Share

บทที่ 10

last update Last Updated: 2025-11-30 21:58:40

#####บทที่ 10

            ซูเมิ่งเดินเข้ามาภายในที่ว่าการจนด้านหลังมองไม่เห็นชาวเมืองที่มุงดูก่อนหน้า เบื้องหลังนางมีชายใบหน้านิ่งสองคนที่ก่อนหน้าติดตามหลังท่านเจ้าเมือง 

            ภายในที่ว่าการ เงียบสงบมีผู้คนในชุดคล้ายกันเดินอยู่ปะปราย สองข้างทางปลูกต้นไม้ดูเขียวชอุ่ม น้อยครั้งที่เดินไปจะพบไม้ดอกสักต้น

            พวกนางเดินจนมาหยุดอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่สุด ท่านเจ้าเมืองหันกลับมาส่งสายตาอย่างรู้กันให้ลูกน้องของตนก่อนหมุนตัวหันหลังเดินเเยกไปทางซ้าย โดยก่อนไปไม่เเลสายตามองนางเลยสักวาบเดียว

            พอซูเมิ่งก้าวเท้าจะเดินไปทางที่ท่านเจ้าเมืองไปก็ถูกคนตามหลังทั้งสองขวางไว้

            “เจ้าต้องไปทางนู้น”

            พูดจบหนึ่งในชายที่ตามหลังก็ก้าวเท้าเดินนำไป ส่วนอีกคนใช้ด้ามดาบกระทุ้งหลังนาง

            “เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน? แล้วทำไมท่านเจ้าเมืองไปทางนั้นแล้วข้าไปทางนี้?”

            พอเห็นท่าทางดื้อรั้นของนางชายคนนำหน้าพลันถอนหายใจแรง

            “เจ้ามีเป้าหมายเข้ามาในที่ว่าการทำอันเล่า ท่านเจ้าเมืองก็ให้ข้าพาไปทำสิ่งนั้น”

            “ข้าอยากดูข้อมูลคดีและรายละเอียดฆาตกร”

            ชายทั้งสองพยักหน้าแต่ลอบเบ้ปากลับหลัง

            “นั่นแหละข้ากำลังพาเจ้าไปดู ส่วนท่านเจ้าเมืองต่งแยกไปทำงานของท่าน ทีนี้เจ้าเต็มใจตามข้ามารึยัง?”

            ซูเมิ่งพยักหน้าและก้าวเดินตามแต่โดยดี พลันหลุบม่านตาลง

            …หึ คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกกระมัง

            ชายทั้งสองคุมตัวซูเมิ่งเดินไปเรื่อย ๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดที่เรือนใด ซึ่งนางก็ไม่มีทีท่าขัดขืนเช่นกัน พอพ้นทางเดินสายย่อยนี้เข้าสู่ทางเดินสายใหญ่อีกเส้น เบื้องหน้านางก็ปรากฏเป็นขบวนบ่าวรับใช้เดินเรียงสองแถว ในมือเเต่ละคนมีทั้งกาน้ำชา ตะกร้าดอกไม้ ชามเล็กชามน้อย ทำราวกับในที่ว่าการจะมีงานเลี้ยงหรืองานประชุมขนาดเล็กเกิดขึ้น

            ฉับพลันหนุ่มน้อยที่เเต่เดิมมีชายผู้ติดตามท่านผู้ว่าขนาบหน้าหลังก็ขยับตัวพุ่งไปยังขบวนบ่าวรับใช้เหล่านั้น สร้างความตะหนกตื่นตกใจให้ทั่วทุกคน เสียงกรีดร้องดังระงม

            พอชายทั้งสองไล่ตามซูเมิ่งหวังจับตัวไว้เขาก็พบกับอุปสรรค

            ซูเมิ่งจับเเขนสาวใช้คนหนึ่ง นางวิ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงเเขนไปข้างหลัง

            “ว้าย ท่านระวังหน่อย น้ำแกงจะหก!!!”

