LOGIN#####บทที่ 9
หลังจากออกมาจากวงคนมุงนั้นได้แล้วซูเมิ่งก็มุ่งหน้าเดินไปยังสถานที่เเห่งหนึ่งซึ่งนางเคยมาแล้วครั้งนึง นั่นก็คือ หอสรรพสิ่ง นั่นเอง
เบื้องหน้านางคืออาคารสูงตระหง่าน แสงที่สาดสะท้อนทำเอานางตาพร่า พอปรับสายตาได้ สองเท้าคู่เล็กก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“เชิญข้างในเจ้าค่ะคุณชาย"
สตรีที่ยืนข้างประตูวิ่งรี่เข้ามาเมื่อเห็นลูกค้า นางเดินนำซูเมิ่งเข้าไปข้างในตรงโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง ก่อนรินน้ำชาให้
“คุณชายต้องการรับบริการอันใดเจ้าคะ?”
“เอ่อ ขอดูก่อนว่าที่นี่มีบริการใดบ้าง?”
ซุเมิ่งยังคงทำท่ามาดสงบนิ่ง พอเห็นฝ่ายตรงข้ามทำหน้าเหวอก็พูดเสริม
“เจ้ามีเมนู เอ่อ ไม่ใช่สิ รายการ หรือสิ่งที่บอกข้าได้หรือไม่ว่าที่นี่มีบริการอะไรบ้าง?”
…เอ หรือว่ายุคนี้เค้าไม่มีอะไรจำพวกนี้กันนะ
แม่นางคนที่มารับใช้ซูเมิ่งชื่อหานมี่ นางเป็นคนจัดการรองแห่งหอสรรพสิ่งแห่งนี้ นี่เป็นครั้งเเรกที่ลูกค้าร้องขอรายการหรืออะไรสักอย่างทำเอาคนมีประสบการณ์มากอย่างนางไปไม่เป็นเลยทีเดียว แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพหญิงสาวจึงคงยิ้มแย้มแม้ว่ารอยยิ้มจะออกเเข็งทื่อไปสักนิดก็เถอะ
“คุณชายคงยังไม่เคยใช้บริการหอสรรพสิ่งใช่ไหมเจ้าคะ?”
ซูเมิ่งพยักหน้าพลางยกน้ำชาขึ้นจิบแก้อาการตื่นเต้น ตอนนี้ง่ามมือนางเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
“ที่นี่มีสินค้ามากมายเจ้าค่ะ หากท่านต้องการข้าน้อยจะนำท่านไปดูที่ชั้นสอง ส่วนสินค้าหายากชั้นสามต้องจ่ายค่าเข้าชม นอกจากนี้ก็ยังสามารถนำของหายากมาขายได้เช่นเดียวกันโดยจะต้องเป็นของในหมวดที่ทางหอต้องการเจ้าค่ะ ไม่ทราบคุณชายต้องการรับบริการอันใดดีเจ้าคะ?”
พูดจบนางก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม จ้องมองชายหนุ่มหน้าใสตรงหน้า นางเพิ่งสังเกตใบหน้าของคุณชายนั้นเนียนยิ่งกว่าผิวสตรี แถมยังขาวจัดราวหิมะ แล้วยิ่งมีหน้ากากสีขาวไร้ลวดลายปิดยิ่งขับผิวให้ดูผ่องมากขึ้นกว่าเดิม
“น่าสน น่าสน”
…ไยไม่มีบริการขายข่าวหรือซื้อข่าวอย่างที่ชิงซาเคยเล่าให้นางฟังเลย
หานมี่ยืนฉีกยิ้มกว้างเช่นเดิมรอคำพูดต่อไปของลูกค้าตรงหน้าอย่างใจเย็น ซึ่งมันคือการกดดันซูเมิ่งดีดีนี่เอง
“อ้อ ข้าเหมือนเคยได้ยินสหายในยุทธภพเอ่ยถึงว่าที่นี่มีขายข่าวซื้อข่าวด้วย ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?”
พูดจบซูเมิ่งก็ยกชาขึ้นดื่ม สองตาจ้องมองหานมี่นิ่ง
นัยน์ตาหานมี่วาบแววคลางเเคลงใจครู่หนึ่งก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน
“ท่านได้รับข่าวมามิผิดเจ้าค่ะ ที่หอสรรพสิ่งมีบริการนี้จริง แต่ท่านต้องลงทะเบียนก่อนเจ้าค่ะ”
…การลงทะเบียนน่าจะคือมาตรการการป้องกันอย่างหนึ่งของที่นี่ เพราะการซื้อหรือขายข่าวเป็นเป็นเหมือนเผือกร้อนอย่างหนึ่ง หากจัดการไม่ดีอาจมีภัยเข้าตัวได้
“ลงทะเบียนอย่างไรรึ?”
“ต้องบอกนามให้ครบถ้วน รวมถึงสกุล และก็ข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย จากนั้นรอเวลาสองวันถึงใช้บริการได้เจ้าค่ะ”
…อืม รอสองวันคงใช้เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลจริงหรือเท็จกระมัง อย่างนั้นแผนที่นางคิดว่าจะทำทีหาข่าวเกี่ยวกับตัวนางเองก็ต้องกลับไปคิดใหม่ให้ครอบคลุมกว่าเดิม
ซูเมิ่งตัดสินใจเลือกไปดูสินค้าที่ชั้นสอง นางวนดูรอบห้องจับของเกือบทุกชิ้น ฟังที่หานมี่แนะนำแต่ก็ไม่เลือกซื้อสักชิ้น จนเวลาล่วงเลยไปกว่าสองเค่อ ซูเมิ่งก็ทำทีหันไปบอกว่าไม่มีสิ่งใดถูกใจและตนมีธุระขอออกมาก่อน
ก่อนออกมานางแอบสังเกตสีหน้าหานมี่แต่ก็ไม่เห็นสีหน้าเเสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด ถือว่าหอสรรพสิ่งเลือกคนมาได้ดี นางมาครั้งนี้แม้ว่าจะไม่สามารถสืบว่าทางตระกูลไป๋ได้กำลังหาตัวนางอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่ถือว่าเสียเปล่า นางยังได้ข้อมูลเอาไว้วางเเผนในอนาคต
ซูเมิ่งเดินไปตามถนนมองดูรอบข้างอย่างคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่ง จู่ ๆก็ถูกคนข้างหลังชนอย่างจัง ยังไม่ทันให้นางตั้งหลักได้เจ้าคนที่ชนก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว ซูเมิ่งอ้าปากจะต่อว่าแต่พอสายตามองตามทิศที่ชายที่มาชนนางก็หุบปากลง
ชายที่ชนซูเมิ่งวิ่งไปรวมกับชาวเมืองหน้าเเผ่นไม้ขนาดใหญ่อันหนึ่ง ดูเหมือนจะมีประกาศบางอย่างเพิ่งมาแปะบนแผ่นไม้นั้น แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งดึงดูดใจคนได้ขนาดนี้ ซูเมิ่งจึงดึงเเขนเสื้อชายอีกคนหนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านนางซึ่งเขามาจากทิศเเผ่นไม้นั้น
“พี่ชาย ๆเขามุงดูอะไรกันรึ?”
ชายที่ถูกดึงมีความสูงพอกับซูเมิ่งผิวสีออกคล้ำสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ พอเขาถูกชายที่หน้าหวานดึงก็เผยสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเปิดปากตอบ
“ดูประกาศวันนี้ไง! หากใครช่วยทางการได้รับเงินสูงสุดเป็นพันตำลึงเชียวนะ”
พอพูดจบเขาก็สะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุม ก่อนวิ่งไปหาสหายที่รอฟังข่าวจากเขาเช่นกัน
“ก็ว่าไยมีคนมุงเยอะเพียงนี้”
นางเอ่ยกับตนเองพร้อมพยักหน้าเข้าใจ
…ช่วยทางการได้เงินถึงพันตำลึงก็ดูน่าสน แต่เรื่องที่ให้ช่วยคงไม่ง่าย คนของทางการก็มีไยประกาศเสียใหญ่โตให้คนภายนอกรู้ทั่วเมือง จุดประสงค์คงไม่ใช่แค่หาคนช่วยหรอกกระมัง
ถึงซูเมิ่งคิดได้อย่างนั้นสองเท้าก็ก้าวไปยังทิศที่คนมุงอยู่ดี
ประกาศจากทางการ
เนื่องจากมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นที่เมืองตงเปียนและเมืองหนานเปียน
เหยื่อเป็นชายอายุราว ๆ 16 - 20ปี เนื่องด้วยทางราชการเป็นห่วงความปลอดภัยของชาวเมืองทุกคน
จึงขอแจ้งให้ชาวเมืองทุกคนร่วมมือร่วมใจเฝ้าระวังตนเองและคนใกล้ชิด
หากใครพบเห็นความผิดปกติหรือบุคคลต้องสงสัยที่เข้าข่ายเป็นฆาตกร
สามารถแจ้งเบาะแสและรับเงินจากทางการได้ที่สถานที่ว่าการแห่งนี้
เงินรางวัลเป็นเงินสูงสุดห้าพันตำลึงหากผู้ใดจับฆาตรกรได้
เพื่อความปลอดภัยของชาวเมือง ทางการได้วางกำลังพลทั่วทุกพื้นที่
สุดท้ายหวังว่าชาวเมืองทุกคนจะให้ความร่วมมือ
หลังจากซูเมิ่งไล่สายตาอ่านจบ คิ้วเรียวงามพลันขมวดมุ่น
…จะให้ช่วยแจ้งเบาะแส? ช่วยจับฆาตกร? ไยไม่บอกอะไรให้รู้เลย
เนื้อหาในประกาศนี้นอกจากบอกข้อมูลเหยื่อเพียงน้อยนิดแล้วรายละเอียดอื่นของคดีหรือฆาตกรแทบไม่มีเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนนางก็คิดว่ายังยากจะช่วยทางการได้
“พี่ชายท่านนั้นน่ะ ข้าขอถามอะไรหน่อย!”
