LOGIN#####บทที่ 10
ซูเมิ่งเดินเข้ามาภายในที่ว่าการจนด้านหลังมองไม่เห็นชาวเมืองที่มุงดูก่อนหน้า เบื้องหลังนางมีชายใบหน้านิ่งสองคนที่ก่อนหน้าติดตามหลังท่านเจ้าเมือง
ภายในที่ว่าการ เงียบสงบมีผู้คนในชุดคล้ายกันเดินอยู่ปะปราย สองข้างทางปลูกต้นไม้ดูเขียวชอุ่ม น้อยครั้งที่เดินไปจะพบไม้ดอกสักต้น
พวกนางเดินจนมาหยุดอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่สุด ท่านเจ้าเมืองหันกลับมาส่งสายตาอย่างรู้กันให้ลูกน้องของตนก่อนหมุนตัวหันหลังเดินเเยกไปทางซ้าย โดยก่อนไปไม่เเลสายตามองนางเลยสักวาบเดียว
พอซูเมิ่งก้าวเท้าจะเดินไปทางที่ท่านเจ้าเมืองไปก็ถูกคนตามหลังทั้งสองขวางไว้
“เจ้าต้องไปทางนู้น”
พูดจบหนึ่งในชายที่ตามหลังก็ก้าวเท้าเดินนำไป ส่วนอีกคนใช้ด้ามดาบกระทุ้งหลังนาง
“เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน? แล้วทำไมท่านเจ้าเมืองไปทางนั้นแล้วข้าไปทางนี้?”
พอเห็นท่าทางดื้อรั้นของนางชายคนนำหน้าพลันถอนหายใจแรง
“เจ้ามีเป้าหมายเข้ามาในที่ว่าการทำอันเล่า ท่านเจ้าเมืองก็ให้ข้าพาไปทำสิ่งนั้น”
“ข้าอยากดูข้อมูลคดีและรายละเอียดฆาตกร”
ชายทั้งสองพยักหน้าแต่ลอบเบ้ปากลับหลัง
“นั่นแหละข้ากำลังพาเจ้าไปดู ส่วนท่านเจ้าเมืองต่งแยกไปทำงานของท่าน ทีนี้เจ้าเต็มใจตามข้ามารึยัง?”
ซูเมิ่งพยักหน้าและก้าวเดินตามแต่โดยดี พลันหลุบม่านตาลง
…หึ คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกกระมัง
ชายทั้งสองคุมตัวซูเมิ่งเดินไปเรื่อย ๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดที่เรือนใด ซึ่งนางก็ไม่มีทีท่าขัดขืนเช่นกัน พอพ้นทางเดินสายย่อยนี้เข้าสู่ทางเดินสายใหญ่อีกเส้น เบื้องหน้านางก็ปรากฏเป็นขบวนบ่าวรับใช้เดินเรียงสองแถว ในมือเเต่ละคนมีทั้งกาน้ำชา ตะกร้าดอกไม้ ชามเล็กชามน้อย ทำราวกับในที่ว่าการจะมีงานเลี้ยงหรืองานประชุมขนาดเล็กเกิดขึ้น
ฉับพลันหนุ่มน้อยที่เเต่เดิมมีชายผู้ติดตามท่านผู้ว่าขนาบหน้าหลังก็ขยับตัวพุ่งไปยังขบวนบ่าวรับใช้เหล่านั้น สร้างความตะหนกตื่นตกใจให้ทั่วทุกคน เสียงกรีดร้องดังระงม
พอชายทั้งสองไล่ตามซูเมิ่งหวังจับตัวไว้เขาก็พบกับอุปสรรค
ซูเมิ่งจับเเขนสาวใช้คนหนึ่ง นางวิ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงเเขนไปข้างหลัง
“ว้าย ท่านระวังหน่อย น้ำแกงจะหก!!!”
พอชายคนติดตามจะคว้าไหล่ซูเมิ่งจำต้องหลบก่อน
“ท่านระวังเหยียบดอกไม้บนพื้น”
ชายคนติดตามอีกคนก้มหน้ามองดอกไม้บนพื้นก่อนกระโดดหลบโหยง
“ว้าย ท่านลวนลามข้า ชายหญิงไม่ควรใกล้กัน!”
