LOGINเจ้าพ่อหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียไม่ได้ ที่สุดมาร์โบโลก็ต้องยอมจำนนต่อคำอธิบายของแพทย์ด้วยหัวใจเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับมีใครกำลังเอามีดมากระหน่ำจ้วงแทงไม่ยั้ง ใจจริงเขาไม่อยากจะสูญเสียใครไปแม้แต่คนเดียว อยากจะเก็บไว้ทั้งน้องสาวและหลานตัวน้อย หากแต่ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ บางทีเขากับมิเชลอาจจะทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้ก็เป็นได้ แต่เขายังหวังว่าจะได้ทำหน้าที่คุณลุง คอยเลี้ยงดูอุ้มชูลูกของมิเชลที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกแทนผู้เป็นแม่ที่แสนดี หากแต่ไม่มีวาสนาพอที่จะได้อยู่ดูแลแก้วตาดวงใจของเธอด้วยตัวของตัวเอง
“ทำเถอะครับหมอ ขอให้ช่วยชีวิตหลานผมไว้ให้ได้ก็แล้วกัน” ท้ายประโยคคล้ายกับการออกคำสั่งเสียงแข็ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายืดยาว ราวกับจะให้มันช่วยปลดปล่อยความอัดอั้นให้คลายตัวลง
เมื่อได้ใบเบิกทางจากมหาเศรษฐีหนุ่ม ทั้งหมอและพยาบาลก็เตรียมเครื่องมือผ่าตัดเอาเด็กในครรภ์ของผู้ป่วยออก ทุกขั้นตอนจะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างที่สุด เพื่อช่วยชีวิตน้อยๆ ที่มีอายุแปดเดือนในครรภ์มารดาให้ออกมาลืมตาดูโลกด้วยความปลอดภัย
“คุณมิเชลคะ เราจะผ่าเอาเด็กออกนะคะ” คนที่กำลังนอนหายใจรวยรินรับรู้ในวลีที่พยาบาลบอกกล่าวริมหูทุกประโยค แต่ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยอันใดออกมาเพราะเหนื่อยล้าเหลือเกิน จึงทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ ยอมรับการตัดสินใจของแพทย์ทั้งน้ำตา
“มิเชล พี่รักน้องนะ ได้โปรดอย่าจากพี่ไป” ร่างสูงสง่าเข้าไปยืนชิดขอบเตียง ยื่นมือใหญ่ทว่าสั่นเทาฉวยข้อมือที่ไม่ต่างจากหนังหุ้มกระดูกมาแนบที่อกซ้าย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยน้ำคำกับน้องสาวเสียงสั่นเครือ
มิเชลเห็นสีหน้าเศร้าสลดของพี่ชายก็ยกมืออ่อนแรงข้างที่ว่างเว้นจากการเกาะกุมขึ้น หมายจะดึงเอาหน้ากากเครื่องช่วยหายใจออกจากจมูก พยาบาลจึงเข้ามาช่วยอีกแรง ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้สาวไว้ได้ แต่ก็อยากให้เธอมีโอกาสพูดคุยและสั่งลากับพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย
“พะ…พี่มาร์สคะ มะ…มิเชลฝากลูกด้วย…นะคะ” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นฝากฝังลูกน้อยที่จะออกมาจากอุทรในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าไว้กับพี่ชาย นัยน์ตาเศร้าหมองมีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาไม่ขาดสาย