            พอชายคนติดตามจะคว้าไหล่ซูเมิ่งจำต้องหลบก่อน

            “ท่านระวังเหยียบดอกไม้บนพื้น”

            ชายคนติดตามอีกคนก้มหน้ามองดอกไม้บนพื้นก่อนกระโดดหลบโหยง

            “ว้าย ท่านลวนลามข้า ชายหญิงไม่ควรใกล้กัน!” 

            “นั่น กาน้ำชาบนมือข้าลอยออกไปแล้ว”

            ชายคนติดตามทั้งสองเอื้อมมือรับกาน้ำชากลางอากาศ ก่อนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

            …กาน้ำชานี้ท่านเจ้าเมืองหวงยิ่งนัก หากตกแตกมีหวังถูกหักเงินเป็นแน่

            เเต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็ตกใจวูบ เด็กหนุ่มผู้ก่อปัญหาผู้นั้นหายไปแล้ว เเลซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นแม้เงา!

            “ท่านเจ้าเมืองมาได้เวลาพอดีขอรับ เริ่มการประชุมได้”

            ภายในห้องขนาดใหญ่มีโต๊ะไม้เนื้อเงาทอดยาวกลางห้อง ข้างโต๊ะสองด้านมีเหล่าข้าราชการหลากตำแหน่งนั่งนิ่ง ใบหน้าเเต่ละคนดูเคร่งเครียดคิ้วขมวดปม ทำเอาบรรยากาศในห้องเยือกเย็นลง

            “ข้ามิได้มาช้าไปใช่หรือไม่”

            ต่งจื่อลู่มุ่งไปนั่งหัวโต๊ะในตำเเหน่งสูงสุดของคนในห้องนี้

            …หากไม่เจอเด็กหนุ่มที่ไหนไม่รู้ก่อกวน เขาคงไม่มาสายเพียงนี้หรอก มันน่าขายหน้านักมีอย่างที่ไหนเป็นถึงหัวหน้ากลับปล่อยให้ลูกน้องรอตนเพียงผู้เดียว ไว้เสร็จประชุมนี้เขาจะลงโทษเจ้าหนุ่มน้อยนั่นเสียให้หนัก หึ ป่านนี้นั่งงงในห้องขังเรียบร้อยแล้วกระมัง

            “ไม่เลยขอรับ”

            “พวกเราเพิ่งมาไม่นาน”

            เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยต่างแย่งตอบ แต่ก็มีบางคนนิ่งเงียบไม่ประจบแต่เเสดงออกทางสีหน้าเชิงต่อว่า ซึ่งก็เป็นใครไปมิได้ นั่นคือ ท่านหัวหน้ามือปราบ นามกู่เทียนหลิว

            “ท่านหัวหน้ามือปราบกู่คิดเห็นอย่างไรกับคดีนี้รึ?”

            ต่งจื่อลู่เอ่ยถามเสียงกังวาน เมื่อครู่เขาเห็นสายตานั่นแต่ก็รู้สึกชินเสียแล้ว

            “หลังจากประกาศออกไปแล้วเรื่องนี้อีกไม่นานคงรู้ทั่วเมืองตรงตามจุดประสงค์ท่าน ทว่าไม่คาดคิดว่าจะชาวเมืองสงสัยเข้า ไม่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองจะเเก้ปัญหานี้อย่างไร?”

            แม้เขาจะอยู่ในห้องนี้แต่ก็รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองมาสาย ยังนึกอยากเห็นหน้าคนก่อเรื่อง ยากนักที่จะทำให้คู่ปรับเขาคนนี้เสียอาการ

            “เเค่ชาวเมืองที่อยากลองดีน่ะท่านหัวหน้ามือปราบกู่ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”

            เหมือนไปสะกิดต่อมโมโหเข้าจากที่ต่งจื่อลู่อยากหาเรื่องสหายคู่ปรับกลับโดนย้อนเสียเอง พอพูดจบก็เกริ่นประเด็นอื่นทันทีคล้ายไม่พอใจ

            “คนของท่านได้เบาะแสคนร้ายเพิ่มเติมหรือไม่”

            เป็นคนของกู่เทียนหลิวคนหนึ่งเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

