LOGINสายฝนกระหน่ำจนทุกอย่างรอบตัวพร่ามัว อารัญผลักประตูรถหรูสีดำออกโดยไม่รีรอ ก่อนกระโจนฝ่าสายฝนที่สาดซัดไม่ลืมหูลืมตา สูทสีเข้มบนร่างกำยำเปียกชุ่มแนบไปกับแผ่นอกกว้าง เม็ดฝนเกาะพราวบนเส้นผมและกรอบหน้าคมเข้ม ขณะที่เขาทรุดตัวลงข้างฉัน
“คุณ เป็นอะไรไหม!”
เสียงทุ้มของเขาสั่นพร่า แฝงทั้งความหวาดหวั่นและความกังวล
ฉันนั่งทรุดอยู่กับพื้น ร่างกายอ่อนแรงจนแทบขยับไม่ได้ มือข้างหนึ่งกุมข้อเท้าที่เจ็บแปลบจนลมหายใจสะดุด เสียงครางหลุดออกมาจากลำคออย่างห้ามไม่อยู่
ด้านหลัง ชายในชุดกันฝนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเริ่มมีท่าทีลังเล เหมือนจะถอยเมื่อเห็นอารัญ ชายหนุ่มมาดเข้มที่อยู่ในสภาวะพร้อมปกป้องเต็มที่ ทว่าทันทีที่มีคนจากพวกเดียวกันก้าวเข้ามาสมทบ ท่าทีลังเลก็พลันเปลี่ยนเป็นวงล้อมที่ค่อยๆ กระชับเข้ามาอย่างน่าหวั่นใจ
อารัญลุกขึ้นยืนเต็มความสูงตรงหน้าพวกนั้น ความอ่อนโยนในดวงตาเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยแววแข็งกร้าว ราวนักล่าที่พร้อมปะทะโดยไร้ความหวาดกลัว
การปะทะเกิดขึ้นแทบจะทันที อารัญชกหมัดแรกเข้าใต้คางคู่ต่อสู้ พอดีกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเหนือหัว ฝนตกหนักจนพื้นสั่น แต่ฉันกลับมองเห็นแค่อารัญ ผู้ชายที่กำลังสู้สุดแรงเพื่อปกป้องฉันโดยไม่ลังเล
ไม่นานนัก ชายทั้งสองซึ่งแทบไม่มีทักษะการต่อสู้ก็ถอยหนีจนลับหายไปในม่านฝน เหลือเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของอารัญ ท่ามกลางฝนที่ตกกระแทกพื้นไม่หยุด
เขาทรุดลงข้างฉันอย่างรวดเร็ว มือหนาอุ่นสั่นเล็กน้อยแตะแก้มฉันแผ่วเบา
“ลิลิน… คุณเป็นอะไรไหม”
เสียงทุ้มนุ่มของเขาอ่อนลงจนเกือบกลายเป็นกระซิบ
ฉันเงยหน้ามองดวงตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความห่วงใย
มืออีกข้างก็กุมข้อเท้าตัวเองแน่นเพราะความเจ็บ พลางเอ่ยเสียงสั่น
“ข้อเท้าฉัน… พลิก”
อารัญกัดฟันแน่น ความกังวลสะท้อนบนใบหน้าคมของเขา
แต่ท่อนแขนกลับค่อยๆ ช้อนตัวฉันขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร… ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเจ็บ”
คำพูดหนักแน่นของเขาดังก้อง แม้ฝนที่ตกกระหน่ำก็กลบเสียงสัญญานั้นไม่ได้
สายฝนยังคงเทลงมาไม่หยุด ทว่าในอ้อมกอดของเขากลับอบอุ่นเสียจนฉันแทบลืมความหนาวไปหมดสิ้น ร่างสูงอุ้มฉันฝ่าสายฝนจนมาหลบอยู่ใต้ชายคาตึกร้างในตรอกแคบ ลมหายใจของเราชิดใกล้จนฉันรับรู้ได้ทั้งความอุ่นจากเขา… และความเย็นชื้นของฝนที่เกาะทั่วร่าง
นิ้วมือหนาอุ่นค่อยๆ ถอดรองเท้าฉันออก จากนั้นเลื่อนมาสัมผัสข้อเท้าที่บวมแดงอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าจะทำให้ฉันเจ็บไปมากกว่านี้ ฉันก้มหน้าหลบสายตาอ่อนโยนคู่นั้นทั้งที่หัวใจยังสั่น… ทว่าความรู้สึกกลับเต็มไปด้วยความอาลัย
กล้องของพ่อ… สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ฉันรักที่สุด ถูกน้ำเชี่ยวในคลองพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขามองฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ราวกับรับรู้ความเจ็บปวดทั้งหมดโดยฉันไม่ต้องเอ่ยสักคำ
“ลิลิน…”
เสียงทุ้มเรียกฉันเบาๆ
“ผมจะซื้อกล้องให้คุณใหม่เอง”
ฉันส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้า ทุกอย่างพร่า เสียงที่เปล่งออกมาสั่นสะเทือนจากใจ
“กล้องของพ่อฉัน… มันคือแรงบันดาลใจของฉัน”
อารัญสบตาฉันนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น
ปัง!