“ไม่ มิเชลต้องหาย และกลับมาดูแลหลานของพี่ด้วยตัวเอง” ทั้งที่ไม่เคยปฏิเสธคำขอของน้องสาวสุดที่รักเลยสักครั้ง แต่หนนี้มาร์โบโลกลับไม่รับปากมิเชลเอาดื้อๆ เพราะต้องการกระตุ้นให้คนป่วยแข็งใจกัดฟันสู้ ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนทรมานนี้ไปได้
“มะ…ไม่ค่ะ มิเชลไม่ไหว มิเชลเหนื่อย…เหลือเกิน” ส่ายหน้าพร้อมขยับริมฝีปากสีซีดปฏิเสธแผ่วเบาราวกระซิบ สีหน้าที่แสดงออกมาการันตีตามคำพูดได้เป็นอย่างดี
“มิเชลไม่สงสารพี่เหรอ ต่อไปพี่ก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว” เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ยังคงไม่รับปากน้องสาว แต่หันมาพูดเชิงตัดพ้อนิดๆ นัยน์ตาสีควันบุหรี่แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์
“พะ…พี่มาร์สก็อยู่กับหลานไงคะ นะคะ ดะ…ได้โปรด” เสียงแผ่วแย้งว่าเธอไม่ได้ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว ท้ายประโยคไม่ลืมที่จะเว้าวอนพี่ชายให้ดูแลลูกน้อยแทนตน
“ก็ได้ มิเชล พี่รับปากว่าจะดูแลหลานแทนมิเชล และจะรักเขาประดุจดั่งลูกในไส้” คำมั่นสัญญาที่พี่ชายได้ลั่นวาจาออกมา ทำให้มิเชลค่อยๆ คลี่ริมฝีปากที่เม้มเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดออกเป็นรอยยิ้มด้วยความสมใจ เธอหมดห่วงแล้วในวินาทีนี้
จากนั้นมาร์โบโลก็ก้มลงบรรจงจูบขมับ เปลือกตาทั้งสอง และข้างแก้มที่เลอะคราบน้ำตา ก่อนจะตัดสินใจปล่อยมือน้อยที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่อย่างอ้อยอิ่งด้วยความอาลัยอาวรณ์ ร่างใหญ่ถอยออกมาจากเตียงคนไข้ เปิดทางให้หมอและพยาบาลได้ทำหน้าที่อย่างสะดวก
หมอใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการช่วยชีวิตทารกน้อยให้ลืมตามาสู่โลกกว้างอย่างปลอดภัยและครบสามสิบสอง ท่ามกลางการลุ้นจนตัวโก่งของใครหลายๆ คน
“แงๆๆๆ” พอลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ ทารกน้อยแรกเกิดตัวแดงๆ ก็เปิดปากสีชมพูระเรื่อรูปกระจับที่ถอดเค้ามาจากผู้เป็นแม่ แผดเสียงร้องจ้าสนั่นห้อง
“คุณได้ลูกสาวค่ะ” พยาบาลนำเด็กไปล้างแล้วอุ้มมาให้ผู้เป็นแม่ที่กำลังหายใจโรยรินได้มองหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะไม่มีโอกาสตลอดไป
เมื่อเห็นว่าน้องสาวคงไม่มีแรงมากพอที่จะรับแม่หนูน้อยไว้ในอ้อมแขน มาร์โบโลก็อ้าแขนรับหลานสาวตัวน้อยแทนเสียเอง ความรู้สึกอ่อนโยนและสัญชาตญาณแห่งการปกป้องดูแลแล่นลิ่วเข้ามาเยือนยังหัวใจกร้าวกระด้างของเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งแรกที่ได้อุ้มเด็กหญิงมิเกล คอฟอร์ด เสียงร้องไห้จ้าทำให้มาร์โบโลถึงกับน้ำตาซึม สงสารและเวทนาหนูน้อยเหลือเกิน พอลืมตาดูโลกก็ต้องกำพร้าแม่เสียแล้ว
“มิเชล หลานสาวพี่น่ารักมากเลย” ชายหนุ่มโน้มตัวลงยื่นเจ้าตัวน้อยในวงแขนให้น้องสาวได้ดู พร้อมทั้งบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากแต่แฝงไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
