ชีวิตแม่ลูกอ่อน
“ถ้าไม่มีใครมีคำถามเพิ่มเติม ผมขอปิดการประชุมไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ” วินทร์กล่าวขึ้นเมื่อการประชุมดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย และไม่มีใครสงสัยหรือมีคำถามอะไร รองประธานหนุ่มพับปิดไมค์ตรงหน้า หยิบแท็บเล็ตและเอกสารสามสี่แผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินออกไปจากห้องประชุมทันที
“วินทร์! ไอ้วินทร์!” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เท้าของเจ้าของชื่อหยุดชะงัก แล้วหันกลับไปมอง
“มีอะไร”
“รีบไปไหนวะ ประชุมวันนี้มึงดูรีบ ๆ นะ” ภูวิศหรือภูซึ่งเป็นทั้งหนึ่งในหุ้นส่วนและเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันถาม พร้อมรีบสาวเท้ายาว ๆ ขึ้นมาหา ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของรองประธานบริษัทพร้อมกัน
“รีบกลับห้องไปเคลียร์งานให้เสร็จ” วินทร์ตอบเพื่อนขณะเดินไปด้วยกัน
ภูวิศยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปถาม “นี่มันพักเที่ยงนะเว้ย มึงไม่กินข้าวก่อนเหรอ”
“ไม่ละ”
“อ้าว กูอุตส่าห์จะชวนไปกินข้าว มึงรีบไปไหนวะ งานค่อยเคลียร์ตอนบ่ายก็ได้นี่ ช่วงนี้ไม่มีอะไรเร่งด่วนไม่ใช่เหรอ” ภูวิศขมวดคิ้วสงสัย เพราะเป็นผู้บริหารด้วยกันจึงรู้ดีว่าช่วงนี้บริษัทไม่ได้มีงานด่วนอะไร แต่ถึงจะด่วนขนาดไหนก็ยังมีเวลาพักรับประทานอาหาร
“กลับบ้าน วันนี้แม่บ้านลา ชาเลี้ยงลูกคนเดียว” วินทร์บอกเพื่อนสนิทออกไปตามตรง
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นห่วงเมีย เลยจะรีบกลับบ้านไปช่วยเมียเลี้ยงลูก” ภูวิศเย้าแหย่ด้วยแววตาระยิบระยับ
“กูเป็นห่วงหนูณิ” รองประธานหนุ่มรีบแก้ความเข้าใจของเพื่อน
ภูวิศทำปากคว่ำพลางพยักหน้ารับรู้แบบกวน ๆ ก่อนจะถามต่อ “แล้วจะกลับตอนไหนล่ะ กูไปด้วย พอดีเลยกูซื้อของเล่นไว้หลังรถเยอะแยะ จะได้เอาไปให้หลานด้วย”
“เคลียร์งานเสร็จแล้วก็ไปเลย”
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูโทร. บอกน้องชาไว้ก่อนว่ากูจะเข้าไปหา”
คิ้วเข้มของวินทร์ขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินว่าภูวิศจะโทร. หาภรรยาของเขา “มึงจะโทร. บอกทำไม”
“เอ๊า ก็โทร. ไปบอกไว้ไงว่ากูจะเข้าไป เพราะกูเชื่อว่ามึงคงไม่โทร. ไปบอกแน่ ๆ ว่ามีกูไปด้วย จริงไหม” ภูวิศเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ที่หมางเมินและไม่ลงรอยของวินทร์กับณิชา เพราะเขาสนิทกับทั้งสองคนมาเนิ่นนาน
“แล้วจะบอกเพื่ออะไร นั่นบ้านกู แค่กูรับรู้คนเดียวไม่พอหรือไง”
“กูจะสั่งอาหารเข้าไปกินที่บ้านมึงด้วยไง โทร. บอกให้น้องรอกินข้าวพร้อมกัน เผื่อน้องกินก่อน”
“มึงมีเบอร์ ?” วินทร์ยังคงถามต่อด้วยความคับข้องใจ ภูวิศสนิทกับณิชาก็จริง หากนั่นก็เมื่อนานมาแล้ว ครั้งล่าสุดที่ทั้งสองได้เจอกันก็คือวันแต่งงานกับวันที่เธอคลอดหนูณิ แล้วทั้งคู่ก็ไม่มีโอกาสคุยกันมากสักเท่าไร เขาจึงคิดว่ามันไม่น่าจะมีเบอร์โทรศัพท์หรือช่องทางติดต่อของหญิงสาว
“ไม่มี แต่กำลังจะขอจากมึงเนี่ย เอาเบอร์น้องชามา” บอกจบก็ล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง เตรียมจะกดหมายเลขติดต่อของหญิงสาว และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ยอมบอก เขาจึงเร่งอีกครั้ง “เร็ว ๆ ดิ หรือมึงจะเป็นคนโทร. ?”
