ภัตรคารหรูที่ตกแต่งเป็นสไตล์จีนตามประเภทอาหารขึ้นชื่อของร้าน ภายในห้องรับรองขนาดกลางครึกครื้นไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของสาวๆ ต่างวัยที่นั่งชิดติดกันพูดคุยกะหนุงกะหนิงไม่สนใจใคร ขนาดที่ว่าฝั่งผู้ชายคุยกันเรื่องธุรกิจจนจบแล้วก็ยังไม่มีวี่แววที่บรรดาแม่ๆ เมียๆ จะเลิกจับกลุ่มคุยกัน
รพีภัทรอมยิ้มกับบรรยากาศตรงหน้าเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าลัลนาสามารถฝ่าด่านความเยอะของคุณแม่ และความวุ่นวายของน้องสาวตนเอง เข้าไปนั่งรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นได้
"แม่แกยิ้มหน้าบานใหญ่ มีเพื่อนคุยเพื่อนช็อป ทั้งลูกสาวทั้งลูกสะใภ้สองคน" พีรพลยกยิ้มมุมปาก สายตาทอดมองภรรยาด้วยความรัก ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปี จนลูกชายคนโตมีครอบครัว คนกลางกำลังจะแต่งงาน ส่วนลูกสาวคนเล็กโตจนเรียนจบไปแล้ว ความรักที่เขามีต่อภรรยาไม่เคยลดน้อยลงสักนิด
"ถูกใจสายสปอยเมียอย่างป๊าด้วยละสิ" รพีภัทรไม่วายแซวพ่อ แถมยังส่งสายตาไปหาพี่ชายที่น่าจะได้เชื้อนี้มาไม่ต่างกัน
"มองอะไรไอ้พีร์ เรื่องสปอยมันอยู่ในสายเลือดเว้ย" พัชระเบนสายตาจากวราลีผู้เป็นคนรักมาคุยกับน้องชาย
"เป็นแค่เฮียกับป๊านี่แหละ"
"เดี๋ยวมึงก็เป็น" พัชระยักคิ้วตอบน้องชายอย่างมั่นอกมั่นใจ ส่วนคนน้องยักไหล่พลางส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นดังที่พี่ชายพูด
"แล้วนี่เป็นไง งานเรียบร้อยไหม" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายคนกลาง เมื่อเห็นสาวๆ ได้ของหวานคนละถ้วยเรียบร้อย
"ก็เหมือนเดิมครับ ช่วงนี้มีหมอมาเพิ่มผมไม่ต้องอยู่เวรมาก"
"ไอ้นี่ ฉันหมายถึงงานแต่ง" พัชระหัวเราะเสียงดังทันทีเมื่อได้ยินที่น้องชายตอบ ทำไมมันจะไม่รู้ว่าป๊าหมายถึงอะไร แต่ทำเป็นยียวนตอบเรื่องงานตัวเอง
"ป๊าก็ถามเมียป๊าสิ"
"อ้าว งานแต่งแกไม่ใช่งานแต่งฉัน" พีรพลสวนกลับลูกชายทันที
"งานแต่งผมแต่แม่จัดการทุกอย่างหมดเลยนี่ คนสปอยเมียแบบป๊าจะไม่รู้ได้ไง" พีรพลได้แต่ส่ายหน้าให้กับลูกชายทั้งสองคนที่รวมหัวกันหัวเราะไม่เลิก จะว่ามันก็ไม่ได้ ก็ตัวเขาสปอยเมียจริงๆ นั่นแหละ ได้แต่รอสักวันที่ไอ้ลูกชายตัวดีจะพลาดท่าเข้าชมรมคนหลงเมียตามเขากับพี่ชายมันไปอีกคน