“นั่น กาน้ำชาบนมือข้าลอยออกไปแล้ว”
ชายคนติดตามทั้งสองเอื้อมมือรับกาน้ำชากลางอากาศ ก่อนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
…กาน้ำชานี้ท่านเจ้าเมืองหวงยิ่งนัก หากตกแตกมีหวังถูกหักเงินเป็นแน่
เเต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็ตกใจวูบ เด็กหนุ่มผู้ก่อปัญหาผู้นั้นหายไปแล้ว เเลซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นแม้เงา!
“ท่านเจ้าเมืองมาได้เวลาพอดีขอรับ เริ่มการประชุมได้”
ภายในห้องขนาดใหญ่มีโต๊ะไม้เนื้อเงาทอดยาวกลางห้อง ข้างโต๊ะสองด้านมีเหล่าข้าราชการหลากตำแหน่งนั่งนิ่ง ใบหน้าเเต่ละคนดูเคร่งเครียดคิ้วขมวดปม ทำเอาบรรยากาศในห้องเยือกเย็นลง
“ข้ามิได้มาช้าไปใช่หรือไม่”
ต่งจื่อลู่มุ่งไปนั่งหัวโต๊ะในตำเเหน่งสูงสุดของคนในห้องนี้
…หากไม่เจอเด็กหนุ่มที่ไหนไม่รู้ก่อกวน เขาคงไม่มาสายเพียงนี้หรอก มันน่าขายหน้านักมีอย่างที่ไหนเป็นถึงหัวหน้ากลับปล่อยให้ลูกน้องรอตนเพียงผู้เดียว ไว้เสร็จประชุมนี้เขาจะลงโทษเจ้าหนุ่มน้อยนั่นเสียให้หนัก หึ ป่านนี้นั่งงงในห้องขังเรียบร้อยแล้วกระมัง
“ไม่เลยขอรับ”
“พวกเราเพิ่งมาไม่นาน”
เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยต่างแย่งตอบ แต่ก็มีบางคนนิ่งเงียบไม่ประจบแต่เเสดงออกทางสีหน้าเชิงต่อว่า ซึ่งก็เป็นใครไปมิได้ นั่นคือ ท่านหัวหน้ามือปราบ นามกู่เทียนหลิว
“ท่านหัวหน้ามือปราบกู่คิดเห็นอย่างไรกับคดีนี้รึ?”
ต่งจื่อลู่เอ่ยถามเสียงกังวาน เมื่อครู่เขาเห็นสายตานั่นแต่ก็รู้สึกชินเสียแล้ว
“หลังจากประกาศออกไปแล้วเรื่องนี้อีกไม่นานคงรู้ทั่วเมืองตรงตามจุดประสงค์ท่าน ทว่าไม่คาดคิดว่าจะชาวเมืองสงสัยเข้า ไม่รู้ว่าท่านเจ้าเมืองจะเเก้ปัญหานี้อย่างไร?”