วินทร์ถอนหายใจเสียงดังด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยอมบอกเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของภรรยาให้แก่เพื่อนสนิทรวดเดียว
“ปากบอกเกลียดเขา แต่ก็จำเบอร์เขาได้ครบทุกตัว” แล้วเสียงแซวของภูวิศก็ทำให้เท้าทั้งสองข้างที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงานหยุดชะงัก
“ก็เกลียด...” ชายหนุ่มบอกอย่างไม่เต็มเสียงเหมือนที่ผ่านมา พลางนึกแปลกใจตัวเองที่จำเบอร์โทรติดต่อของณิชาได้ ทั้งที่ไม่เคยท่องจำ เพียงแค่มีบันทึกไว้ในโทรศัพท์เพื่อใช้ติดต่อยามฉุกเฉิน หากก็แทบจะไม่ได้กดโทร. ออกเลยสักครั้ง
“เบอร์ของเปียวมึงจำได้แบบนี้ปะเนี่ย” คนเป็นเพื่อนยังคงเย้าแหย่ต่ออย่างขำ ๆ ระหว่างรอให้ณิชารับสาย
รองประธานหนุ่มถึงกับนิ่งงันเมื่อได้ยินคำถามนั้นของเพื่อนสนิท เพราะเขาจำเบอร์โทรศัพท์ของเปียวดีไม่ได้เลย ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำหลักสำคัญอะไร ด้วยทุกวันนี้เขากับคนรักมักจะคุยกันผ่านแอปพลิเคชันไลน์เสียส่วนใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องจำหมายเลขพวกนั้นให้มันวุ่นวาย
“ไม่เห็นต้อง...” แล้ววินทร์ก็ต้องหยุดพูดเอาไว้แค่นั้น เมื่อภูวิศยกมือห้ามและชี้ไปยังโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหู เพื่อบอกว่าณิชารับสายของมันแล้ว
“สวัสดีครับน้องชา นี่พี่ภูเองนะครับ ภูเพื่อนสนิทของไอ้วินทร์น่ะครับ จำได้ไหม” ภูวิศเงียบฟังปลายสายด้วยสีหน้าลุ้น ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วพูดต่อ “ดีใจจังที่น้องชาจำพี่ได้...ครับ คืออย่างงี้…”
วินทร์ยืนมองเพื่อนสนิทที่ทำเสียงหวานคุยโทรศัพท์กับภรรยาตามกฎหมายของตนเองด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาไม่ได้ยินว่าณิชาพูดหรือตอบอะไรกลับมาบ้าง เห็นเพียงรอยยิ้มและน้ำเสียงหวาน ๆ ของภูวิศที่เอ่ยกับปลายสายเท่านั้น
ครั้นรู้สึกว่าความหงุดหงิดยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างน่าประหลาด ไม่รอให้ทั้งสองคนพูดคุยกันจบ รองประธานหนุ่มก็ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของตน เพื่อหนีให้พ้นรัศมีของการได้ยินน้ำเสียงของเพื่อน
ทว่าเข้ามาในห้องได้ไม่ถึงหนึ่งนาที คนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก่อนหน้านี้ก็เปิดประตูตามเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างซีเรียส
“ไอ้วินทร์ งานมึงต้องเคลียร์ให้เสร็จวันนี้เลยเหรอวะ”
“ทำไม”
“น้องชายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า น้องลืม เอาจริง ๆ ถ้ากูไม่โทร. ไป น้องก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว” เพราะตอนที่เขาถามณิชาว่ากินข้าวหรือยัง อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาจึงถามต่อว่ายังไม่ได้กินตั้งแต่เช้าเลยใช่ไหม หญิงสาวจึงสารภาพออกมาว่าลืมกิน
“แล้วทำไมไม่กิน” ใบหน้าหล่อเหลาของวินทร์ฉายความเคร่งเครียดขึ้น
“กูก็บอกอยู่ว่าน้องลืม สงสัยมัวแต่เล่นกับลูก พอหนูณินอน น้องก็ไปซักผ้า ซักยังไม่ทันเสร็จหนูณิก็ตื่นก่อน แล้วก็ไม่ยอมนอนเลยต้องอยู่เล่นด้วยตลอดเวลา”
“กูหมายถึงตอนนี้ รู้ว่าลืมกิน ก็รีบไปกินสิ”
“ไอ้นี่” ภูวิศสบถเบา ๆ เมื่อเพื่อนไม่ได้ดั่งใจ “ก็กูโทร. บอกน้องเขาว่าเราจะเข้าไปกินข้าวที่บ้านใช่ปะ ทีนี้น้องเขาก็ต้องรอกินพร้อมเราสิ”