ลัลนาลอบมองว่าที่เจ้าบ่าวตัวเองที่หัวเราะสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในยามที่คนหน้านิ่งอยู่กับครอบครัวเหมือนเป็นคนละคนกับตอนปกติ ทั้งพูดจาหยอกล้อ หัวเราะมีความสุข แววตาเป็นประกาย ไม่เหมือนตอนอยู่กับเธอมีแต่ส่งสายตาดุกับตำหนิกัน
"อิจฉาผิวพี่ตาลกับพี่นาวจัง คนหนึ่งก็ขาวเอกซ์แตก อีกคนก็ผิวแทนสเป็คฝรั่ง ตาก็โตเหมือนกันเลย" มะนาวหันมาสนใจคำพูดของพระพรน้องสาวคนสุดท้องของบ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งคุยกันเรื่องนวดสปา
"แต่เสป็คพี่ลูกคนจีนนะ" วราลีเอ่ยตอบพระพรก่อนจะหันไปขยิบตาให้คนรักที่มองมาอย่างเขินๆ
"ผิวน้องเพนท์ก็เนียนสวยออกค่ะ" ลัลนาเอ่ยชมอย่างใจจริง ตัวเธอนั้นเป็นคนผิวขาวมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าขาวเรืองแสงเลย ส่วนพี่ตาลภรรยาของพี่พุธพี่ชายคนโตของบ้านเป็นสาวผิวน้ำผึ้ง แต่ที่คล้ายกันจะเป็นดวงตากลมโตมีเสน่ห์ ที่เธอมักจะได้คำชมอยู่บ่อยๆ แต่ต่างกับพระพรเรียกได้ว่าผิวกลางๆ ทั่วไป แต่ดูเรียบเนียนและสุขภาพดี ดวงตาถึงจะไม่กลมโต แต่รวมๆ องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าแล้ว เรียกได้ว่าสวยจนพ่อและบรรดาพี่ๆ คงจะหวงน่าดู
"แบบนี้แหละคนเรามักไม่ชอบของที่ตัวเองมีอยู่ มัวแต่วิ่งไล่ตามหาสิ่งที่อยู่ไกลตัว จนลืมสิ่งที่มีค่าของตัวเอง" รจณีบ่นลูกสาวเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ลัลนาแอบเห็นแววตาวูบไหวแปลกๆ ของรพีภัทร จากที่เขาดูอารมณ์ดีๆ กลับมาเงียบขรึมเหมือนก่อนหน้านี้
"ก็ดูสิเฮียพุธเฮียพีร์ได้ผิวแม่หมดเลย ทำไมเพนท์ได้ผิวป๊าคนเดียว" ลูกสาวคนเล็กบ่นงอแงไม่จริงจังนัก รู้ตัวดีว่าผิวตนเองไม่ได้แย่ หลายคนชอบผิวสองสีของเธอด้วยซ้ำ แต่พอเห็นพี่ชายทั้งสองผิวขาวเนียนอมชมพูก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ตามนิสัยผู้หญิง
"อ้าว พูดแบบนี้ป๊าก็เสียใจแย่ ลูกสาวป๊าไม่อยากเหมือนป๊ารึไง" พีรพลที่เชื้อสายจีนแต่ผิวสองสี ต่างจากภรรยาที่เป็นสาวเหนือแท้มีผิวขาวเหลือง แต่กลับได้ลูกชายสองคนที่ผิวขาวอมชมพู เอ่ยแซวลูกสาวน้ำเสียงไม่จริงจัง
"อยากสิคะ เพนท์อยากทำงานเก่งแล้วก็ฉลาดๆ เหมือนป๊าไง" คนเป็นลูกสาวรีบเดินไปกอดผู้เป็นพ่อพูดประจบทันที
