LOGINเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คำรามก้อง กรีดผ่านอากาศราวกับตอกย้ำคำขู่ไม่ให้ฉันเฉียดเข้าใกล้ สายตาล็อกเป้ามาที่ฉันราวดั่งเหยื่อที่ไม่มีทางหลบหนี ก่อนที่รถจะพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันดำลอยคลุ้งอยู่กลางอากาศ
ฉันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามบังคับหัวใจให้สงบลงเมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกมันคงไม่ตามมา ฉันจึงรีบสาวเท้าเข้าคอนโดทันที
มือสั่นเทา ควานหากุญแจในกระเป๋า เสียงกุญแจกระทบกันเบา ๆ ขณะที่ฉันพยายามหาดอกที่ถูกต้อง แต่แล้วความสงสัยก็แล่นวาบขึ้นมา… เพราะเพียงแค่บิดกุญแจครั้งเดียว ประตูกลับเปิดออกอย่างง่ายดายสัญญาณเตือนในหัวว่า มีบางอย่างผิดปกติ มือฉันสั่นเล็กน้อยขณะจับลูกบิด แล้วค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไปภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ขาแทบหมดแรง
ห้องทั้งห้องถูกรื้อกระจุย ราวกับมีใครค้นหาบางอย่างอย่างบ้าคลั่งฉันยกเท้าก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง ดวงตากวาดมองรอบห้องด้วยความงุนงงและไม่เชื่อสายตาหัวใจเต้นแรงในอก ขณะที่ฉันก้าวลึกเข้าไปยังห้องส่วนตัว
คำถามเดียววนเวียนอยู่ในหัว… เกิดอะไรขึ้นกันแน่จนเมื่อเดินไปถึงด้านในสุด ‘ห้องล้างฟิล์ม’
ห้องขนาดเล็กสว่างด้วยแสงไฟสีแดงสลัว กระจายตัวทั่วทุกมุม ผนังบุด้วยวัสดุกันแสงสีดำด้าน ปิดกั้นไม่ให้แสงภายนอกเล็ดลอดเข้ามาฉันยืนนิ่ง มองไปรอบห้อง พยายามทำใจรับภาพตรงหน้า
บนโต๊ะเรียงรายด้วยอุปกรณ์ล้างฟิล์ม ถังน้ำยา และขวดสารเคมีที่ตั้งกระจัดอยู่ทั่ว
ถาดล้างฟิล์มบางใบยังมีน้ำขุ่นปนเศษฟิล์มลอยอยู่ ม้วนฟิล์มบางส่วนถูกแขวนบนเชือกเพื่อให้แห้ง ขณะที่บางม้วนขาดกลางทาง ห้อยต่องแต่งเหมือนซากสิ่งของที่ถูกทิ้งไว้ค้างคาฉันก้าวต่อไปอีกไม่กี่ก้าว แล้วภาพหนึ่งก็ทำให้ลมหายใจสะดุด
ภาพแม่… ในเช้าที่สดใส นั่งตรงมุมเดิม
ภาพที่ฉันเคยเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ตอนนี้วางอยู่บนพื้น ราวกับสิ่งไร้ความหมาย“ไม่…” เสียงที่หลุดออกมาแผ่วเบาแทบไม่พ้นลมหายใจ
ความชาแล่นผ่านปลายนิ้ว ฉันถอยหลังแล้วทรุดลงข้างโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
ฉันกำมือแน่น พยายามรวบรวมสติ สูดลมหายใจเข้าลึกแต่หางตาก็เหลือบไปเห็น… โน้ตบุ๊กที่ยังเปิดค้างอยู่
มือเริ่มสั่น ใจเต้นแรงทุกครั้งที่ยกเมาส์ ค่อย ๆ เลื่อนไปทีละนิด เสียงคลิกดังแผ่ว… ในความเงียบที่กดทับห้องทั้งห้องโฟลเดอร์ภาพงานทั้งหมดดูเหมือนยังอยู่ครบ…
แต่บางอย่างในใจกลับบอกว่า ไม่ใช่ฉันเลื่อนเมาส์ตรวจทีละไฟล์ เสียงคลิกดังก้องในความเงียบราวกับหัวใจตัวเอง
แล้วจู่ ๆ ช่องว่างเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในรายชื่อไฟล์ หัวใจฉันเย็นวาบ ร่างแข็งค้างตรงนั้นบางไฟล์… หายไป
หนึ่งในนั้นคือไฟล์ชื่อ “Gala_VIP_25” ฉันมองชื่อนั้นนิ่ง ๆ ความคิดสับสนตีวนในหัว ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะฉันรู้ดีว่า ใครก็ตามที่ลบมันไป… เขา ต้องการบางอย่างแน่ ๆจู่ ๆ เสียงริงโทนเพลงสากลดังขึ้น แทรกความเงียบในห้อง