มิเชลปรือตาขึ้นมองหน้าลูกแล้วยิ้มหวาน ยื่นมือสั่นเทาไปลูบไล้แก้มย้วยที่เลอะคราบน้ำตาเบาๆ ลูกสาวของเธอช่างน่ารักนัก เสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้ดูแลลูกอีกต่อไป อย่าว่าแต่ดูแลเลย แม้แต่ให้นมลูกครั้งแรกในชีวิต แม่อย่างเธอก็ไม่มีวาสนามากพอ
“มิเชลจะให้ยายหนูชื่อมิเกล คล้องจองกับชื่อมิเชล พี่มาร์สว่าดีไหมคะ” น้ำเสียงผาดแผ่วยังคงอุตส่าห์ถามความคิดเห็นของพี่ชาย นัยน์ตาที่คลอขังไปด้วยหยาดน้ำตามองใบหน้าของลูกสาวไม่คลาดคลา ราวกับจะจดจำใบหน้าอันน่ารักน่าชังนี้จวบจนชั่วนิจนิรันดร์
“ถ้ามิเชลชอบ พี่ก็ว่าดีจ้ะ” เจ้าพ่อหนุ่มกัดฟันปั้นสีหน้ายิ้มแย้มให้น้องสาว ทั้งที่ในใจกำลังกลัดหนองและร้าวระบมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“มิเชลฝากบอกยายหนูด้วยนะคะว่าพ่อของแกชื่อ…อธิป” เสียงระโหยโรยแรงบอกพี่ชายถึงสิ่งที่ตนประสงค์และยังค้างคาในใจ แม้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกจะไม่เคยมาดูดำดูดี แต่เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย เพราะเขาคือรักแรกและรักสุดท้ายของเธอ
“ได้สิ แล้วพี่จะบอกหลานให้นะ” พยักหน้ารับคำไปอย่างนั้น แต่ไม่คิดจะบอกหลานหรอกว่าไอ้สารเลวนั่นมันเป็นพ่อของมิเกล
“ขะ…ขอบคุณมากค่ะ มิเชลรักพี่มาร์สกับลูกมากนะคะ ฝากดูแลมิเกลด้วย” ขาดคำร่างผอมแห้งที่นอนแหมะอยู่บนเตียงก็เกร็งกระตุก ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ และที่สุดมิเชลก็จากไป
“มิเชล!” เสียงห้าวตะโกนเรียกชื่อน้องสาวดังก้องห้องนอนใหญ่ น้ำตาเม็ดโตรินไหลออกมาจากดวงตารวดร้าวของเจ้าพ่อหนุ่ม
เรียกน้องสาวอีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อหวังว่าเธอจะฟื้นคืนสติกลับมา แต่ก็เปล่าประโยชน์ มิเชลได้จากโลกนี้ไปแล้ว จากไปทั้งรอยน้ำตาอย่างน่าสงสาร และยังได้ทิ้งความเศร้าหมองจากการสูญเสียไว้ให้พี่ชายอย่างเขา พร้อมหลานตัวน้อยที่กำลังแผดเสียงร้องไห้ ราวกับรู้ชะตาชีวิตตัวเองว่าต่อไปจะไม่มีแม่คอยเลี้ยงดูอุ้มชู
“หลับให้สบายนะ มิเชล พี่จะดูแลมิเกลให้น้องเอง” จ้องมองใบหน้าของน้องสาวด้วยความอาลัยอาวรณ์ พร้อมบอกคนที่จากไปเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น
ส่วนสองแขนนั้นก็โอบกระชับร่างกระจ้อยร่อยของหลานสาวเข้าแนบอกอุ่นยิ่งขึ้น ราวกับจะเห่กล่อมให้เจ้าตัวน้อยที่ยังไม่ประสาคลายเศร้าซึ่งมันก็ได้ผล เมื่อเจ้าหนูตัวขาวอวบหยุดแผดเสียงร้องลั่น มีเพียงแรงถอนสะอื้นจนตัวโยน ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตามองหน้าผู้เป็นลุง ก่อนจะเอียงหน้าซบแผงอกกว้างราวกับฝากฝังชีวิตของตนไว้ในกำมือของเจ้าพ่อหนุ่มตลอดไป เห็นอย่างนั้นนัยน์ตาสีควันบุหรี่ที่เพิ่งปราศจากหยาดน้ำตาไปหมาดๆ ก็มีม่านน้ำใสๆ คลอเคล้าจนพร่ามัวอีกครั้งอย่างสะเทือนใจ