เสียงนุ่มของหนุ่มวัยละอ่อนดังขึ้นก่อนภาพเด็กหนุ่มสวมหน้ากากขาวเกือบครึ่งหน้าจะโผล่ออกมาจากฝูงชนหน้าป้ายไม้
ซูเมิ่งตะโกนเรียกชายร่างกำยำใบหน้าเคร่งขรึมซึ่งนางคาดว่าเขาน่าจะเป็นคนของทางการ และเสียงของนางก็ได้ผลเกินคาดเพราะคนของทางการทั้งสองหยุดฝีเท้าก่อนหันหลังกลับมาตามเสียง
“หนุ่มน้อย เจ้าเรียกข้ามีปัญหาอันใดรึ!”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้นบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงอารมณ์ไม่ดี แต่ก็หาได้ทำให้ซูเมิ่งขวัญเสีย
“ใช่ ๆข้ามีเรื่องสงสัยอยากถามเกี่ยวกับประกาศนี้หน่อย”
พอนางหลุดออกจากฝูงชนมาได้ก็ยืดตัวยืนอย่างสง่าผ่าเผย แม้ส่วนสูงนางจะถือว่าเตี้ยสำหรับการปลอมตัวเป็นชายแต่ก็สามารถแผ่กลิ่นอายความสง่าออกมาได้
…นางคิดว่าคงต้องหาอะไรมาเสริมส้นให้ดูสูงขึ้นสักหน่อย
ส่วนน้ำเสียงของร่างนี้ออกบางและนุ่มนวลนางจึงต้องปรับคำพูดให้ดูสั้นกระชับและพูดเสียงแข็งขึ้น หากฟังก็จะนึกถึงหนุ่มน้อยที่ยังโตไม่เต็มที่
“ข้าอ่านประกาศแล้วเข้าใจว่าทางการต้องการให้ช่วยจับฆาตกรใช่หรือไม่”
“ใช่น่ะสิ!”
“เช่นนั้น ข้าขอข้อมูลฆาตกรหน่อย”
ซูเมิ่งพูดเสียงไม่เบา เหล่าคนที่ชุมนุมกันอยู่หน้าป้ายบางคนก็เริ่มหันมาสนใจ
“ข้อมูลอะไรของเจ้า ก็มีตามที่ประกาศอย่างไรเล่า! นอกเหนือจากนั้นเป็นความลับทางราชการ”
ชายร่างกำยำที่เป็นเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการคนขวาเอ่ยเสียงดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม พวกเขามีหน้าที่นำประกาศมาติดตามเบื้องสูงสั่งการลงมา ไม่คิดว่าจะมาเจอหนุ่มน้อยพูดจาไม่รู้เรื่องก่อกวนเยี่ยงนี้
“ไหนกัน ไม่เห็นมีบอกสักนิดว่าฆาตกรรูปร่างเป็นอย่างไร ลักษณะเป็นอย่างไร หรือว่าพวกเจ้าจะให้ชาวเมืองอย่างพวกเราเดาเอาเอง!” เสียงนางก็ดังขึ้นไม่แพ้กัน
คำพูดของนางออกจะดูก้าวร้าวและสร้างความขัดแย้งให้ชาวเมืองกับทางราชการไปบ้าง ซึ่งนั่นทำให้ชาวเมืองที่มีความคิดอย่างซูเมิ่งแต่ไม่กล้าแสดงตนเริ่มส่งเสียงร้องเห็นด้วยกับคำกล่าวของหนุ่มน้อยใจกล้า
…แต่ก็นั่นเเหละ นี่คือความต้องการของนาง!!!
ให้อาศัยข้อมูลเพียงในประกาศเพื่อตามหาฆาตกรล่าเงินนับพันตำลึงนั้นยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แล้วทางการยังไม่มีทีท่าว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้นนางจึงสรุปได้ว่า เงินที่ตั้งไว้สูงจริงแต่ไม่สามารถทำได้เหมือนไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากชาวเมืองอย่างที่บอกไว้ในประกาศ แต่เป็นการเรียกร้องความสนใจต่างหากเล่า!!!
