างเธอไว้ไม่ให้ล้มโดยที่พันแสงยืนชี้หน้าเด็กสาวคนนั้น“แสง แสงบอกแม่สิว่า แสงไม่ได้ทำลงไปเพราะอยากจะแก้แค้น”พันแ
บทที่ 27 ~ อดีตยากจะฝังกลบ“แม่อุ๊”แม่อุ๊ร่างท้วมวางไม้กวาดทางมะพร้าวพิงไว้กับเสาบ้าน เดินไปหาพ่อเลี้ยงพันแสงที่ยืนเสียงอยู่ตรงตีนบันได“เจ้า ป้อเลี้ยง”“ฉันมีเรื่องจะถาม”พันแสงเดินลงมุดเข้าใต้ถุนบ้านที่เตี้ยเกินไปสำหรับเขานั่งลงบนแคร่ไม้ข้างใต้บทที่“ป้อเลี้ยงจะถามหยั่งข้าเจ้า”“เรื่องรอยบนหลังของเดือน”แม่อุ๊สะดุ้งจ้องหน้าเข้มดุเอาเรื่อง นึกสงสัยพ่อเลี้ยงเห็นรอยแผลของคุณหนูได้ยังไง“คุณหนูบ่หื้อผู้ใด๋อู้”“แต่แม่อุ๊ต้องพูด”ร่างท้วมเหลียวมองไปบนบ้านยังได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำแล้วจึงหันกลับมาหาพ่อเลี้ยง“ก็เมื่อปี๋นั้นคืนที่ฉลองงานรับปริญญา ป้อเลี้ยงจำได้ก๋า”พันแสงพยักหน้า เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไรในเมื่อเขาพาสาวน้อยแวะเข้าข้างทางแล้วทำให้เธอต้องเสียสาวเป็นครั้งแรก“ป้อเลี้ยงมาส่งเปิ้นสะค่อนดึ๋ก ป้อเลี้ยงตาเกี้ยดนั่ก[1] เจ๊า[2]มาหื้อคนงานมัดคุณหนูกับเสาพู้น”พันแสงมองตามมือแม่อุ๊ไปที่เสากลมหน้าสุดของใต้ถุนบ้าน หน้าคมเข้มเริ่มเปลี่ยนสี“มัด?”“เจ้า เปิ้นสั่งคนงานมาหันเปิ้นลงแส้ แฮงนั่ก ตะโกนลั่น หื้อจำไว้บ่าต้องแอ่วบ้านป้อเลี้ยงอีก ไม่งั้นเปิ้นจะเผาไฟไร่ชัยสงคราม โอ้ย!ป้อเลี้ย