Mag-log in-มหาวิทยาลัย-
“วันนี้อาจารย์ยกคลาส ไปโยนโบลิ่งกันมั้ย”
“เป็นความคิดที่ดี ฉันกำลังเบื่อๆ เซ็งๆ อยากหาอะไรทำ”
“ไก่ทอดร้านที่เราไปกินวันนั้นอร่อยมาก อยากกินอีกจัง”
“บราวนี่กับบิงซูโคตรอร่อย ราดนมข้นฉ่ำๆ แสงออกปาก!”
พอได้ยินเรื่องของกินถึงกับหูผึ่ง เดมี่กระพริบตาปริบๆ อย่างให้ความสนใจ นั่งเอียงคอฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน
“แล้วแกล่ะมี่ จะไปด้วยกันไปมั้ย”
“…..” หญิงสาวตัวอ้วนแก้มป่องทำสีหน้าครุ่นคิดพลางหันมองซ้ายขวา วันนี้เธอเลิกเรียนเร็วกว่าปกติ จึงไม่มีคนของบุรินทร์คอยยืนเฝ้าเหมือนทุกวัน
“คงไม่เป็นอะไรหรอกน่า ไปแค่แป๊บเดียวเอง ตอนนี้ทางสะดวก” เทียนหอมออกความเห็น
“ปะ…ไปก็ได้”
“ขากลับเดี๋ยวฉันแวะไปส่งที่บ้านแกเอง พี่ชายแกคงไม่ว่าอะไร”
“…..”
…
-ห้างสรรพสินค้า-
“เป็นอะไรเดมี่ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น” เชอรีนหันไปกอดแขนเพื่อนสาวไว้แน่น หลังจากเห็นท่าทางตื่นตาตื่นใจของเดมี่
ชีวิตในแต่ละวัน วนเวียนอยู่ที่บ้านกับมหาลัย ไม่เคยได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนเหมือนคนอื่น เสมือนเป็นนกน้อยในกรงทองที่บุรินทร์เลี้ยงไว้
“อันนั้นเขาเรียกว่าอะไร” เพราะได้กลิ่นหอมของมัน เลยทำให้เธอเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“เขาเรียกว่าข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง”
“…..” เดมี่มองด้วยตาเป็นประกาย ยกมือลูบพุงน้อยๆ อย่างหิวโหย
“เคยกินมั้ย”
“ไม่เคย”
“แล้วอยากกินไหม”
เดมี่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหยิบบัตรเครดิตการ์ดยื่นให้เพื่อนสาว “อยากกินแต่ไม่มีเงินติดตัวเลย มี่มีแต่บัตรเครดิตของเฮียเฟยซื้อได้ไหม”
“แกเป็นบ้าหรือไง จะเอาบัตรเครดิตไปซื้อหมูปิ้งยี่สิบบาทเนี่ยนะ”
“…..” พอเดมี่ได้ยินแบบนั้นถึงกลับเหงาหงอย สีหน้าเศร้าลงจนเพื่อนอดสงสารไม่ได้
“งั้นยืนรอตรงนี้ เดี๋ยวฉันกับเชอลีนไปซื้อมาให้”
“เดี๋ยวมี่จะขอเงินเฮียมาใช้คืนให้นะ”
“แค่ไม่กี่บาท ไม่ต้องคืนหรอก”
“ขอบใจนะ”
“อยากกินอะไรอีกบอกมาได้เลย เดี๋ยวพวกฉันเลี้ยงเอง”
“อยากกินไก่ทอดกับพิซซ่าด้วย”
“กินหมดหรือไงยัยหมูตอน”
เดมี่ถอนหายใจลากยาว ก้มมองไอศกรีมที่อยู่ในมือ เดือนนี้น้ำหนักขึ้นมาตั้งสามกิโล แต่ถ้าจะให้เลิกกินของอร่อยคงทำไม่ได้จริงๆ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยลดน้ำหนักแล้วกัน”
…
-หลังเลิกเรียน-
ตึก…ตัก…เสียงฝีเท้าของคนหมู่มากดังขึ้นอย่างรีบร้อน ดวงตานับสิบวาดสายตามองหาบางสิ่งบางอย่างไปจนทั่วบริเวณแต่กลับไร้วี่แวว
“หาทั่วหรือยัง” ครามหอบหายใจทางปากหนักๆ พลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ ถ้าอีกยี่สิบนาทียังพาเดมี่กลับไม่ถึงบ้านได้เป็นเรื่องแน่