“ไม่ต้องรอ บอกให้กินก่อนเลย”
“กูบอกแล้ว แต่น้องเขาก็กลัวเสียมารยาทแหละ เลยจะรอกินพร้อมเรา กูเลยคิดว่าเราควรไปตอนนี้เลย ก่อนที่เมียมึงจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน”
วินทร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงนอกจากประชุมแล้ว งานที่มีอยู่ก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร สามารถเอากลับไปทำที่บ้านหรือจะมาทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ ใช้เวลาคิดไม่นานเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเพื่อนที่รอฟังว่าเขาจะเอาอย่างไร
“เออ เจอกันที่บ้าน มึงอยากกินอะไรก็ซื้อเข้าไปแล้วกัน”
“จัดไปครับเพื่อน” ภูวิศฉีกยิ้มกว้าง
มันกว้าง...จนวินทร์อดรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่ได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มนั้นของเพื่อน หากแต่เริ่มสงสัยและตงิดใจอะไรบางอย่าง
ตอนพิเศษ 3หลังจากตั้งครรภ์เด็กชายพัทธดลย์เข้าเดือนที่หก วินทร์ก็ขอให้ณิชาลาออกจากการเป็นผู้ช่วยของสุดโปรด โดยให้เหตุผลว่าอย่างไรก็ต้องลาคลอด อีกทั้งยังต้องเลี้ยงลูกและให้นมลูกเป็นเวลาหลายเดือน ณิชาซึ่งอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอยู่แล้วจึงยอมทำตามที่เขาบอกอย่างง่ายดายถึงแม้บริษัทจะมีสวัสดิการให้พนักงานลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร แต่ก็ลาได้ไม่เกินหกเดือน ทั้งยังเกรงใจหากต้องลาเป็นเวลานานขนาดนั้น เพราะฉะนั้นการลาออกจึงเป็นทางที่ดีที่สุด และเธอก็จะได้เลี้ยงลูกอย่างสบายใจโดยไม่ต้องพะวักพะวงอะไร“พี่วินทร์”“ครับ” คนถูกเรียกขานรับพร้อมเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่าน มองไปยังภรรยาคนสวยที่นั่งทำหน้าคล้ายกำลังขบคิดอะไรสักอย่างอยู่บนโซฟากลางห้องทำงานของเขาวันนี้คุณวราพรกับคุณชาญวิทย์มารับเด็กชายพัทธดลย์ไปเล่นที่บ้านตั้งแต่เช้า ส่วนณิศราก็ไปโรงเรียน กลายเป็นว่าณิชาต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะดวงใจลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด วินทร์ก็เลยพาเธอมานั่งทำงานที่บริษัทด้วย“ชาอยากทำงานค่ะ”ชายหนุ่มนิ่วหน้า วางปากกาลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ คนที่เพิ่งบอกว่าอยากทำงานเมื่อสักครู่ “ไหน อา
ตอนพิเศษ 2เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่สวนสนุกจึงมีผู้คนค่อนข้างหนาตา ส่วนมากจะจับจูงกันมาเป็นครอบครัวและแก๊งเพื่อน หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรผ่านประตู และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำกันเรียบร้อยแล้ว วินทร์โน้มใบหน้าลงไปไล่สายตาอ่านแผนผังของสวยสนุกแห่งนี้ในมือภรรยา ก่อนจะหันไปถามลูกสาวที่ยืนดูอยู่ด้วยกัน“เราจะเริ่มจากฝั่งไหนก่อนดี”เด็กหญิงณิศราทำสีหน้าขบคิด ด้วยตัดสินใจไม่ได้ ซ้ายก็น่าตื่นเต้น ขวาก็น่าไป และยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงของน้องชายก็ดังขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น“ขึ้น ดลย์อยากขึ้น ๆ” เด็กชายวัยสองขวบที่พูดได้เป็นประโยคแล้วแต่ยังไม่ชัดเท่าไรเอ่ยขึ้น ดวงตากลมโตขยายขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ พร้อมชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่กระเช้าลอยฟ้าหรือเคเบิลคาร์ที่เคลื่อนตัวไปช้า ๆ บนสายเคเบิล“เดี๋ยวค่อยเล่น อันนั้นต้องเล่นเป็นอันสุดท้าย” ณิศราผู้ศึกษาสวนสนุกแห่งนี้มาจากช่องยูทูปเอ่ยบอก“ทำไมต้องเอาเล่นเป็นอย่างสุดท้ายคะ” วินทร์ถามถึงเหตุผลของลูกสาว“ก็เล่นทุกอย่างมาเหนื่อย ๆ แล้วค่อยขึ้นไปชมวิวบนนั้นไงคะ วิวสวย ๆ จะทำให้เราหายเหนื่อยค่ะ” สาวน้อยพูดตามที่ยูทูปเบอร์คนนั้นเป๊ะ ๆวินทร์พยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็น
ตอนพิเศษ 1“คุณพ่อขา...เสร็จหรือยังคะ หนูณิรอนานแล้วนะ!”เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงณิศราในวัยสิบขวบตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อที่ยังไม่ลงมาจากชั้นสองเสียงดัง พลางชะโงกหน้าไปส่องที่ช่องบันไดด้วยใบหน้ายับยุ่ง หัวคิ้วทั้งสองข้างขยับเข้าหากันแทบผูกเป็นโบวันนี้เป็นวันหยุดของครอบครัว คุณพ่อบอกว่าจะพาหนูณิกับน้องดลย์น้องชายวัยสองขวบของเธอไปเที่ยวสวนสนุกตอนเก้าโมงเช้า แต่นี่มันสิบโมงกว่าแล้ว คุณพ่อยังไม่ลงมาเลย สาวน้อยจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด“คุณพ่อทำงานอยู่ลูก ใจเย็น ๆ ยังไงก็ได้ไปค่ะ” ณิชาซึ่งมีร่างป้อมของเด็กชายพัทธดลย์หรือน้องดลย์นั่งอยู่บนตักเอ่ยบอกลูกสาวให้ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้จะโทษวินทร์ก็คงไม่ถูก เพราะเธอรู้ว่าเขาเคลียร์ตัวเองให้ว่างไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จู่ ๆ ก็ดันมีงานด่วนเข้ามาเสียอย่างนั้น และเป็นงานที่ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนได้ วินทร์เลยต้องจำใจใช้เวลาของครอบครัวไปคุยกับคู่ค้าจากฝั่งอเมริกาผ่านวิดิโอคอนเฟอเรนช์“นานเกินไปแล้วค่ะคุณแม่ หนูณิหิวข้าว” เด็กหญิงณิศราเดินทำหน้ายุ่ง ๆ เข้ามาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ มารดา เหลือบมองน้องชายตัวน้อยที่ปากกำลังดูดนมจากกล่องแต่สายตามองมาที่ตนตาแป๋วแวบหนึ่ง ก
บทส่งท้ายกันตยศมาถึงก่อนเป็นคนแรก ชายหนุ่มยื่นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ให้ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเพื่อนสาวและสามีของเธอ“ขาดเหลืออะไรบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ” วินทร์บอกพลางยื่นมือตบบ่าหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนหน้านี้เขาอาจจะรู้สึกเคือง ๆ ที่กันตยศใกล้ชิดและสนิทสนมกับภรรยาเขามากเกินไป แต่เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายให้ความช่วยเหลือ หยิบยื่นเงินก้อนให้ยืมในยามที่ภรรยาเขาลำบาก เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการไปทำงานต่างประเทศ เขาก็เลือกมองข้ามความรู้สึกมากกว่าเพื่อนที่หนุ่มรุ่นน้องคนนี้มีต่อภรรยาของตนไปณิชาเล่าให้ฟังว่าตอนจะไปทำงานที่ฝรั่งเศส เธอมีปัญหาเรื่องเงิน จริงอยู่ว่าบริษัทออกค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดให้ แต่ก็มีอีกส่วนที่เธอต้องเป็นคนจ่ายเอง ซึ่งมันก็มากพอสมควร ถ้าไม่ได้กันตยศช่วยเหลือในตอนนั้น เธอก็คงแย่“นายไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราเดินไปหา” ณิชาชี้ไปยังโต๊ะเล็ก ๆ ที่จัดไว้สำหรับนั่งเล่น กันตยศพยักหน้าแล้วยักคิ้วให้อย่างกวน ๆ ก่อนจะเดินแยกออกไป พร้อมกับสุดโปรดกับเด็กชายปลื้มเดินเข้ามาพอดี“ยินดีด้วยนะครับ” สุดโปรดในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็กส์สีดำอย่างไม่เป็นทางการนักยื่นขวดไวน์