            “ทางฝั่งเมืองตงเปียนและหนานเปียนคนร้ายไม่มีก่อคดีเพิ่มขอรับ นั่นเเสดงว่ามีโอกาสสูงมากที่คนร้ายจะเดินทางมาที่เมืองนี้แล้ว ตามที่คนร้ายได้ทิ้งสัญลักษณ์บอกไว้ในคดีฆ่าเหยื่อรายสุดท้าย ส่วนประตูทางเข้าทุกทิศข้าน้อยได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังไม่มีใครน่าสงสัยขอรับ”

            “แล้วเรื่องวางกองกำลังทั่วเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ท่านรองหัวหน้ามือปราบอู๋” 

            เรื่องคุ้มครองชาวเมืองนั้นเขามอบหมายให้อู๋หลวนซานซึ่งดำรงตำเเหน่งเป็นรองหัวหน้ามือปราบจึงหันไปถามโดยตรง

            “เรียบร้อยดีขอรับ”

            “อืม ช่วงนี้พวกเราอาจต้องทำงานหนักหน่อย เพราะคนร้ายรายนี้ก่อคดีฆ่าเหยื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเมืองตงเปียนและหนานเปียน ซึ่งข้าไม่อยากให้ชาวเมืองของเรารู้สึกเช่นนั้น ตอนนี้เราจึงต้องวางกำลังคนดูแลชาวเมืองให้ทั่วถึงและคาดหวังว่าประกาศจับของเราจะช่วยชะลอการก่อคดีของคนร้ายได้อย่างต่ำเจ็ดวัน ขอให้ทุกท่านร่วมมือช่วยกันอย่างเต็มที่ มีใครอยากเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือไม่”

            เหล่าชายชาตรีต่างมองหน้ากันไม่มีใครเอ่ย ตอนนี้ในหัวของพวกเขาไร้เเผนรับมือจริง ๆ จากที่ท่านเจ้าเมืองกล่าวเป็นเพียงเเผนเชิงรับเท่านั้น ในใจพวกเขาก็คาดหวังว่าเทพเซียนบนฟากฟ้าจะบันดาลให้พวกเขาจับคนร้ายได้ก่อนที่มันจะฆ่าใครเพิ่ม

            “ข้ามีข้อเสนอ!” 

            เสียงนุ่มละมุนแต่ทุ้มต่ำดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางในชุดดำล้วนขยับออกจากหลังบานประตู ใบหน้าแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลถูดบดบังด้วยหน้ากากขาวขัดกับสถานการณ์ตึงเครียดของคนในห้องประชุมสิ้นเชิง

            “เจ้า!!! เข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร”

            ทุกคนในห้องหันไปสนใจซูเมิ่งที่ยืนพิงบานประตูด้วยท่าทีสบายอุรา

            พอต่งจื่อลู่เสียอาการหลุดเอ่ยอย่างตระหนก เจ้าคนที่สมควรไปนอนรอเขามอบโทษให้ในคุก บัดนี้กลับยืนทำหน้าระรื่นท้าทายเขาตรงหน้า

            “ข้าน้อยก็เดินมาเรื่อย ๆ บังเอิญได้ยินการสนทนาที่น่าสนใจจึงแวะมาทักทายเสียหน่อย ไม่คิดว่าจะทำให้ท่านเจ้าเมืองโกรธเสียแล้ว” 

            นางยังพูดในท่าทางเดิม ทำเอาไฟในอกของต่งจื่อลู่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

            “ใครอยู่ข้างนอก!! มาลากเจ้าเด็กก่อกวนนี่ออกไปเดี๋ยวนี้”

            ครานี้ต่งจื่อลู่ลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง

            “ช้าก่อนท่านเจ้าเมืองต่ง เหตุใดไม่ฟังเจ้าหนูนี่เสียก่อนเล่า” กู่เทียนหลิวเอ่ยเเทรก 

            ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่พูดเพราะกำลังมองประเมินเด็กหนุ่มร่างเล็กที่น่าจะอายุไม่เกินสิบหกปีอย่างละเอียด ดูจากท่าทางมั่นอกมั่นใจทำเอาเขาอยากจะรู้เสียจริงว่าในหัวนั่นมีข้อเสนออันใด หากไร้สาระเขาก็ไม่ขัดที่จะนำเด็กจอมก่อกวนนี้ไปลงโทษ แต่หากเป็นประโยชน์เล่า…