เดมี่ไม่มีโทรศัพท์หรือเครื่องติดต่อสื่อสารใดๆ เลยทำให้การตามหายากขึ้นไปอีก
“ไม่เจอเลยลูกพี่”
“มึงแน่ใจนะว่าหาจนทั่วหมดแล้ว”
“พวกผมหาทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ไม่เจอ”
“หายไปไหนวะ”
“ซวยแล้วลูกพี่ คะ…คุณเดมี่ไปแล้ว” ลูกน้องอีกคนวิ่งเข้ามารายงานด้วยท่าทางเหนื่อยหอบไม่แพ้กัน
“พูดบ้าอะไรของมึง คุณเดมี่จะหายไปไหน”
“วันนี้อาจารย์ยกคลาส คุณเดมี่ไม่มีตารางเรียน”
“ฉิบหาย! นายน้อยเอาพวกเราตายแน่” เพียงแค่คิดก็ขนหัวลุก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด
“เอาไงดีลูกพี่ ผมยังไม่อยากตายตอนนี้นะ”
“กูก็ไม่อยากตาย! มัวแต่ยืนโง่อยู่ทำไม รีบไปตามหาคุณเดมี่ให้เจอ ไม่งั้นมึงกับกูได้ตายจริงๆ แน่”
“…..”
…
เอี๊ยด…รถมินิคูเปอร์คันกระทัดรัดเคลื่อนตัวมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ในช่วงเวลาสองทุ่มของวัน
“นั่นบ้านหรือวัง ทำไมมันใหญ่ขนาดนี้” เทียนหอมเกาะประตูรั้วบ้านพลางสอดส่องสายตามองเข้าไปยังด้านใน คฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่แทบชานเมือง อลังการงานสร้างเคยเห็นแต่ในทีวี เพิ่งจะได้มาเห็นของจริงก็วันนี้
“เข้าไปข้างในบ้านด้วยกันไหม เดี๋ยวมี่เอาน้ำกับขนมให้กิน” เดมี่บอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนมากนัก เฮียเฟยใจดี คงไม่มีปัญหาอะไร
“วันนี้ดึกแล้วเกรงใจ เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ”
“โอเค แล้วเจอกัน”
เดมี่หอบหิ้วของกินพะรุงพะรังเต็มสองมือ สีหน้าตอนนี้ดูมีความสุขมากหลังจากที่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่ไทย
“กลับมาแล้วค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับดูเงียบกว่าทุกวัน “วันนี้มี่ไปเดินห้างมา ซื้อขนมมาฝากพี่ครามด้วย”
“คุณเดมี่” ครามเดินออกมาต้อนรับพร้อมใบหน้าสะบักสะบอม ตามเนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำ ซ้ำที่มุมปากยังมีบาดแผลเลือดไหลซึม “ทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะครับ”
ครามพูดเสียงแผ่ว เขาทำงานผิดพลาด ได้มีชีวิตรอดกลับมาไม่โดนบุรินทร์ยิงทิ้งเหมือนหมาก็ดีแค่ไหนแล้ว
“พี่ครามไปทำอะไรมา มันเกิดอะไรขึ้น!”
“ไม่มีอะไรครับ”
“ใครทำอะไรพี่ บอกมี่มานะ” เดมี่ถามด้วยความตกใจ รีบยกมือขึ้นประคองใบหน้าของครามไว้แน่น เธอรักครามเสมือนพี่ชายอีกคน เพราะมีแค่ครามที่อยู่เคียงข้างและช่วยเหลือดูแล “หน้าเป็นแผลหมดแล้ว เดี๋ยวมี่ทำแผลให้นะ”
“อย่าดีกว่าครับ อย่าเข้ามาใกล้ผมขนาดนั้น ถ้านายมาเห็นเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอา”
“งั้นบอกมี่ได้ไหม ว่าใครทำให้พี่เป็นแบบนี้”
“…..”
