Mag-log inเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยความไม่คาดฝัน แต่หัวใจของฉันกลับเต้นแรงยิ่งกว่าสายฝนที่สาดกระทบผิว ไม่คาดคิดเลยว่าค่ำคืนนี้จะพาให้ฉันมาอยู่ในจุดนี้
ฉันกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มกล้ามแน่น เสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่ข้างหู สอดรับกับจังหวะก้าวที่มั่นคง เสื้อผ้าของเราเปียกชุ่มจนแนบไปกับผิวกาย แขนแข็งแรงอุ้มฉันออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะวางฉันลงบนโซฟานุ่มอย่างอ่อนโยน
เจ้าของร่างสูงย่อตัวลงข้าง ๆ เลื่อนมือหนาแตะข้อเท้าของฉันอย่างระวัง
“ข้อเท้าคุณ… เดี๋ยวผมไปเอายามาทาให้” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา พลางยืดตัวขึ้น ก่อนจะเดินหายไปทางมุมห้อง… ทิ้งให้ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟอุ่นกลางเพ้นท์เฮ้าส์สุดหรูฉันกวาดตามองไปรอบห้องกว้างขวางโอ่อ่า สมฐานะทายาทมหาเศรษฐี สายตาเลื่อนไปจนถึงกระจกใสบานใหญ่ที่ทอดยาวจากพื้นถึงเพดาน แล้วหยุดลงที่ภาพเมืองยามค่ำคืนซึ่งไม่เคยหลับใหล แสงระยิบระยับจากตึกสูงสองฝั่งสายน้ำเจ้าพระยาสะท้อนเข้ามาราวกับอัญมณีต้องแสง พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือมหานคร ทุกอย่างงดงาม หรูหรา… และเกินจริง
ฉันคุ้นตากับภาพเมืองดีอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันกลับเหมือนโลกคนละใบ… โลกของความหรูหรา และโลกของคนชั้นแรงงาน
ความคิดล่องลอยไปตามแสงไฟที่เปล่งประกายจากตึกสูง แต่เมื่อหันกลับมา เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมหลอดยาในมือ
ร่างสูงทรุดตัวลงบนพรมข้างโซฟา จับข้อเท้าฉันให้เหยียดตรง
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ บีบหลอดยา บรรจงทาครีมลงบนข้อเท้าที่บวม แล้วนวดอย่างแผ่วนุ่ม สัมผัสนั้นอุ่นและละมุนกว่าที่คิด กล้ามเนื้อแข็งแรงใต้ร่างสูงยิ่งขับเน้นให้ภาพตรงหน้าน่าดึงดูด แววตาอ่อนละมุนซ่อนอยู่ในใบหน้าคมเข้มฉันเผลอมองเขานานเกินไป โดยไม่ทันรู้ตัวว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นทีละระดับ
“พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น” เขาพูดเสียงเบา พลางเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเราประสานกันชั่วขณะ
ฉันรีบละสายตาออกเพียงเล็กน้อย แต่เสียงหัวใจกลับดังราวกำลังเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่“เสื้อผ้าคุณเปียกหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนก่อน เดี๋ยวจะไม่สบาย”
มือหนายื่นมาหมายจะช่วยฉันถอดเสื้อ แต่ใบหน้าจริงจังของเขากลับทำให้ฉันชะงัก ก่อนรีบเอียงตัวพลางส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเปลี่ยนเองได้”อารัญรีบดึงมือกลับ ชะงักเล็กน้อย มองรอบห้องราวกับกำลังชั่งใจบางอย่าง แล้วทันใดที่หันกลับมา เขาช้อนฉันขึ้นจากโซฟาอย่างแข็งแรง
“คุณจะทำอะไรน่ะ?” ฉันถามเสียงสั่น ความประหม่าแล่นวาบไปทั่วร่างเขาอุ้มฉันอย่างมั่นคง พาเข้าไปในห้อง ก่อนวางฉันลงบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา จนฉันไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกกลัว… หรือหัวใจที่เต้นแรงนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่
จากนั้นเขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่กับเสื้อเชิ้ตตัวหลวมออกมา แล้วยื่นให้ฉันด้วยสีหน้าที่เหมือนสั่งว่า
“รับไปสิ”ฉันยื่นมือไปรับอย่างลังเล แต่สายตาก็สะดุดกับรอยเลือดที่ซึมอยู่บนต้นแขนของเขา
“เลือดคุณ!”