“สวยและเซ็กซี่อย่างเธอคงทำเงินให้ฉันได้ไม่น้อย” พูดกับตัวเองอย่างพออกพอใจ ยอมรับด้วยสายตาประจักษ์ว่าน้องสาวไอ้อธิปมันสวยชนิดหาตัวจับยากและเซ็กซี่ขยี้ใจ เหมือนที่พี่ชายมันเคยคุยโวโอ้อวดเอาไว้ไม่มีผิด อยากจะพาขึ้นเตียงไปท่องสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ก็ต้องหักใจเพราะงานใหญ่และเงินกำลังรออยู่“แล้วเสี่ยจะเอายังไงต่อไปครับ” ผู้ที่นั่งในตำแหน่งคนขับเอี้ยวหน้ากลับมาถามไถ่ผู้เป็นนายเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปมองเบื้องหน้าของท้องถนนดังเดิม“ส่งตัวเธอขึ้นเรือไปสวีเดนทันทีที่ถึงท่าเรือ” สั่งลูกน้องเสร็จเสี่ยวันชัยก็เมินหน้าเหลี่ยมๆ ของตัวเองออกไปมองนอกกระจกรถด้วยเกรงว่าหากจับจ้องที่ใบหน้าสวยสะพรั่งดั่งดอกไม้แรกแย้มของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มไปนานๆ จะทำให้เขาตบะแตกขึ้นมาได้“ครับเสี่ย” ลูกน้องหน้าเหี้ยมรับคำผู้เป็นนายอย่างแข็งขัน พลางเหยียบคันเร่งตรงไปยังท่าเรือที่เสี่ยวันชัยใช้ในการส่งผู้หญิงไปยังต่างแดนเป็นประจำเมื่อลักษณ์ณารารู้สึกตัวอีกที เท้าน้อยทั้งสองข้างของเธอก็ไม่ได้เหยียบอยู่บนผืนแผ่นดินถิ่นสยามอีกแล้ว สิ่งที่เธอเหยียบอยู่มันคือพื้นของเรือขนส่งสินค้าลำใหญ่ที่กำลังล่องลอยอยู่ในน่านน้ำที่ไหนสักแห่ง
ปึง…ปึง…ปึงเสียงทุบประตูของผู้มาเยือนในเวลาค่ำมืดดังแรงระรัวติดกันสามที ทำให้ร่างงดงามที่นอนแผ่หราเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงนุ่มหลังน้อยถึงกับสะดุ้งโหยง กระเด้งตัวผุดลุกขึ้นจากพื้นเตียง แล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอนมายืนชิดประตูบานใหญ่ของบ้าน และเงี่ยหูฟังเสียงคนกระทำการอุกอาจถือวิสาสะบุกรุกบ้านคนอื่นในยามวิกาล ใจดวงน้อยเริ่มเต้นโครมครามจนจะทะลุออกมานอกอกซ้าย หวาดกลัวว่าคนภายนอกจะเป็นโจรผู้ร้าย ครั้นจะเรียกให้เพื่อนบ้านในละแวกนั้นมาช่วย เสียงเคาะประตูด้วยแรงเน้นหนักกว่าเดิมก็ดังขึ้นอีกครา“ไอ้อธิป ฉันรู้ว่าแกอยู่ที่นี่ เปิดประตู!” เสียงตวาดที่ดังขึ้นชิดอีกฟากฝั่งของประตูทำให้คนฟังครั่นคร้าม เรือนกายเพรียวระหงสั่นเทา ยกมือขึ้นปิดปาก เบิกตาโพลง สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้กลับมา ก่อนจะตัดสินใจทำใจกล้าเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับคนภายนอก เพราะคิดว่าคงหนีไม่พ้นแล้ว ก็อีกฝ่ายเล่นมาจวนตัวเสียขนาดนี้เสียงเปิดประตูแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าพริ้มเพราของลักษณ์ณาราโผล่พ้นขอบประตูออกมาเล็กน้อย พยายามใช้แรงเท่ามดดึงรั้งประตูในฝั่งของตนไม่ให้แง้มมากเกินกว่าที่เธออยากจะให้เป็น แต
“นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ” พอได้รับรู้ถึงกำหนดกลับของน้องสาว อธิปก็ส่อแววกระวนกระวายในน้ำเสียงที่ส่งมาตามสายโทรศัพท์ ซึ่งคนฟังก็ช่างสังเกตจึงจับพิรุธความผิดปกติได้ไม่ยาก“พี่อธิปมีอะไรหรือเปล่าคะ” ถามคล้ายกับจะชักนำพี่ชายเข้าเรื่อง เพราะคนอย่างอธิปคงไม่แค่โทรมาถามเฉยๆ ว่าเธออยู่ไหน ทำอะไรอยู่เป็นแน่แท้ พี่ชายของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่แล้ว คนใหม่ที่ไร้ความรู้สึกห่วงใยน้องสาวดังเดิม และดูท่าว่าคนเก่าจะกลับมายากเสียเหลือเกิน“พี่อยากได้เงินซักห้าหมื่น” เป็นอย่างที่หญิงสาวคิดไว้ไม่มีผิด อธิปโทรมาคงไม่พ้นเรื่องเงิน หากแต่จำนวนตัวเลขมหาศาลก็ทำให้ลักษณ์ณาราอ้าปากค้างได้เหมือนกัน“ห้าหมื่น!” เจ้าของร่างบอบบางน่ารักทำตาโต อุทานเสียงดัง ดูเหมือนจำนาวนเงินที่พี่ชายขอมาจะเพิ่มระดับขึ้นตามจำนวนครั้งเสียแล้ว“พี่จะเอาเงินไปทำอะไรตั้งเยอะแยะ” ลักษณ์ณาราซักไซ้อีกฝ่ายเสียงแข็ง หัวอกแทบมอดไหม้กับความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น“พี่จะเอาไปจ่ายหนี้พนันที่ค้างเขาไว้” อธิปสวนกลับอย่างไม่รู้สำนึกที่เอาเงินน้องสาวไปผลาญให้กับอบายมุข ลักษณ์ณาราอยากจะกู่ก้องร้องตะโกนให้สมกับความคับข้องใจนัก“อีกแล้วเหรอคะ พี่อธิป เมื่อ
ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงรายในปลายเดือนธันวาคมที่อยู่ในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ หากคนขี้หนาวก็คงบอกว่าหนาวจับขั้วหัวใจ แต่ถึงแม้จะหนาวเหน็บสักเพียงใด ลักษณ์ณารา สุขวิมล สาวน้อยโฉมสะคราญวัยยี่สิบสามปีก็ยังเดินทางออกมาจากรีสอร์ตที่พักในช่วงเวลาเช้าตรู่ ขับรถคันเล็กกะทัดรัดจากค่ายรถยอดนิยมสัญชาติญี่ปุ่นที่ไปหาเช่ามาใช้ในช่วงที่อยู่เชียงราย ขึ้นเขาทางลาดชันอย่างระมัดระวังมาเพื่อทำงาน หลังจากแหกขี้ตาตื่นและล้างหน้าล้างตา แต่งตัวในชุดรัดกุมต้านลมหนาวเรียบร้อยแล้ว ดีที่ที่พักของเธออยู่ไม่ไกลจากทุ่งดอกซากุระเมืองไทยหรือดอกนางพญาเสือโคร่งซึ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่ง เพราะถ้าหากขับรถมาในเวลาเช้ามืดที่มีหมอกลงจัดจนทำให้ทัศนวิสัยไม่กระจ่างตา ก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ลักษณ์ณาราเป็นจิตรกร หญิงสาวเรียนมาทางวาดภาพจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทย ด้วยใจรักจึงเลือกที่จะเรียนสาขาวิชาที่มีความเสี่ยงต่อการกลายเป็นนักวิจัยฝุ่นเพราะตกงาน ค่อนข้างมีรายได้น้อย หากไม่มีชื่อเสียงหรือฝีมือไม่เข้าขั้น ก็อาจจะต้องผันตัวไปทำงานอื่นที่ไม่ตรงกับสายงานที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ยังดีที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอไม่โชคร้ายขน