เสียงปืนดังแหวกฝนขึ้นมาอย่างกะทันหัน กระสุนเฉียดผนังด้านหลังไปเพียงคืบ
พวกมันกลับมาอีกครั้ง
อารัญไม่รอช้า เขาช้อนตัวฉันขึ้นแนบอก จากนั้นวิ่งฝ่าสายฝนตามตรอกแคบ เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังดังไม่หยุดราวกับฝันร้าย สายฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิมกลบเสียงรอบข้างจนพร่ามัว แต่ท่ามกลางความสับสนทั้งหมด ฉันกลับได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่ข้างใบหู… ชัดเจนเหลือเกิน
เราเลี้ยวเข้ามาแอบหลบหลังต้นไม้ใหญ่กลางตรอกเงียบๆ ลมหายใจของเราทั้งคู่หนักและถี่ แต่เขาก็ยังประคองฉันไว้แน่น อารัญปลดเสื้อหนาออกอย่างรวดเร็ว แล้วคลุมลงบนศีรษะฉันทันที
“อย่าขยับ” เขากระซิบเบา เสียงทุ้มแผ่วเหมือนลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสผิว
ไม่นานพวกมันก็วิ่งผ่านไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝนกระทบใบไม้และลมหายใจแผ่วสั่นของเรา
อารัญทรุดตัวลงข้างฉัน แล้วเคลื่อนมือหนาขึ้นโอบร่างฉันที่สั่นทั้งเพราะความหนาวและความหวาดกลัว ในจังหวะที่เขาขยับแขน ฉันเห็นเลือดสีเข้มซึมออกจากเสื้อเชิ้ต
“คุณ… เลือดไหล” ฉันเอ่ยเสียงสั่น
เขาหันมองเพียงแวบเดียว แล้วส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“ผมไม่เป็นไร แค่เฉียดไป”
ฉันยื่นมือไปแตะแขนเขาเบาๆ ดวงตาคมที่เมื่อครู่ดุดันราวคมมีดกลับอ่อนโยนลงเมื่อสายตาเราประสานกันความอบอุ่นแล่นวาบขึ้นจนล้นอก ลมหายใจของเราวนเวียนใกล้กันเกินกว่าจะปฏิเสธแรงดึงดูดบางอย่างที่เริ่มเชื่อมเราไว้โลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่ง เสียงฝนที่ซาลงจนเหลือเพียงละอองบางเบากลายเป็นฉากหลังที่แทบไม่ส่งเสียง
เขาโน้มตัวเข้ามา ริมฝีปากหนาประทับลงบนริมฝีปากฉันอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆผละออกเพียงเล็กน้อยเพื่อเอ่ยถ้อยคำที่หนักแน่นจนหัวใจฉันสั่น
“ขอให้คุณไว้ใจผม”
เขามองลึกเข้ามาในดวงตาฉัน ราวกับต้องการสลักถ้อยคำนี้ลงไปในหัวใจฉันอย่างถาวร
“ผมจะปกป้องคุณเอง”
สายตาคู่นั้นมั่นคงจนฉัน… เผลอเชื่อเขาไปทั้งใจ
“ผมมีเพนท์เฮาส์อยู่แถวสุขุมวิท” เขาเอ่ยต่อ “คุณไปอยู่ที่นั่นก่อน จนกว่าจะปลอดภัยกว่า”
ฉันมองหน้าเขา ชายที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตเพื่อฉัน คนที่ดูห่างไกลในตอนแรกจนแทบแตะไม่ถึง แต่ตอนนี้กลับอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นเป็นจังหวะเดียวกับของฉัน
สายฝนซา เหลือเพียงละอองเบา ๆ ในความเงียบงันของตรอกแคบกลางเมืองฉันกำลังจะเอ่ยคำขอบคุณ ทว่าก่อนเสียงจะหลุดจากริมฝีปาก แสงไฟจากปลายตรอกก็วาบขึ้น ไฟหน้ารถที่แล่นเข้ามาช้า ๆฉันมองแสงไฟที่ใกล้เข้ามา หัวใจเต้นแรงไปตามจังหวะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความกลัว…หรือเพราะมือของอารัญที่กระชับฉันแน่นขึ้นกว่าเดิม
ประตูรถเปิดออกอย่างเร่งรีบ ชายร่างสูงในชุดสูทดำวิ่งเข้ามา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านประธานครับ!” เสียงแรกดังขึ้นตะกุกตะกัก
“พวกเราขอโทษที่มาช้าครับ เจ้านาย!” อีกเสียงรีบเสริมแทบจะซ้อนคำ
อารัญขยับโอบฉันให้แนบชิดเข้ามาอีก ก่อนตอบลูกน้องด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบจนทั้งสองคนชะงัก
“ฉันไม่เป็นไร”
“รู้ไหมครับ…พวกมันเป็นใคร?”
“ขอโทษครับ เรายังยิงไม่โดนตัวครับ” ชายอีกคนรายงาน เสียงเบาราวกับถูกกดทับด้วยความหวาดหวั่น
อารัญสบตาพวกเขาเพียงครู่เดียว ดวงตาวาวลึกเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักชะตาของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ไปตามล่าพวกมันมา ให้เร็วที่สุด”
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