แม้เขาจะอยู่ในห้องนี้แต่ก็รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองมาสาย ยังนึกอยากเห็นหน้าคนก่อเรื่อง ยากนักที่จะทำให้คู่ปรับเขาคนนี้เสียอาการ
“เเค่ชาวเมืองที่อยากลองดีน่ะท่านหัวหน้ามือปราบกู่ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
เหมือนไปสะกิดต่อมโมโหเข้าจากที่ต่งจื่อลู่อยากหาเรื่องสหายคู่ปรับกลับโดนย้อนเสียเอง พอพูดจบก็เกริ่นประเด็นอื่นทันทีคล้ายไม่พอใจ
“คนของท่านได้เบาะแสคนร้ายเพิ่มเติมหรือไม่”
เป็นคนของกู่เทียนหลิวคนหนึ่งเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ทางฝั่งเมืองตงเปียนและหนานเปียนคนร้ายไม่มีก่อคดีเพิ่มขอรับ นั่นเเสดงว่ามีโอกาสสูงมากที่คนร้ายจะเดินทางมาที่เมืองนี้แล้ว ตามที่คนร้ายได้ทิ้งสัญลักษณ์บอกไว้ในคดีฆ่าเหยื่อรายสุดท้าย ส่วนประตูทางเข้าทุกทิศข้าน้อยได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังไม่มีใครน่าสงสัยขอรับ”
“แล้วเรื่องวางกองกำลังทั่วเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ท่านรองหัวหน้ามือปราบอู๋”
เรื่องคุ้มครองชาวเมืองนั้นเขามอบหมายให้อู๋หลวนซานซึ่งดำรงตำเเหน่งเป็นรองหัวหน้ามือปราบจึงหันไปถามโดยตรง
“เรียบร้อยดีขอรับ”
“อืม ช่วงนี้พวกเราอาจต้องทำงานหนักหน่อย เพราะคนร้ายรายนี้ก่อคดีฆ่าเหยื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเมืองตงเปียนและหนานเปียน ซึ่งข้าไม่อยากให้ชาวเมืองของเรารู้สึกเช่นนั้น ตอนนี้เราจึงต้องวางกำลังคนดูแลชาวเมืองให้ทั่วถึงและคาดหวังว่าประกาศจับของเราจะช่วยชะลอการก่อคดีของคนร้ายได้อย่างต่ำเจ็ดวัน ขอให้ทุกท่านร่วมมือช่วยกันอย่างเต็มที่ มีใครอยากเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือไม่”
เหล่าชายชาตรีต่างมองหน้ากันไม่มีใครเอ่ย ตอนนี้ในหัวของพวกเขาไร้เเผนรับมือจริง ๆ จากที่ท่านเจ้าเมืองกล่าวเป็นเพียงเเผนเชิงรับเท่านั้น ในใจพวกเขาก็คาดหวังว่าเทพเซียนบนฟากฟ้าจะบันดาลให้พวกเขาจับคนร้ายได้ก่อนที่มันจะฆ่าใครเพิ่ม
“ข้ามีข้อเสนอ!”
เสียงนุ่มละมุนแต่ทุ้มต่ำดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางในชุดดำล้วนขยับออกจากหลังบานประตู ใบหน้าแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลถูดบดบังด้วยหน้ากากขาวขัดกับสถานการณ์ตึงเครียดของคนในห้องประชุมสิ้นเชิง
“เจ้า!!! เข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร”
ทุกคนในห้องหันไปสนใจซูเมิ่งที่ยืนพิงบานประตูด้วยท่าทีสบายอุรา
พอต่งจื่อลู่เสียอาการหลุดเอ่ยอย่างตระหนก เจ้าคนที่สมควรไปนอนรอเขามอบโทษให้ในคุก บัดนี้กลับยืนทำหน้าระรื่นท้าทายเขาตรงหน้า
“ข้าน้อยก็เดินมาเรื่อย ๆ บังเอิญได้ยินการสนทนาที่น่าสนใจจึงแวะมาทักทายเสียหน่อย ไม่คิดว่าจะทำให้ท่านเจ้าเมืองโกรธเสียแล้ว”
นางยังพูดในท่าทางเดิม ทำเอาไฟในอกของต่งจื่อลู่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“ใครอยู่ข้างนอก!! มาลากเจ้าเด็กก่อกวนนี่ออกไปเดี๋ยวนี้”
ครานี้ต่งจื่อลู่ลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง
“ช้าก่อนท่านเจ้าเมืองต่ง เหตุใดไม่ฟังเจ้าหนูนี่เสียก่อนเล่า” กู่เทียนหลิวเอ่ยเเทรก
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่พูดเพราะกำลังมองประเมินเด็กหนุ่มร่างเล็กที่น่าจะอายุไม่เกินสิบหกปีอย่างละเอียด ดูจากท่าทางมั่นอกมั่นใจทำเอาเขาอยากจะรู้เสียจริงว่าในหัวนั่นมีข้อเสนออันใด หากไร้สาระเขาก็ไม่ขัดที่จะนำเด็กจอมก่อกวนนี้ไปลงโทษ แต่หากเป็นประโยชน์เล่า…
คนที่ทำท่าจะพุ่งมาจับตัวซูเมิ่งพากันชะงัก ทุกคนไม่กล้าขัดคำสั่งท่านเจ้าเมืองแต่ก็เกรงกลัวท่านหัวหน้ากองปราบเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนเลยนั่งนิ่งพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด
เพื่อความปลอดภัยของตนชั่วคราวนางจึงขยับเดินไปทางผู้ใหญ่ใจดีที่เอ่ยช่วยนาง
“ขอบคุณท่านหัวหน้ากองปราบกู่”
ซูเมิ่งยกมือขึ้นคารวะ นางแอบฟังบทสนทนาอยู่นานแม้ได้ยินแต่เสียง แต่ก็พอเดาได้ว่าท่านนี้น่าจะคือคนนั้นที่ใส่คำจิกกัดลงไปในคำพูดในบทสนทนาเมื่อครู่ตอนโต้ตอบท่านเจ้าเมือง
“ไหนก่อนหน้าเจ้าเอ่ยว่ามีข้อเสนอ?”