"อย่างเราไม่ต้องทำงานเก่งหรอก แค่อยู่ประจบพ่อแบบนี้พวกเฮียก็ไม่เหลือสมบัติอะไรแล้ว" พัชระพูดแซวน้อง ซึ่งก็คล้ายจะเป็นความจริงเพราะทุกวันนี้ผู้เป็นพ่อแทบจะประเคนทุกอย่างให้ลูกสาว
"ถ้างั้นต้องตามใจเพนท์มากๆ นะคะ เดี๋ยวเพนท์จะแบ่งสมบัติให้" พระพรขยิบตาตอบพี่ชายอย่างขี้เล่น
"แล้วเฮียล่ะ แบ่งให้เฮียไหม" รพีภัทรถามน้องสาวบ้าง
"เฮียเป็นหมอรวยจะตาย แต่ไม่เป็นไรเพนท์ชอบพี่นาว เพนท์จะแบ่งสมบัติให้พี่นาวเอง เอ๊ะ! เฮียพุธด้วยนะคะ เพนท์เปลี่ยนใจแล้วจะยกสมบัติให้พี่ตาลแทน"
"อ้าว! ไหงเป็นงั้นตัวแสบ" พัชระเริ่มโวยวายเมื่อน้องสาวกลับคำพูด
"เฮียจะโวยวายทำไม ต่อให้ยกให้พวกเฮีย ต่อไปก็ยกให้เมียหมดอยู่ดี สู้ยกให้พี่นาวกับพี่ตาลเลยดีกว่า เนอะๆ" หญิงสาวอายุน้อยสุดหันไปขอความเห็นจากผู้เป็นแม่และพี่สะใภ้
ลัลนานั่งมองภาพตรงหน้าก็ได้แต่ยกยิ้มตามอย่างมีความสุข ทั้งคุณพีรพลและคุณหญิงรจนา ถึงแม้ทั้งอายุและร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย แต่สิ่งหนึ่งที่ดูไม่เปลี่ยนเลยน่าจะเป็นความรักที่ทั้งสองมีต่อกัน
ส่วนพัชระและวราลีเรียกได้ว่าใครอยู่ด้วยจะเห็นบรรยากาศรอบตัวที่มีแต่ความหวานจนมดแทบขึ้น เธอมักจะเห็นทั้งสองคอยส่งสายตาให้กันตลอดถึงแม้จะนั่งอยู่ไกลกัน เรียกได้ว่าถอดแบบตามคนเป็นพ่อมาไม่มีผิด
อย่างพระพรน้องเล็กคนสุดท้อง ถึงจะยังไม่มีคนรัก แต่มีคนมอบความรักให้มากล้นจนไม่ต้องออกไปหาที่ไหน เธอมองเห็นแต่ความเอื้อเอ็นดูผ่านสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ อาจจะรวมไปถึงเธอด้วยที่ถูกชะตากับพระพรเป็นพิเศษ
ส่วนเขา...คนที่ใครๆ ก็บอกว่าเย็นชา หน้านิ่ง พูดน้อย ดูเหมือนไม่สนใคร แต่พออยู่กับครอบครัว เขาเป็นลูกที่ดี เป็นน้องที่ดี และเป็นพี่ชายที่ใจดีกับน้องตัวเองมากๆ คงอย่างที่เธอเคยได้ยินว่าครอบครัวเป็นเหมือนเซฟโซน
ตั้งแต่เกิดมาเธอคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบที่คิดว่าตัวเองมีความสุขดีแล้วมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้เธอกลับคิดว่าตัวเองเหมือนเด็กชะมัด เด็กขี้อิจฉาซะด้วย ยอมรับว่าเธออิจฉาครอบครัวนี้ อิจฉากความรักที่เขามีให้แก่กัน ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้มีเซฟโซนเป็นของตัวเองบ้างไหมนะ...