            คนที่ทำท่าจะพุ่งมาจับตัวซูเมิ่งพากันชะงัก ทุกคนไม่กล้าขัดคำสั่งท่านเจ้าเมืองแต่ก็เกรงกลัวท่านหัวหน้ากองปราบเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนเลยนั่งนิ่งพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด

เพื่อความปลอดภัยของตนชั่วคราวนางจึงขยับเดินไปทางผู้ใหญ่ใจดีที่เอ่ยช่วยนาง

            “ขอบคุณท่านหัวหน้ากองปราบกู่” 

            ซูเมิ่งยกมือขึ้นคารวะ นางแอบฟังบทสนทนาอยู่นานแม้ได้ยินแต่เสียง แต่ก็พอเดาได้ว่าท่านนี้น่าจะคือคนนั้นที่ใส่คำจิกกัดลงไปในคำพูดในบทสนทนาเมื่อครู่ตอนโต้ตอบท่านเจ้าเมือง

            “ไหนก่อนหน้าเจ้าเอ่ยว่ามีข้อเสนอ?”

            แม้ทุกคนจะแอบเห็นด้วยกับท่านเจ้าเมือง มองว่าซูเมิ่งคือเด็กหนุ่มจอมก่อกวน แต่ก็ไม่วายพุ่งสายตาไปที่ซูเมิ่งรอคำตอบ

            “เท่าที่ข้าสรุปได้จากพวกท่านพูดนะ คือตอนนี้มีคนร้ายคนหนึ่งฆ่าคนที่เมืองสองเมืองนั้น แล้วตอนนี้น่าจะพุ่งเป้ามาฆ่าคนที่เมืองนี้ใช่หรือไม่?”

            ทุกคนพยักหน้าพร้อมเพียงโดยไม่รู้ตัว ซูเมิ่งยิ้มกับการตอบรับนั้นก่อนพูดต่อ

            “ข้าไม่ทราบนะว่าคนร้ายฆ่าคนไปเท่าไหร่ แล้วเหตุใดทุกเมืองถึงมั่นใจว่าเหยื่อรายต่อไปต้องอยู่เมืองนี้…”

            “เมืองตงเปียนสองรายและเมืองหนานเปียนสองราย” 

            ก่อนซูเมิ่งพูดจบมีข้าราชการนายหนึ่งเอ่ยตอบ พอรู้ว่าตนเผลอพูดออกมาใบหน้าพลันซีดเผือด แต่พอมองไปที่หัวหน้าตนก็คลายใจเพราะไม่เห็นสีหน้าคาดโทษ แล้วเอ่ยตอบต่อไป 

            “คนร้ายทิ้งสัญลักษณ์เมืองเราไว้ที่ตัวเหยื่อรายล่าสุด เหมือนอย่างตอนที่มันย้ายมาก่อคดีที่หนานเปียนต่อจากซีเปียน พวกเราเลยค่อนข้างมั่นใจว่ารายต่อไปต้องเป็นชาวเมืองในเมืองเราแน่นอน”

            นางพยักหน้าเข้าใจ ในหัวประมวลข้อมูลอย่างช้า ๆ

            “หากเป็นเช่นนั้นการที่ท่านประกาศจับคนร้ายอย่างเอิกเกริกนั้นไม่ได้ทำให้คนร้ายเกรงกลัวแต่อย่างใด แต่กลับเป็นฝ่ายช่วยคนร้ายเสียด้วยซ้ำ”

            คำพูดนี้เหมือนเป็นการทิ้งระเบิดกลางที่ประชุมดังเบิ้ม ต่งจื่อลู่หยักยิ้มแกมถากถาง

            “เจ้าเอาอันใดมาพูด! เจ้าจะบอกว่าคนร้ายไม่กลัวทางการอย่างนั้นรึ หึ”

            “ข้าหาได้บอกเช่นนั้น”