แม้ทุกคนจะแอบเห็นด้วยกับท่านเจ้าเมือง มองว่าซูเมิ่งคือเด็กหนุ่มจอมก่อกวน แต่ก็ไม่วายพุ่งสายตาไปที่ซูเมิ่งรอคำตอบ
“เท่าที่ข้าสรุปได้จากพวกท่านพูดนะ คือตอนนี้มีคนร้ายคนหนึ่งฆ่าคนที่เมืองสองเมืองนั้น แล้วตอนนี้น่าจะพุ่งเป้ามาฆ่าคนที่เมืองนี้ใช่หรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมเพียงโดยไม่รู้ตัว ซูเมิ่งยิ้มกับการตอบรับนั้นก่อนพูดต่อ
“ข้าไม่ทราบนะว่าคนร้ายฆ่าคนไปเท่าไหร่ แล้วเหตุใดทุกเมืองถึงมั่นใจว่าเหยื่อรายต่อไปต้องอยู่เมืองนี้…”
“เมืองตงเปียนสองรายและเมืองหนานเปียนสองราย”
ก่อนซูเมิ่งพูดจบมีข้าราชการนายหนึ่งเอ่ยตอบ พอรู้ว่าตนเผลอพูดออกมาใบหน้าพลันซีดเผือด แต่พอมองไปที่หัวหน้าตนก็คลายใจเพราะไม่เห็นสีหน้าคาดโทษ แล้วเอ่ยตอบต่อไป
“คนร้ายทิ้งสัญลักษณ์เมืองเราไว้ที่ตัวเหยื่อรายล่าสุด เหมือนอย่างตอนที่มันย้ายมาก่อคดีที่หนานเปียนต่อจากซีเปียน พวกเราเลยค่อนข้างมั่นใจว่ารายต่อไปต้องเป็นชาวเมืองในเมืองเราแน่นอน”
นางพยักหน้าเข้าใจ ในหัวประมวลข้อมูลอย่างช้า ๆ
“หากเป็นเช่นนั้นการที่ท่านประกาศจับคนร้ายอย่างเอิกเกริกนั้นไม่ได้ทำให้คนร้ายเกรงกลัวแต่อย่างใด แต่กลับเป็นฝ่ายช่วยคนร้ายเสียด้วยซ้ำ”
คำพูดนี้เหมือนเป็นการทิ้งระเบิดกลางที่ประชุมดังเบิ้ม ต่งจื่อลู่หยักยิ้มแกมถากถาง
“เจ้าเอาอันใดมาพูด! เจ้าจะบอกว่าคนร้ายไม่กลัวทางการอย่างนั้นรึ หึ”
“ข้าหาได้บอกเช่นนั้น”
สีหน้างุนงงเกิดแก่ทุกคน
“พวกท่านคิดดูนะ ว่าเหตุใดคนร้ายถึงทิ้งสัญลักษณ์บอกชัดเจนว่าเหยื่อรายต่อไปอยู่ที่เมืองนี้ ข้าเดาว่าทุกครั้งที่ก่อคดีต้องเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเมือง เป็นหัวข้อสนทนาในโรงน้ำชาของชาวเมือง ทำให้ทางราชการแต่ละเมืองหวาดหวั่นเป็นแน่ ใช่หรือไม่”
พอเห็นทุกคนพยักหน้าเบา ๆ นางก็แย้มยิ้มถูกใจ
“เพราะฉะนั้นข้าน้อยเดาว่าจุดประสงค์ของการก่อเหตุทั้งหมดของผู้ร้ายคือการทำให้ชาวเมืองทุกคนได้รับรู้และต้องการท้าทายทางการ ซึ่งการที่ท่านประกาศจับออกไปนั่นก็เข้ากับสิ่งที่คนร้ายต้องการพอดี ในไม่ช้าคนร้ายต้องก่อเหตุแน่ ที่ท่านทำไปไม่ส่งผลต่อคนร้ายแต่อย่างใด”