“เฮียเฟยทำเหรอ ที่พี่เป็นแบบนี้เพราะมี่ใช่ไหม”
“ผมผิดเองที่ดูแลคุณมี่ไม่ดี”
“งั้นบอกหน่อยได้ไหมว่าเฮียเฟยอยู่ไหน มี่จะไปคุยกับเฮียเอง”
“…..”
“ฉันอยู่ตรงนี้ มีอะไรก็พูดมาสิ”
ร่างของหญิงสาวหยุดนิ่งชะงักราวกับถูกแช่แข็ง เมื่อหันกลับเผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามา
ผิวกายของเขาซีดเผือดจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นตามท่อนแขนไปจนถึงลำคอ ดวงตาไร้ความรู้สึกราวกับหุ่นยนต์ไม่มีชีวิตหรือจิตใจ
เดมี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง มองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย เฮียเฟยที่แสนใจดี มาตอนนี้กลับดูตรงกันข้ามไปหมดทุกอย่าง
“ฮะ…เฮียเฟยเหรอคะ” เดมี่ถามเสียงสั่น เนื้อตัวสั่นเทา ค่อยๆ ขยับถอยหลังหนีเมื่อผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาใกล้
หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอกหลังจากได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“เจอกันสักทีสินะ”
FAHKIN PART บรี๊น…เสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าท่อดังบิดคันเร่งสนั่นจนควันขโมงไปทั่วบริเวณ เจ๊ติ๋มชะเง้อคอมองตามคอยสอดส่อง ในถือตะหลิวเตรียมจะเขวี้ยงใส่ไอ้พวกเด็กแว๊นที่ชอบมาเบิ้ลรถแถวนี้ เสียงท่อดังจนหมาข้างบ้านตกใจเห่าร้องประสานกันระงมสร้างความรำคาญใจให้แก่คนที่อยู่แถวนั้น “ขับรถรีบไปตายที่ไหนวะ ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่…” “พ่อกับแม่ผมไปดีแล้วป้า ทิ้งลูกเต้าไว้ให้คนอื่นเลี้ยง” แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคเสียงที่คุ้นเคยทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร “ที่แท้เป็นฟาคินนี่เอง ป้าก็นึกว่าใคร” ฟาคินขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าคู่ใจมาหาจีบสาวที่แอบชอบมานาน “พี่รี่อยู่ไหม” “นังรี่มันอยู่ในครัว เดี๋ยวป้าไปตามมันให้” จากขุ่นเคืองแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีหลังจากเห็นลูกชายมหาเศรษฐีมาตามจีบลูกสาวทุกวี่ทุกวัน “รีบไปรีบมาเลยนะ ฝากบอกลูกสาวป้าด้วยว่าผมคิดถึง” ตึกตัก เสียงหัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงทุกครั้งยามได้เห็นหน้า หมาเด็กกับพี่คนสวยน่าจะเป็นฉายาที่เหมาะสมกับเขาที่สุด “มีอะไรหรือเปล่า” “ไปนั่งรถเ
4ปีผ่านไปPHARAOH PART “เฮียเป็นไร ทำไมไม่ยอมคุยกับน่าน” น่านฟ้าที่อยู่ในอาการมึนเมา หยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียงด้วยท่าทางโอนเอนทรงตัวแทบไม่ไหว จ้องมองชายหนุ่มที่นอนคลุมโปงส่งเสียงสะอึกสะอื้น “ไม่ต้องมายุ่ง ออกไปให้พ้น” “งอนอะไรอีก” “ไม่ต้องมายุ่ง อยากอยู่คนเดียว” เพราะเธอออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมรุ่นเลยกลับบ้านช้าผิดเวลาไปนิดหน่อย “น่านบอกแล้วไงว่ามินนี่เป็นแค่รุ่นน้อง ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย” “ถ้าไม่มีอะไรแล้วไปกินข้าวด้วยกันทำไม ฉันโทรหาก็ไม่ยอมรับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ” “ก็แบตมันหมด น่านเคยบอกไปแล้ว ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้าง” “คนเจ้าชู้แบบเธอมันไว้ใจไม่ได้ ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก เราเลิกกัน!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างงุนงงพลางถอนหายใจหนักๆ “พองอนทีไรบอกเลิกน่านตลอดเลย” “…..” “ถ้าน่านไปจริงอย่ามาง้อแล้วกัน” น่านฟ้าแสร้งพูดขึ้นเสียงดัง จงใจให้แฟนหนุ่มได้ยิน แล้วมันก็ได้ผลเป็นอย่างดีเมื่อคนตัวโตหยุดการเคลื่อนไหวราวกับรอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต
หลายวันต่อมา ร่างสูงคมคายของบุรินทร์ทอดสายตามองผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ที่ไกลจนสุดสายตา แสงท้องฟ้ากลายเป็นสีทองอร่ามในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเมื่อถึงเวลาของมัน สายลมและเสียงเกลียวคลื่นที่ดังกระทบเข้าฝั่งให้ความรู้สึกสงบทุกครั้งที่ได้ยิน “มี่ตามหาตั้งนาน หลบมายืนอยู่ตรงนี้นี่เอง” เดมี่เดินเข้าไปสวมกอดสามีจากทางด้านหลัง ภาพเบื้องหน้ามีลูกทั้งห้าคนที่กำลังส่งรอยยิ้มพูดคุยอย่างสนุกสนาน “ดูพวกเขาเล่นกัน” ฟาคินนั่งก่อประสาททรายโดยมีฟรังค์และฟาโรห์นอนอาบแดดอยู่ข้างกัน ส่วนฟรานเป็นคนขับเจสกีมีฟาเรนนั่งซ้อนท้ายส่งเสียงกรี๊ดดังลั่นไปทั่วบริเวณ “มี่ไม่เคยเห็นพวกเขามีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย” “แล้วเธอมีความสุขไหม” “ความสุขของมี่ก็คือแด๊ดดี้ไง” “ฉันคงเป็นพ่อที่แย่ ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้เธอกับลูก” ถึงแม้จะมีเงินมากมายแต่สิ่งที่ซื้อไม่ได้ก็คือเวลา บุรินทร์ใช้เวลาทุ่มเทให้กับธุรกิจของตัวเอง เขาทำงานอย่างหนักก่อนจะวางมือเพื่อให้ลูกได้ดูแลสืบสานต่อ “มี่รู้ว่าแด๊ดดี้ทำเพื่อพวกเรา มี
แกร๊ก…บานประตูห้องนอนถูกเปิดออกในยามวิกาล ดวงตาคู่สวยทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่าของสามี ริมฝีปากสีคล้ำคาบมวนบุหรี่พ่นควันจนลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ “ดึกแล้วนะ ทำไมยังไม่นอน” ร่างเล็กเดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวัง วางใบหน้าสะสวยซบลงบนแผ่นหลังกว้างของสามีที่เต็มไปด้วยรอยสักน่าเกรงขาม บุรินทร์หันกลับมาเผชิญหน้า ก้มลงมองภรรยาคนสวยที่มีความสูงแค่ระดับแผงอกของเขาเพียงเท่านั้น “ลูกหลับแล้วเหรอ” “มี่ส่งเข้านอนครบทุกคนแล้วค่ะ” “แล้วฟาคินเป็นยังไงบ้าง ไม่สบายดีขึ้นหรือยัง” “อาการดีขึ้นแล้วค่ะ คงเป็นเพราะได้ยาดีจากแด๊ดดี้แน่เลย” “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เด็กนั่นกลัวเข็มจะตายไป” บุรินทร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ใช้ฝ่ามือหนาบีบเข้าที่ปลายคางของคนตัวเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วบรรจงจูบที่ริมฝีปากอิ่มสวยเบาๆ “วันนี้เด็กดีสวยมาก สวยทุกวันเลยรู้มั้ย” “แด๊ดดี้ก็หล่อมากเหมือนกัน หล่อที่สุดในสายตามี่เลยรู้มั้ย” “ต้องการอะไรแค่พูดมา จะให้ทุกอย่าง” “อาทิตย์หน้าเราพาลูกๆ ไปเที่ยวเกาะกันดีไหมค
หลายเดือนผ่านไป พลั่ก! ตุบ! ตุบ! เสียงหมัดหนักๆ กระแทกเข้ากับกระสอบทรายอย่างบ้าคลั่ง สายตาเรียบนิ่งของเด็กชายจ้องแน่วแน่ไปที่เป้าหมายไม่มีวอกแวก ก่อนที่จะกระแทกหมัดหนักๆ ตรงไปยังพี่เลี้ยงที่เป็นผู้ฝึกซ้อม “ลูกชายคนเล็กของเสี่ยหน่วยก้านดีนะ ผมว่าอนาคตได้เป็นดาวรุ่งแน่นอน” บุรินทร์นั่งมองภาพฝึกซ้อมผ่านจอมอนิเตอร์ในห้องทำงาน ฟาคินมีใจรักทางด้านศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ห้ามอีกทั้งยังสนับสนุนหาพี่เลี้ยงระดับมือโปรมาฝึกให้ “เดือนหน้ามีเดิมพันใหญ่ ถ้าเสี่ยตกลงบอกผมได้เลย” “ถ้าชนะแล้วได้อะไร” “เดิมพันด้วยชีวิตและท่าเรือ” “…..” บุรินทร์หลับตาลงพลางใช้ความคิดหลังจากได้ยินข้อเสนอที่แสนยั่วยวน ท่าเรือเดิมพันมีมูลค่ามหาศาล ถ้าได้มันมาคงจะต่อยอดธุรกิจของเขาได้ไม่น้อย “เสี่ยอยากได้ท่าเรือของไอ้ปีเตอร์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ลองเสี่ยงดูสักตั้งจะเป็นอะไรไป” “ข้อเสนอถือว่าไม่เลว” “ยิ้มแบบนี้แปลว่าตกลงใช่ไหม” “ตามนั้น” “แล้วรอบนี้เสี่ยจะส่งใครขึ้นชก ผมจะได้เตรีย
“วันนี้ตัวทำเมนูอะไรมาบ้าง” ฟาโรห์ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ลุกขึ้นมาทำอาหารเพื่อใส่บาตรในวันนี้ เขาสวมชุดนอนสีชมพูสดใสพร้อมกับที่มาร์คหน้าเห็นเพียงดวงตาและริมฝีปากเหมือนอย่างเคย “วันนี้มีแซนด์วิชแซลมอนรมควันท็อปด้วยไข่ปลาคาเวียร์ให้หลวงตาแบบฉ่ำๆ มีอูนินำเข้าเกรดพรีเมี่ยมด้วยนะ และก็มีกุ้งล็อบสเตอร์อบชีส” เรื่องงานบ้านงานเรือนถือได้ว่าไม่เป็นที่สองรองใคร ทำได้หมดทั้งอาหารคาวหวาน ใครที่ได้เป็นผัวมีหวังโชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง “น้ำแร่บริสุทธิ์จากเทือกเขาประเทศสวิตส่วนผลไม้ส่งตรงจากออสเตรเลีย” “แค่ใส่บาตร มันต้องขนาดนี้เลยเหรอตัว” “แบบนี้ดีที่สุด ถ้าตายเราจะได้ไปสวรรค์” “…..” “นั่นไงหลวงตามาแล้ว” ฟรานยิ้มกว้างยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม มองไปทางหลวงตาและสามเณรฟาเรนที่เดินตามหลังกันเป็นขบวน อีกทั้งยังมีฟาคินคอยเป็นเด็กวัดสะพายย่ามถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ตั้งแต่น้องชายอาการดีขึ้น ปู่ก็เลยบังคับให้บวชเณรเพื่อต่อชะตาชีวิต ฟาเรนไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมจำนนเข้าพิธีบวชเณ







