ログインแสงแฟลชจากกล้องวูบวาบถี่ยิบ ราวกับเสียงกระสุนปืนที่สาดใส่ ไม่หยุด นักข่าวนับสิบยืนเบียดเสียดกันหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ รอเพียงจังหวะที่เขาจะก้าวออกมา
ทันทีที่ประธานหนุ่มในสูทสีเข้มปรากฏตัว ก้าวเดินอย่างมั่นคงพร้อมการ์ดขนาบข้าง สายตาทุกคู่ก็หันมาที่เขาทันที เสียงคำถามดังระงม แข่งกับเสียงชัตเตอร์ที่ไม่เคยหยุดพัก
“มีคนในหักหลังคุณจริงหรือไม่ครับ?”
“ศัตรูที่ว่าหมายถึงคู่แข่งทางธุรกิจใช่ไหม?” “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแก้แค้นส่วนตัว หรือการลอบสังหารบิดาของคุณเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่าครับ?”คำถามของนักข่าวยิ่งทวีความรุนแรง ราวกับต้องการคำตอบบางอย่างจากปากของCEOหนุ่ม แต่เขายังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ก้าวฉับ ๆ แหวกฝูงนักข่าวที่เบียดขวางทาง ด้วยสีหน้าเรียบเย็น
จนกระทั่งเขาเกือบจะก้าวขึ้นรถ เสียงของนักข่าวหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือเสียงทั้งหมด ชัดถ้อย ดุดัน และ ท้าทาย“ช่างภาพคนสนิทของคุณเป็นคนล้วงความลับของโครงการ Quantum X เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย…ใช่ไหม?”
เสียงนั้นดังชัดเหนือความวุ่นวาย มาจาก อเล็กซี่ นักข่าวสาวชื่อดังในชุดสูทสีเทาเข้ม เธอยืนถือไมโครโฟนด้วยท่วงท่ามั่นใจ ดวงตาเป็นประกายวาววับราวนักล่าที่ได้กลิ่นเหยื่อ เธอจ้องตรงมาที่เขาแน่วนิ่ง ไม่หลบสายตาแม้แต่นิด อารัญ ชะงักเท้า แค่ชั่วพริบตาเดียว แต่เพียงพอให้กล้องทุกตัวพร้อมใจกันลั่นชัตเตอร์ระรัว เสียงแฟลชวาบซ้ำราวฟ้าผ่า เขาหันมองเธอ ดวงตาคมเข้มฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน ริมฝีปากขบแน่น ก่อนจะปล่อยลมหายใจหนัก ๆ ออกมาโดยไม่เอ่ยคำใดอเล็กซี่ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากคลี่ยิ้มจาง ๆ อย่างคนที่รู้ดีว่าตัวเองเพิ่งแตะต้อง “จุดต้องห้าม”
อารัญสะบัดหน้า หันกลับแล้วก้าวยาวขึ้นรถลีมูซีนสีดำเงาที่จอดรออยู่ ประตูปิดลงอย่างเงียบงัน รถเคลื่อนตัวออกจากหน้าอาคาร ทิ้งไว้เพียงแสงแฟลชที่ยังไล่ตามไม่หยุด ราวกับพยายามจะจับภาพ ความลับ ที่ไม่มีใครกล้าเปิดเผย***บนเพนต์เฮาส์ใจกลางกรุงเทพฯฉันลากปลายนิ้วไล้ไปตามขอบโต๊ะและชั้นวางอย่างเผลอใจ สัมผัสเย็นเรียบของหินอ่อนตัดกับอากาศอุ่นในห้องกว้างที่หรูหรา
ฉันเดินทอดน่องช้า ๆ สายตามองไปรอบ ๆ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นสะท้อนรสนิยมและอำนาจของเจ้าของ
แต่ในความสมบูรณ์แบบนั้น กลับมีบางอย่างที่ขาดหายไป
เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้มีเพียงไม่กี่ชุดรูปถ่ายบนผนังก็มีเพียงไม่กี่ใบ และในทุกภาพ เขาดูราวกับโดดเดี่ยวอยู่เสมอ แม้จะถูกโอบล้อมด้วยความสำเร็จก็ตามที แววตาในภาพนั้นกลับเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับซ่อนปมบางอย่างไว้ในใจฉันยืนมองภาพนั้นอยู่นาน ความเงียบค่อย ๆ ซึมลึกจนหลงเหลือเพียงคำถามเต็มหัว
ที่นี่… กว้างขวางและโอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับเป็นแค่ที่พักชั่วคราว ไม่ใช่บ้านของใครจริง ๆ ความสงัดแผ่คลุมทั่วห้อง ผสานกับกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขากลิ่นที่ทั้งเย็นชาและน่าค้นหาในคราวเดียวกัน
ติ้ง… ต่อง…
พลันเสียงลิฟต์ดังแผ่วแทรก ทำให้ฉันสะดุ้งและหันตามไปทันทีประตูลิฟต์ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก…
ชายหนุ่มร่างสูงในสูทสีเข้ม อารัญ เจ้าของเพนต์เฮาส์ ยืนเด่นอยู่ตรงนั้น แสงไฟเหนือศีรษะสะท้อนบนกล่องของขวัญสีเงินขนาดใหญ่ในมือ ดวงตาคมลึกจ้องมาที่ฉันไม่วางราวเหมือนตรึงให้ฉันอยู่กับที่ แล้วเสียงทุ้มต่ำเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หัวใจฉันสะท้าน“สำหรับคุณ”
“สำหรับฉัน…เหรอ?” ฉันถามเสียงแผ่ว ทั้งที่รู้สึกได้ชัดว่าลมหายใจของตัวเองเริ่มสั่น
“ใช่ครับ… ลองแกะดูสิ” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าแฝงประกายบางอย่างที่ทำให้โลกทั้งใบต้องหยุดฟังเขาวางกล่องลงตรงหน้า ฉันนั่งลงบนโซฟา ปลายนิ้วลากผ่านกระดาษห่อเนียนวาวที่สะท้อนแสงอุ่นจากโคมไฟ ริบบิ้นสีเงินค่อย ๆ คลายออก เสียงกระดาษขยับเบา ๆ ดังชัด