เนื่องจากในชาติก่อนนางมีโอกาสได้เรียนวิชาจิตวิทยาเพื่อใช้ในการเป็นสายลับ นางพอเคยเจอคนร้ายแบบนี้มาบ้าง คิดไม่ถึงว่ามาที่นี่จะได้มีโอกาสเจอคดีที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่นางยังไม่รู้รายละเอียดคดีจึงไม่สามารถสรุปอะไรได้มากกว่านี้
“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดได้นี่”
ข้าราชการคนหนึ่งเอ่ย ใจเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเพียงคำคาดเดา ถ้าหากให้ข้าน้อยดูรายละเอียดคดีอาจบอกได้มากกว่านี้”
“เจ้าคิดว่าข้อมูลทางราชการจะให้ใครดูก็ได้รึ เจ้า…”
ก่อนที่ต่งจื่อลู่จะพูดจบพลันมีข้าราชการคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใบหน้าแตกตื่น
“ฆาตกรก่อเหตุแล้วขอรับ!!!”
สิ้นเสียง ทุกคนพร้อมในกันหันมองมาที่ซูเมิ่งเผยแววตาตื่นตะลึง
“ไป! รวมกำลังคนไปที่เกิดเหตุ”
ท่านหัวหน้ามือปราบขยับตัวเป็นคนแรก
เขาเดินนำทุกคนออกจากห้องประชุมทันทีทิ้งให้ซูเมิ่งอยู่ในห้องประชุมเพียงผู้เดียว พอนางจะติดตามไปก็ถูกกันไว้ ก่อนถูกพาไปไว้ในห้องขังห้องหนึ่ง ยังดีที่ห้องนี้เป็นห้องเดี่ยวห้องรอบข้างก็ยังว่าง ภายในห้องมีเตียงหนึ่ง โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้หนึ่งตัว หลังจากปล่อยนางไว้ที่นี่คนที่พามาก็หายไป จนตอนนี้ท้องร้องจ๊อก ๆ มองไปที่หน้าต่างบานเล็กที่อยู่สูงกว่าหัวตนก็พบว่าน่าจะเลยยามโหย่วแล้ว เพราะท้องฟ้าเป็นเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืด ส่วนในห้องขังนี้ก็ยิ่งมืด ดูเหมือนว่าคนของที่ว่าการจะยุ่งจนลืมเวลามาจุดตะเกียง
แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คนของที่ว่าการยุ่งขนาดนี้เเปลว่าเรื่องคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นคงยังจัดการไม่ได้ นั่นก็แปลว่าอีกไม่นานนางคงได้รับการปลดปล่อย
…ดูท่าสมัยนี้คงยังไม่เคยเจอฆาตกรต่อเนื่องเลยยังไม่มีวิธีจัดการ
คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงทรุดลงนั่งบนเตียง สักพักก็ล้มตัวลงนอนไขว้ขา พอเบื่อ ๆก็กระดิกเท้า นอนนับแมงมุมบนเพดาน
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