ลัลนาที่กำลังอ่านบทอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคุณหมอหนุ่มที่ก่อนหน้าเธอเห็นเขาวุ่นวายอยู่ในครัว ย้ายตัวมาโอบกอดเธอด้านหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะแทรกกายลงมานั่งซ้อนหลังเธอ ใบหน้าคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอเธอ"อะไรคะคุณพีร์""ข้าวเสร็จแล้ว""นาวขออีกแป๊บได้ไหมคะ เหลืออีกตอนเดียว" ลัลนาก้มหน้าอ่านบทต่อในมือถือปากกาขีดเขียนลงในหน้าจอไอแพดเมื่อวิเคราะห์อารมณ์ตัวละครในบทนั้น"หืม...แล้วทำไมต้องไปง้อมัน""คะ?" ลัลนาที่กำลังใช้สมาธิอยู่เอียงคอมองคนตัวสูงที่กำลังเพ่งมองหน้าจอไอแพดเธออยู่"ไอ้นี่อะ" เขาชี้ไปยังที่เธอวงกลมไว้ "ทำไมต้องไปง้อมัน" ก่อนจะถามย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง"ก็...คนนี้ฤดีรักพระเอกนี่คะ พอรู้ว่าพระเอกจะไปรักคนอื่นก็เลยง้อ" เธอกล่าวถึงบทฤดี นางร้ายละครเรื่องต่อไปที่เธอต้องรับบทเล่น"ก็ปล่อยมันไปสิ! ทำไมต้องไปรักมัน" ลัลนาปรายตามองคนตัวสูงที่ขมวดคิ้วจริงจัง"คุณพีร์ นาวจะอ่านบท อย่ากวนค่ะ" เธอดุคนรักเสียงเข้ม รพีภัทรจึงก้มใบหน้าหอมแก้มเธอ ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ลุกออกไปไหน เธอจึงอ่านตอนที่เหลือต่อ ลัลนาขีดเส้นใต้ เขียนอารมณ์ความรู้สึกของบทตัวเองไปเรื่อย ก่อนจะสะดุ้งตกใจอีกหน เมื่อคนที่นั่งซ้อนหลังโว
"เราจะกินข้าวก่อนหรือเดินซื้อของก่อนดีคะ" ลัลนาเอ่ยถามคนรักหลังจากที่เดินเข้ามาในห้าง วันนี้พวกเธอมีแพลนซื้อของขวัญให้คุณแม่ซึ่งอาทิตย์นี้จะจัดงานเลี้ยงวันเกิด "ผมว่าซื้อก่อนก็ได้" คนตัวสูงจับมือคนตัวเล็ก เดินไปยังโซนช็อปแบรนด์เนม"อ้าว ไหนว่าคุณแม่ไม่เอาของแบรนด์ไงคะ" ลัลนาท้วงอย่างประหลาดใจ จำได้ว่าเขาบอกว่าหลายปีมานี้ คุณแม่สั่งห้ามเด็ดขาด ว่างดรับของแบรนด์เนมทุกชนิด เธอคิดว่าคุณแม่สามีคงจะมีเยอะ ซื้อเองจนครบหมดแล้ว เลยไม่อยากให้ใครมาซื้อให้อีก"ก็...ลองเดินดูก่อน" เขาตอบเธอเสียงเบา ลัลนามองท่าทางเลิ่กลั่กแปลกๆ ของสามีหนุ่ม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ท้วงอะไร เดินตามแรงจูงไป เมื่อเดินเข้าไปในช็อปดัง BA คนเดิมที่เคยมารับรองเธอกับคุณหญิงรจณีก็เดินออกมาต้อนรับ คล้ายเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ลัลนาเดินตามแรงจูงอย่างงงๆ เมื่อเขาลากเธอไปยังห้องด้านใน"อะไรกันคะคุณพีร์?""พอดีผมอยากให้นาวช่วยเลือกกระเป๋าให้ก่อน" ลัลนามองพนักงานคนเดิมที่ถือกระเป๋ามา ก่อนจะหันมองเขาอย่างมึนงง"เลือกกระเป๋าเหรอคะ""ใช่ช่วยเลือกให้หน่อย ผมเลือกไม่ค่อยเก่ง" ลัลนาคิดว่าเขาอาจจะต้องซื้อให้เพื่อน หรือคนสำคัญระดับหนึ่งถึงต้องมา