            สีหน้างุนงงเกิดแก่ทุกคน

            “พวกท่านคิดดูนะ ว่าเหตุใดคนร้ายถึงทิ้งสัญลักษณ์บอกชัดเจนว่าเหยื่อรายต่อไปอยู่ที่เมืองนี้ ข้าเดาว่าทุกครั้งที่ก่อคดีต้องเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเมือง เป็นหัวข้อสนทนาในโรงน้ำชาของชาวเมือง ทำให้ทางราชการแต่ละเมืองหวาดหวั่นเป็นแน่ ใช่หรือไม่” 

            พอเห็นทุกคนพยักหน้าเบา ๆ นางก็แย้มยิ้มถูกใจ

            “เพราะฉะนั้นข้าน้อยเดาว่าจุดประสงค์ของการก่อเหตุทั้งหมดของผู้ร้ายคือการทำให้ชาวเมืองทุกคนได้รับรู้และต้องการท้าทายทางการ ซึ่งการที่ท่านประกาศจับออกไปนั่นก็เข้ากับสิ่งที่คนร้ายต้องการพอดี ในไม่ช้าคนร้ายต้องก่อเหตุแน่ ที่ท่านทำไปไม่ส่งผลต่อคนร้ายแต่อย่างใด”

            เนื่องจากในชาติก่อนนางมีโอกาสได้เรียนวิชาจิตวิทยาเพื่อใช้ในการเป็นสายลับ นางพอเคยเจอคนร้ายแบบนี้มาบ้าง คิดไม่ถึงว่ามาที่นี่จะได้มีโอกาสเจอคดีที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่นางยังไม่รู้รายละเอียดคดีจึงไม่สามารถสรุปอะไรได้มากกว่านี้

            “เจ้าจะพูดอะไรก็พูดได้นี่”

            ข้าราชการคนหนึ่งเอ่ย ใจเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

            “ใช่แล้ว นั่นเป็นเพียงคำคาดเดา ถ้าหากให้ข้าน้อยดูรายละเอียดคดีอาจบอกได้มากกว่านี้”

            “เจ้าคิดว่าข้อมูลทางราชการจะให้ใครดูก็ได้รึ เจ้า…”

            ก่อนที่ต่งจื่อลู่จะพูดจบพลันมีข้าราชการคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใบหน้าแตกตื่น

            “ฆาตกรก่อเหตุแล้วขอรับ!!!” 

            สิ้นเสียง ทุกคนพร้อมในกันหันมองมาที่ซูเมิ่งเผยแววตาตื่นตะลึง

            “ไป! รวมกำลังคนไปที่เกิดเหตุ”

            ท่านหัวหน้ามือปราบขยับตัวเป็นคนแรก 

            เขาเดินนำทุกคนออกจากห้องประชุมทันทีทิ้งให้ซูเมิ่งอยู่ในห้องประชุมเพียงผู้เดียว พอนางจะติดตามไปก็ถูกกันไว้  ก่อนถูกพาไปไว้ในห้องขังห้องหนึ่ง ยังดีที่ห้องนี้เป็นห้องเดี่ยวห้องรอบข้างก็ยังว่าง ภายในห้องมีเตียงหนึ่ง โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้หนึ่งตัว หลังจากปล่อยนางไว้ที่นี่คนที่พามาก็หายไป จนตอนนี้ท้องร้องจ๊อก ๆ มองไปที่หน้าต่างบานเล็กที่อยู่สูงกว่าหัวตนก็พบว่าน่าจะเลยยามโหย่วแล้ว เพราะท้องฟ้าเป็นเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด ส่วนในห้องขังนี้ก็ยิ่งมืด ดูเหมือนว่าคนของที่ว่าการจะยุ่งจนลืมเวลามาจุดตะเกียง

            แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คนของที่ว่าการยุ่งขนาดนี้เเปลว่าเรื่องคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นคงยังจัดการไม่ได้ นั่นก็แปลว่าอีกไม่นานนางคงได้รับการปลดปล่อย

            …ดูท่าสมัยนี้คงยังไม่เคยเจอฆาตกรต่อเนื่องเลยยังไม่มีวิธีจัดการ

คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงทรุดลงนั่งบนเตียง สักพักก็ล้มตัวลงนอนไขว้ขา พอเบื่อ ๆก็กระดิกเท้า นอนนับแมงมุมบนเพดาน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status