เจ้าพ่อหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียไม่ได้ ที่สุดมาร์โบโลก็ต้องยอมจำนนต่อคำอธิบายของแพทย์ด้วยหัวใจเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับมีใครกำลังเอามีดมากระหน่ำจ้วงแทงไม่ยั้ง ใจจริงเขาไม่อยากจะสูญเสียใครไปแม้แต่คนเดียว อยากจะเก็บไว้ทั้งน้องสาวและหลานตัวน้อย หากแต่ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ บางทีเขากับมิเชลอาจจะทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้ก็เป็นได้ แต่เขายังหวังว่าจะได้ทำหน้าที่คุณลุง คอยเลี้ยงดูอุ้มชูลูกของมิเชลที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกแทนผู้เป็นแม่ที่แสนดี หากแต่ไม่มีวาสนาพอที่จะได้อยู่ดูแลแก้วตาดวงใจของเธอด้วยตัวของตัวเอง“ทำเถอะครับหมอ ขอให้ช่วยชีวิตหลานผมไว้ให้ได้ก็แล้วกัน” ท้ายประโยคคล้ายกับการออกคำสั่งเสียงแข็ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายืดยาว ราวกับจะให้มันช่วยปลดปล่อยความอัดอั้นให้คลายตัวลงเมื่อได้ใบเบิกทางจากมหาเศรษฐีหนุ่ม ทั้งหมอและพยาบาลก็เตรียมเครื่องมือผ่าตัดเอาเด็กในครรภ์ของผู้ป่วยออก ทุกขั้นตอนจะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างที่สุด เพื่อช่วยชีวิตน้อยๆ ที่มีอายุแปดเดือนในครรภ์มารดาให้ออกมาลืมตาดูโลกด้วยความปลอดภัย“คุณมิเชลคะ เราจะผ่าเอาเด็กออกนะคะ” คนที่กำลังนอนหายใจรวยริ
“นายนั่งรออยู่ในรถสักครู่นะครับ ผมสองคนจะลงไปเคลียร์ทางให้รถวิ่งผ่านไปได้” คาร์ลอสหันมาบอกเจ้านายด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วพยักพเยิดให้แก่ฟรานซิส กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถในฝั่งของตน แต่เลขามาดนิ่งก็ต้องชะงักมือไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเสียงทรงอำนาจของมาร์โบโลหลุดออกมาจากปาก ที่เพิ่งคลายจากการเม้มสนิทเพราะความไม่ได้ดั่งใจของเจ้าตัว“เปลี่ยนไปใช้เส้นทางลัดแทน” เจ้าพ่อหนุ่มบอกลูกน้องด้วยโทนเสียงราบเรียบติดจะดุ นัยน์ตาที่เครียดขรึมอยู่แล้วมาบัดนี้ยิ่งแดงฉานน่าสะพรึงกลัวสองหนุ่มผู้ต้องคำประกาศิตหันสีหน้าอันสุดแสนกระอักกระอ่วนมาสบสานสายตาซึ่งกันและกันราวกับจะใช้สายตาฟาดฟันประหัตประหารว่าหากใครเพลี่ยงพล้ำ คนนั้นก็จะต้องเป็นฝ่ายทำหน้าที่คัดค้านเจ้านาย ที่สุดฟรานซิสก็พ่ายแพ้ให้แก่หนุ่มมาดนิ่ง เพียงคาร์ลอสใช้สายตาขู่เข็ญแกมบังคับ เขาก็ยอมที่จะเปิดปากห้ามปรามเจ้านายอย่างไม่คิดจะโต้แย้งให้มากความ“แต่ว่าทางนั้นมันมืดนะครับ อีกอย่างถนนก็ไม่ดีด้วย”ใช่ว่าจะใช้เส้นทางที่เจ้านายกำลังกล่าวถึงสัญจรไม่ได้ แต่ฟรานซิสไม่อยากใช้มันในเวลาฝนฟ้าคะนองเช่นนี้ เพราะขนาดในเวลาปกติหากไม่รีบจัดจนเกินไปก็จะหลีกเลี่ยง