"หมอที่นี่มันยังไงวะ หยุดงานทีไร อารมณ์ดีทุกที" รพีภัทรเงยหน้ามองเพื่อนสนิทตนเองทั้งสองคนที่เดินตามกันเข้ามาสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะก้มหน้าไถหน้าจอสมาร์ทโฟนต่อไม่สนใจ"กูว่าน่าจะมีคนดีใจที่ได้เสียเงินห้าแสน" อวัศย์เอ่ยเสริมทัพอย่างอารมณ์ดีที่ชนะพนันไอ้เพื่อนตัวดีได้ ตั้งใจมาเยาะเย้ยโดยเฉพาะ"ไงมึงไอ้พีร์ หน้าบานอะไรขนาดนั้น" ธารณ์เดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อนที่นั่งอยู่ ก้มหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์ที่เพื่อนดูค้างไว้ "โหไอ้พีร์ มึงน่าจะหนักกว่าไอ้หมอก นั่งดูรูปไปยิ้มไปเนี่ยนะ!""เห้ย! อะไรของพวกมึงเนี่ย" รพีภัทรเบี่ยงหน้าจอหนีเพื่อนสนิททั้งสองคนที่พร้อมใจกันกรูเข้ามาดูโทรศัพท์ตนเอง"ไหนๆ ดูอะไร" อวัศย์พยายามชะโงกหน้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น"พอๆ ไปไกลๆ ตีนกูเลยพวกมึง""หึ! ไม่ต้องปิดหรอก กูเห็นหมดแล้ว มึงนั่งดูรูปคุณนาวในไอจีอย่างกับโรคจิต" ธารณ์พูดขึ้นอย่างหมั่นไส้ เมื่อรู้ว่าที่เพื่อนตัวเองยิ้มหน้าบานอย่างกับคนบ้าเพราะนั่งหลงรูปเมียตัวเองอยู่"โรคจิตอะไร นี่เมียกู""เต็มปากเต็มคำเชียวนะมึง" ไทม์ยังไม่วายเหน็บแนมเพื่อน"อ๋ออ...กูว่าแล้ว ที่สมัครไอจีเนี่ยเพราะเมียเลย" อวัศย์พูดขึ้นบ้าง ความจริงเ
รพีภัทรนั่งมองคนตัวเล็กที่นอนขุดคู้อยู่บนเตียง ลมหายใจผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คนตัวสูงเอื้อมมือสัมผัสแก้มนิ่มของคนที่นอนนิ่งอยู่ ก่อนจะก้มใบหน้าจูบซับน้ำตาที่ซึมออกมา คาดว่าเธอน่าจะฝันร้ายอยู่ใบหน้าหวานเริ่มคลายปมที่คิ้วเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับ ก่อนริมฝีปากจะแย้มยิ้มนิดๆ เมื่อฝันร้ายจางหายไปร่างสูงเอนตัวพิงหัวเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอน มือหนาเอื้อมมือลูบศีรษะคนตัวเล็ก ย้อนคิดถึงสิ่งที่เธอเล่าให้ฟัง หลังจากที่เขารู้เรื่องจากอชิระก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเธอมีปัญหาในครอบครัว แต่ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ ฟังจากที่เธอเล่า หลังจากนั้นเธอและแม่พากันออกมาอยู่ข้างนอก เท่ากับแม่คงจะเป็นทั้งชีวิตของเธอ แต่...ก็ยังมาโดนทิ้งไปไหนจะเรื่องวันนั้นที่ไอ้เพื่อนทั้งสองคนเล่าให้ฟัง ว่าเห็นอาการแปลกๆ ของเธอวันที่น้ำตาลจมน้ำ ตอนนั้นเขาห่วงพี่สะใภ้เพราะรู้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนภรรยาตนเองว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ไม่คิดว่าร่างกายเธอจะไหวแต่จิตใจอ่อนแอ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดในใจ วันที่เธอต้องการใครสักคนที่สุด แต่ตัวเขากลับไม่อยู่ข้างๆ "คุณพีร์.." รพีภัทรก้มใบหน้ามองคนตัวเล็กที่งัวเงียสะดุ้งตื่น "ขอโทษ ผมทำนาวตื่นเล