ฉันหันไปมองกระเป๋าที่วางอยู่ตรงมุม มือสั่นกับหัวใจที่เริ่มเต้นแรง เสียงริงโทนนี้… ตั้งไว้สำหรับแนนซี่ เธอไม่เคยโทรหาฉัน หากไม่รีบด่วนจริง ๆ“ฮัลโหล แนนซี่”
“ลิลิน แก! ด่วนมาก!” เสียงแนนซี่กระแทกหูฉัน “ภาพแกกับประธานคนสนิท… จาก Bangkok Insight พาดใหญ่โต แกลองเปิดดูสิ!”ฉันสตั้นไปสองสามวิ ราวกับกำลังปรับอารมณ์สองเหตุการณ์ที่ชุลหุกในเวลาไล่เลี่ย
“…โอเค แนนซี่”“เกิดอะไรขึ้น ลิลิน ทำไมข่าวพาดแบบนั้น ใครเล่นงานแกอยู่”
เสียงแนนซี่ยังดังก้องในลำโพงมือถือ ขณะที่ฉันพยายามทำใจให้สงบ มืออีกข้างเลื่อนเมาส์ คลิกเข้าไปที่ช่องค้นหา และพิมพ์… Stride X ติ้งช็อก! ช่างภาพคนสนิทประธานอารัญถูกสงสัยปล่อยข้อมูลลับบริษัท รวมถึงภาพงานอีเวนต์ส่วนตัวสู่สาธารณะ
ความมั่นคงของบริษัทลดลงทันที ความตึงเครียดกับพันธมิตรพุ่งสูง นักวิเคราะห์เตือนว่า หากข้อสงสัยเป็นจริง นี่อาจเป็นการหักหลังบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และภาพของฉันท่ามกลางสื่อในงานเปิดตัว Quantum Prime ปรากฏอยู่ใต้พาดหัวข่าวนั้นหัวใจฉันร่วงวูบ แสงขาวเย็นจากคอมพิวเตอร์ทาบลงบนผิวที่ชาไปทั้งร่าง
มือแข็งค้างเหนือเมาส์ สติหมุนวนกับคำถามนับไม่ถ้วนใครกันแน่… ที่กำลังเล่นเกมนี้อยู่?
“ลิลิน แกยังอยู่ไหม.” เสียงปลายสายของแนนซี่ดึงสติฉันกลับมา
“เดี๋ยวไว้เจอกัน ฉันมีอะไรต้องจัดการยิดหน่อย บาย”ทันใดนั้น… ปัง!
เสียงประตูหน้าห้องดังก้อง ฉันหันขวับไปทันทีชายสองคนในฮู้ดดำ คนเดียวกับที่ขี่มอไซค์เมื่อครู่ พุ่งเข้ามาในห้อง
พวกมันเดินตรงมาหาฉันด้วยท่าทีแข็งกร้าว ไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย“พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร!” ฉันพยายามกลั้นเสียงไม่ให้สั่น
คนหนึ่งถมึงทึงสวนกลับทันที
“ไฟล์ภาพนั้นอยู่ไหน เอาคืนมา!”“มันหายไปแล้ว! ฉันไม่รู้!” ฉันตะโกนตอบ ทั้งที่ในอกบีบรัดเหมือนถูกกำปั้นบีบแน่น
หนึ่งในร่างใหญ่ยื่นมือหมายคว้าตัวฉัน
สัญชาตญาณสั่งให้ขยับ ฉันคว้าขวดน้ำยาที่อยู่ใกล้มือที่สุด ปาใส่มันอย่างไม่ยั้งคิด ข้าวของรอบตัวถูกฉันคว้าโยนใส่โดยไม่เลือก“แก! ทำลายกล้องตัวโปรดฉัน!”
ฉันถอยหลังคว้าไม้เบสบอลของพ่อ ยกขึ้นทั้งเป็นกำบังและอาวุธในมือที่สั่นเทา
จังหวะหนึ่ง แรงถีบจากด้านข้างส่งฉันล้มกระแทกพื้น โต๊ะล้มครืน กระเด็นกลิ้ง ฟิล์มกระจายเต็มพื้นราวสายฝนสีเงิน“หยุด!” เสียงตะโกนขาดกลางความโกลาหล
แสงจากหน้าประตูสว่างจ้า… หนุ่มหล่อในสูทเข้ม อารัญ ก้าวเข้ามาท่าทีมั่นคง
มือข้างหนึ่งชักปืนขึ้นลำ เล็งตรงไปยังพวกฮู้ดทั้งสอง พวกมันชะงัก มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนถอยร่น วิ่งหนีออกประตู เสียงประตูปิด ปัง! ดังสะท้อนก้องทั่วห้อง“ผมตามหาคุณ… ลิลิน”
อารัญย่อตัวลงตรงหน้า มือหนาแตะแขนฉันเบา ๆฉันนั่งช็อกอยู่กับพื้น หัวใจยังเต้นแรง มือสั่นกับเศษฟิล์มกระจัดกระจาย
ความตื่นตระหนกเริ่มลดลง แต่ความงุนงงและคำถามในใจยังคงชัดเจน“คุณต้องอยู่ที่เพนต์เฮ้าส์ไปก่อนนะ อย่าเพิ่งกลับมาที่นี่อีกเลย”
ฉันพยักหน้ารับ ข่มความกลัวไว้ในอก แต่สายตาและหัวใจยังคงเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบโทรศัพท์บนพื้นสั่นขึ้นฉับ
ร่างฉันหยุดชะงักเมื่ออ่านข้อความสั้น ๆ ปรากฏบนหน้าจอ:“อัปโหลดเสร็จแล้ว”“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