ภายในกล่องคือกล้อง Canon รุ่นล่าสุด พร้อมเลนส์ครบชุด ทุกชิ้นจัดวางอย่างประณีตเกินกว่าจะเป็นของขวัญธรรมดา กล่องดีไซน์หรูบุด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เนื้อนุ่ม รายละเอียดทุกส่วนบอกชัดถึงราคาและการคัดสรรมาอย่างดี
ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกสับสนผสมหวั่นไหวค้างอยู่ในอก
แล้วเอ่ยเสียงแผ่วราวกระซิบ “กล้องเหรอ…”อารัญเพียงยกมุมปากเล็ก ๆ ดวงตาคมยังคงนิ่งเหมือนเคย ฉันมองของตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนค่อย ๆ เบือนสายตาไปยังผนังกระจกขนาดใหญ่ มองแสงไฟระยิบระยับของค่ำคืน
“ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก…” เสียงของฉันแผ่วแต่หนักแน่น ราวกำแพงบางอย่างที่ฉันสร้างขึ้นไม่ใช่เพื่อต่อต้านเขา แต่เพื่อปกป้องตัวเองและความทรงจำที่สำคัญเกินกว่าจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งใดฉันลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้กระจก มองออกไปจนสุดสายตา
ทว่าความคิดกลับวนไปยังอดีตที่ไม่มีวันกลับมาของขวัญชิ้นนี้ มันมีมูลค่ามากแค่ไหน
ก็ไม่อาจทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปแล้วได้พ่อ… คือแรงผลักดันที่ทำให้ฉันยังยืนอยู่ตรงนี้
แม่… คือแสงสว่างที่คอยพยุงหัวใจฉันในวันที่มืดที่สุด.ฉันคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน
กล้องตัวนั้นหายไปพร้อมสายน้ำในลำคลองคืนก่อนและคอนโดหลังเล็ก ๆ ที่ฉันเคยอยู่ มันคือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ สิ่งเดียวที่ยังยืนยันได้ว่า ความรักครั้งนั้นมีอยู่จริงไม่ใช่แค่ภาพในความทรงจำ แต่คือร่องรอยสุดท้ายของครอบครัวที่พร้อมหน้าและความสุข ของตรงหน้าอาจสวยงาม มีค่า และถูกเลือกอย่างตั้งใจ แต่ไม่มีสิ่งไหน… สามารถมาแทนสิ่งที่หัวใจฉันเคยสูญเสียได้เลย
เขาเดินเข้ามาใกล้ ยืนเคียงข้างฉันเงียบ ๆ ชั่วอึดใจ แล้วเอ่ยเสียงนุ่มและมั่นคง
“ผมรู้ดี… ว่าสิ่งที่คุณเสียไป ไม่มีอะไรทดแทนได้”เขาหยุดชั่วขณะ แล้วหันหน้ามองมาที่ฉัน
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทดแทนสิ่งนั้น แต่ผมอยากมอบสิ่งนี้ให้ ด้วยความจริงใจ”ดวงตาคมลึกของเขาเหมือนกำลังอ่านทุกความรู้สึกที่ฉันซ่อนไว้
“ผมมองเห็นตัวตนของคุณ ผ่านเรื่องราวที่คุณถ่ายทอดในภาพถ่าย… ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเป็นคนเลือกมันเอง”เสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนราวกับทุกคำพูดถูกชั่งน้ำหนักมาอย่างละเอียด และฉันรู้ทันทีว่า ของขวัญตรงหน้านี้ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเข้าใจ และความใส่ใจที่เขาเก็บไว้โดยไม่พูดออกมา
เขาย้ำอีกครั้งด้วยความเชื่อมั่น
“รับมันไว้เถอะครับ” และนั่นทำให้ฉันรู้ว่า… คงไม่อาจปฏิเสธได้“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น… ผมอยู่ตรงนี้ ขอให้ไว้ใจผม”
ประโยคนั้นเหมือนทำให้จังหวะลมหายใจฉันหยุดชงัก สายตาเราประสานกัน นิ่ง ลึก และจริงจังเกินกว่าจะเป็นเพียงคำปลอบใจธรรมดา ความเงียบระหว่างเรากลายเป็นเสียงดังที่สุดในห้อง
แต่แล้ว เสียงรองเท้าหนังหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำลายบรรยากาศทั้งหมดราวกับกระจกแตก
“ท่านประธานครับ” เลขาชายก้าวเข้ามา ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ท่าทางรีบร้อนชัดเจน เขายื่นโทรศัพท์ให้ด้วยสองมืออย่างเคารพ “สายด่วนครับ”อารัญรับโทรศัพท์พลางพยักหน้ารับ สายตาที่เคยจดจ่ออยู่กับฉันค่อย ๆ หลุดออกไป รอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปากเลือนหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
เขาแนบโทรศัพท์กับหู นิ่งฟัง ไม่พูด
แต่ร่องคิ้วที่ขมวดเข้าหากันกลับบอกทุกอย่างแทน จากนั้น…คำพูดเดียวก็หลุดออกมา ช้า ต่ำ และหนักจนราวกับอากาศทั้งห้องเปลี่ยนสี “ไม่… มันเป็นไปไม่ได้”“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