"หมอพีร์คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?" ลัลนาเอ่ยถามร่างสูงที่วางจานผลไม้ลงข้างเธอ ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงบ้าง ระยะห่างเริ่มขยับมาใกล้ขึ้นจากวันแรกที่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เขาเกาะติดเธอแจ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นมานั่งเฝ้าตลอด แต่หากเธออยู่ที่บ้าน เขาก็จะเรียกช่างมาคุย ส่วนตัวเองปรับปรุงนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ซ่อมก๊อกน้ำ ยันรั้วบ้าน แต่ถ้าหากเห็นเธอตั้งท่าออกจากบ้านเมื่อไหร่คนตัวสูงก็จะละทิ้งทุกอย่างในมือ มาสแตนด์บายรอหน้าบ้านอย่างหน้ามึน เธอไม่ให้ไปก็จะตามไป บอกว่าขอเดินตามห่างๆ ก็ยังดีก็เป็นซะอย่างนี้!"ผมพักร้อนไง""พักได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ" ลัลนาหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ ใช่อยู่ตามกฎหมายเขาก็มีสิทธิ์นั่นแหละ แต่เนื่องด้วยบุคลากรทางการแพทย์เป็นที่ขาดแคลนอยู่ตอนนี้ เขาไม่น่าจะมีเวลาว่าง หรือโรงพยาบาลจะยอมให้เขาลาได้ขนาดนี้ยกเว้นแต่ว่า..."ไปใช้อำนาจมืดมาอีกแล้วสิท่า" ลัลนาหรี่ตามองจับผิด ในขณะที่คนตัวสูงหน้ามึนตอบอย่างไม่สนใจ"ไม่ใช่อำนาจผมซะหน่อย อำนาจไอ้หมอกมัน"ต่างกันตรงไหน ใช่อยู่หมอหมอกเป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล แต่การที่ตัวเขาได้อภิสิทธิ์ขนาดนี้ น่าจะบังคับข
ลัลนาที่เพิ่งก้าวลงบันไดมาเห็นคนตัวสูงยืนยิ้มแฉ่งรออยู่ด้านล่าง โดยมีอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะอาหาร คุณหมอหนุ่มรีบวางจานในมือลงบนโต๊ะ ถอดผ้ากันเปื้อน ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหาคนตัวเล็กที่ยืนมองอยู่"กินข้าวเลยไหมนาว""ป้าใจกับจ้อยละคะ" ลัลนาไม่สนใจที่เขาเอ่ยชวน ถามหาคนดูแลบ้านและหลานชายที่ปกติจะมาหาเธอทุกเช้า"วันนี้วันพระป้าใจเลยไปวัดเช้าหน่อย กินข้าวเช้าก่อนสิเดี๋ยวผมพาตามไปที่วัดก็ได้""ไม่เป็นไรค่ะ" ลัลนาไม่สนใจของที่ถูกตระเตรียมไว้ เขาน่าจะลงมาตั้งแต่เช้ามืด เพราะเวลานี้ยังเช้ามากอยู่เลย แต่อาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว"คุณกินข้าวก่อนเถอะ ถ้าไม่กินข้าวเช้าเดี๋ยวปวดหัวนะ" ลัลนาแสร้งไม่สนใจคนที่เอ่ยเรียก ถึงแม้จะใจเต้นไม่น้อยที่เขาจำเรื่องของเธอได้ว่าต้องกินข้าวเช้า ไม่อย่างนั้นจะเวียนหัว"...""นาว" คุณหมอหนุ่มทำได้เพียงเรียกคนตัวเล็กที่เดินผ่านเลยไปอย่างไม่สนใจ ทั้งอาหารและคนทำ "จะไปไหนครับ" ลัลนาปรายตามองมือร้อนที่จับแขนรั้งเธอไว้ เมื่อเห็นแบบนั้นคนตัวสูงจึงรีบปล่อยมือ ยกมือสองข้างคล้ายยอมแพ้ "ผมแค่อยากรู้ว่าคุณไปไหน" เขาบอกเธอเสียงอ่อย"ไม่เกี่ยวกับคุณค่ะ ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็อย่าล้ำเส้