บทส่งท้ายกว่าบทรักอันยาวนานและต่อเนื่องจะจบลงก็เกือบฟ้าสาง วันนี้ณิชาจึงตื่นสายมากกว่าปกติ จะโทษใครไม่ได้เลย นอกคนที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาเจ้าหญิงอยู่กับเด็กหญิงณิศราในห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดี“คุณแม่!” สาวน้อยที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้เป็นแม่พอดีจึงเอ่ยทักเสียงดัง ทำให้พ่อซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเปลี่ยนชุดตุ๊กตาเงยขึ้นมามองตาม ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นแม่ของลูกส่งค้อนวงโตให้“เล่นอะไรกันคะ” ณิชาเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาใกล้ ๆ กับสองพ่อลูกที่นั่งอยู่บนพื้นพรม“แต่งตัวให้ผิงอันค่ะ” คนตัวเล็กตอบอย่างกระตือรือร้นพร้อมชูตุ๊กตาเจ้าหญิงผมยาวให้คุณแม่ดู จากนั้นก็วางตัวนั้นลง แล้วหยิบอีกตัวที่คุณพ่อเพิ่งเปลี่ยนชุดให้เสร็จขึ้นมาอวด “ส่วนตัวนี้ชื่อผิงผิง”“ผิงอันกับผิงผิงเหรอคะ”“ใช่ค่ะ”“แล้วนี่หนูกำลังดูอะไรอยู่คะ” คนเป็นแม่ชี้นิ้วมือไปยังไอแพดที่วางข้าง ๆ ซึ่งเปิดหน้าเพจร้านค้าออนไลน์ค้างเอาไว้“กำลังเลือกซื้อชุดใหม่ให้ผิงผิงกับผิงอันค่ะ ชุดพวกนี้ใส่บ่อยแล้ว”“หืม แต่นี่แม่ว่าก็เยอะมากแล้วนะคะ ใส่ครบหมดทุกชุดแล้วเหรอคะ” ณิชาถามด้วยความสงสัย เพราะชุดตุ๊กตาในตะกร้าที่เธอเห็นตอนนี้ก็เยอะมากพอ
เริ่มต้นใหม่เขามองเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างลึกซึ้ง ส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เธอได้รับรู้ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา แนบริมฝีปากเข้ากับเรียวปากอิ่มของเธออย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เริ่มขยับอย่างค่อยเป็นค่อยไปเลื่อนมือที่จับคางขึ้นมาประคองใบหน้าสวย เอียงหน้าปรับให้ได้องศาที่เหมาะเจาะ จากนั้นก็เริ่มจูบหนักหน่วงขึ้น มือที่โอบเอวคอดกิ่วเริ่มไม่อยู่เฉย สอดเข้าไปในเสื้อยืดตัวบางที่เธอสวมใส่ ลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียนอย่างหลงใหล“พี่วินทร์...” ณิชาสะดุ้งขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อเต้าอวบทั้งสองข้างได้รับอิสระ เพราะเขาปลดตะขอบราเซียร์เธอ“ไม่ต้องกลัว มันจะดี เชื่อพี่” ชายหนุ่มปลอบเสียงแหบพร่า ตัวเธอสั่นมากจนเขารู้สึกได้ วินทร์ผละออกมาสบตากับหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงหนักแน่น “เชื่อใจพี่นะครับ”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ณิชาพยักหน้าลงอย่างง่ายดาย อาจจะเป็นเพราะลึก ๆ แล้วเธอเองก็โหยหาสัมผัสที่อ่อนโยนจากเขาเหมือนกัน หรือเพราะอะไรเธอเองก็สุดรู้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เธอเลือกแล้วที่จะจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เธอจึงต้องเชื่อใจเขา และจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัวอีกวินทร์ยิ้มกว้าง โน้มเ