“ไม่เป็นไร แค่ถลอกนิดหน่อย” “เดี๋ยวฉันทำแผลให้ค่ะ” “ไม่เป็นไร ผมทำเอง” “อย่าดื้อเลย คุณไม่น่าจะถนัด ไปเอาผ้ากับยาล้างแผลมา ฉันทำให้”ฉันพูดเสียงแน่น มองเขาด้วยสายตาที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
“ก็ได้ครับ… แต่คุณต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะไม่สบาย ผมจะไปรอข้างนอก”
ฉันรีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางดวงตาจดจ่ออยู่ที่ประตู ไม่กี่อึดใจ เขากลับเข้ามาแล้วนั่งลงข้างเตียง ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอบอุ่น
ฉันค่อยๆ ทำแผลและพันผ้าที่ต้นแขนของเขาด้วยความระมัดระวัง
“คุณเหมือนชำนาญนะ” “ใช่ค่ะ ส่วนมากก็ทำแผลเล็กน้อยเอง”ผ่านไปชั่วครู่…
“เสร็จแล้วค่ะ”
ฉันพูดเบาพลางเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมของฉันสบเข้ากับตาคมเข้มของเขาที่จ้องมาที่ฉันอย่างจังวินาทีนั้น โลกรอบตัวเหมือนหยุดหมุน สายตาของเราปะทะกัน ราวกับไฟฟ้าแรงสูงวิ่งผ่านหัวใจ เหลือเพียงแววตาลึกซึ้งที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นทีละระดับ
ยังไม่ทันตั้งตัว มือหนาดันร่างฉันลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเรียบคมอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ดวงตาคู่นั้นจ้องฉันลึก ราวกับกำลังค้นหาบางอย่างในใจฉัน
ชั่วขณะนั้น ทั้งสั้นและยาวนานในเวลาเดียวกัน เสียงหัวใจสองดวงที่ใกล้กันเกือบชิด ลมหายใจอุ่นสัมผัสผิวหน้าอย่างละมุนแล้วเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะครับ… พักผ่อนเถอะ”ฉันผ่อนลมหายใจ มองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เลือนหายไปหลังบานประตู เหลือไว้เพียงความปลอดภัยที่ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ
…
แสงอุ่นยามเช้าสาดลอดผ่านม่านกระทบดวงตา ฉันค่อยๆ ขยับตัว… ลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังไล่ตามความทรงจำของคืนที่ผ่านมาเสื้อยืดตัวใหญ่ที่ฉันใส่อยู่ยังคงมีกลิ่นอ่อนๆ ของเขา เนื้อผ้าทรงหลวมคลุมร่างบางอย่างพอดีฉันดันตัวลุกจากเตียง ลากเท้าไปหยุดตรงกระจกบานใหญ่ มองเมืองยามเช้าที่เริ่มขยับตัวอีกครั้ง
แม่น้ำทอดยาว เรือเล็กแล่นผ่านอย่างเชื่องช้า ราวกับภาพวาดที่ขยับได้ แต่ความงามตรงหน้ากลับดึงความคิดของฉันให้กลับไปหาแม่… และห้องเล็กๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน กลิ่นอาหารเช้ายังชัดเจนในความทรงจำ และเสียงของแม่ที่ปลุกฉันทุกเช้าฉันรีบวิ่งขึ้นดาดฟ้าให้ทันแสงแรกของวัน เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ กล้องบันทึกภาพเมืองใต้แสงอรุณ และในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ฉันรู้สึกเหมือนมีสายใยบางอย่างเชื่อมจากฉันขึ้นไปถึงพ่อบนฟ้า ทั้งแรงบันดาลใจ ทั้งความอบอุ่น มันหลอมรวมกันแน่นอยู่ในอก
แต่วันนี้…
กล้องตัวโปรดของฉันพังยับ และไม่มีวันได้คืน เสียงกระแทกและภาพตอนมันถูกโยนลงน้ำเมื่อคืนยังติดตาทุกความทรงจำกลับไหลย้อนเข้ามา จนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวพลัน! เสียงนาฬิกาปลุกที่คุ้นชินดังแทรกเข้ามา ตัดขาดความคิดที่กำลังวนอยู่ในหัว ฉันยกมือปาดน้ำตา ก่อนหมุนตัวไปหยิบมือถือ
เสียงริงโทนดับลง แต่สิ่งที่โผล่ขึ้นมากลับเป็นข้อความค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว… อย่าเข้ามายุ่ง”
หัวใจฉันเต้นแรง ความกลัวผสมกับความสงสัยพุ่งขึ้นมาเมื่ออ่านข้อความซ้ำๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…” ฉันพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ “พวกมันต้องการอะไร… แต่พวกเขาก็ทำลายของรักของฉัน ต่อให้มีกล้องใหม่สิบตัว ก็ไม่อาจแทนของมีค่าทางใจได้”ฉันกำมือถือแน่น สูดลมหายใจลึก แล้วตัดสินใจกลับไปที่คอนโด
สายตามองหาเสื้อผ้าที่ตากไว้ รีบจัดการร่างกายอย่างรวดเร็ว ความมุ่งมั่นทำให้ฉันแทบลืมความปวดข้อที่ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย**
ไม่นานนัก รถแท็กซี่ก็จอดตรงหน้าปากซอยที่ฉันคุ้นเคยมานานฉันเดินฝ่าตรอกแคบกลางเมือง เสียงผู้คนยามเช้าผสมกับกลิ่นควันรถ ชายเร่ร่อนนอนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ หญิงแต่งตัวจัดพิงเสาไฟ พวกเขากลายเป็นเพียงฉากหลังในความรีบเร่งของใจฉัน
ฉันสาวเท้าเร็วขึ้น แม้ขาจะยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็ไม่อาจต้านปริศนาที่ยังวนอยู่ในหัว ทันใดนั้น เสียงมอเตอร์ไซค์แหลมก้องดังขึ้นจากปลายตรอก
ฉันหันขวับ! เห็นชายสองคนในเสื้อฮู้ด คร่อมมอเตอร์ไซค์วิบาก พวกเขาหันจ้องตรงมาที่ฉัน ขณะเร่งเครื่อง เสียงกระหึ่มราวกับคำขู่ที่กระแทกทุกจังหวะหัวใจหัวใจฉันเต้นโครมคราม ทุกเสียงรอบตัวดับวูบ เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามเข้ามาใกล้ทุกวินาที
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า