ตั้งค่าหัวสูง ยิ่งสูงข่าวจับฆาตกรยิ่งกระจายไปทั่วเมือง ซึ่งนั่นเป็นผลดีต่อทางการทั้งนั้น แล้วความหวังที่ชาวเมืองจะได้เงินรางวัลก็แทบไม่มี ซึ่งนั่นรวมถึงนางเช่นกัน …เงินนับพันตำลึง หากนางได้มา อยู่ได้สบาย ๆนับปีเชียวนะ
…การถูกเอาเปรียบเป็นเรื่องที่ซูเมิ่งยอมไม่ได้ นางจึงต้องสร้างเรื่องเสียหน่อยให้ทางการทนไม่ไหวนางขออะไรก็ต้องได้แน่!
“เจ้าอย่าพูดอะไรมั่ว ๆนะ!!”
เสียงที่ตะคอกออกไปสั่นเครือ ใจของเขาเริ่มกังวล คำพูดของเด็กหนุ่มทำเอาชาวเมืองพุ่งเป้าประท้วงเสียงเส็งแซ่
“เจ้า…”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!!”
จู่ ๆชายวัยกลางคนในชุดสีกรมก็เอ่ยเเทรก น้ำเสียงทุ้มเข้มแฝงความน่ายำเกรงสามส่วน เบื้องหลังมีชายหนุ่มร่างกำยำใส่ชุดเหมือนกันตามอยู่
“ท่านเจ้าเมือง!"
เสียงเงียบลงพร้อมกันนั้นชาวเมืองที่ก่อนหน้าก้าวเข้ามาส่งเสียงประท้วงก็พร้อมใจกันก้าวถอยหลังทำให้เหลือนางยืนโดดเด่นเพียงคนเดียว สายตาของเหล่าผู้มาใหม่จึงตกอยู่ที่นางโดยปริยาย
ซูเมิ่งคลี่ยิ้มเบิกบานไร้สิ้นซึ่งท่าทีกลัวเกรงยามยืนตรงหน้าชายผู้เป็นใหญ่ที่สุดของเมืองที่นางอาศัยอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นซูเมิ่งหมุนตัวหันมาเผชิญหน้าก่อนเอ่ย
“คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ ท่านมาได้เวลาพอดี ข้าน้อยมีเรื่องสงสัยแล้วลูกน้องของท่านไม่สามารถคลายข้อสงสัยได้ คงต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองแล้ว”
ความจริงเขามาทันได้ยินคำพูดเจ้าหนุ่มตรงหน้าทั้งหมดเพียงแต่ยืนสังเกตุการณ์ด้านนอก ต่งจื่อลู่กวาดสายตามองสำรวจทั่วร่างของเด็กหนุ่มถือดีตรงหน้า ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองมามากว่ายี่สิบปี น้อยคนนักที่กล้าถือดีเยี่ยงนี้ แต่ด้วยนิสัยของเขาที่รักหน้าตาเสียยิ่งกว่าชีวิตทำให้ตนต้องสะกดกลั้นอารมณ์คกรุ่นไว้ในใจ ใบหน้ายังคงสงบนึ่งไร้รอยอารมณ์เช่นเดิม
“ทุกคนใจเย็นก่อน ข้าตอบข้อสงสัยทุกคนแน่นอน ผู้ใดต้องการดูข้อมูลทางราชการตามข้าไปข้างในได้เลย”
คำพูดสุดท้ายต่งจื่อลู่หันมากล่าวกับทุกคน น้ำเสียงแฝงความเยือกเย็นไว้หลายส่วน
เหล่าชาวเมืองพากันส่ายหน้า พากันเเยกย้ายราวกับเหตุการณ์ประท้วงก่อนหน้าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
…ใครจะโง่ตามเข้าไปในที่ลับกันเล่า พวกเขารู้ว่าอยู่ข้างนอกกับคนเยอะ ๆ ท่านเจ้าเมืองไม่กล้าทำอะไรแน่ แต่หากเข้าไปแล้วไม่รู้จะเจอกับอะไร แค่ได้ยินว่าจะเปิดเผยข้อมูลทางราชการให้ดูก็รู้สึกหนาวสั่น คำพูดนี้เป็นการข่มขู่กลาย ๆ
หึ ข้อมูลทางราชการไหนเลยชาวบ้านธรรมดาจะดูได้
แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งไม่คิดอย่างนั้น!
ซูเมิ่งก้าวเท้าตามติดมุ่งเข้าที่ว่าการ มุมปากหยักยิ้มพอใจ
…ตื่นเต้นจริง! จะได้ไปเยือนที่ว่าการผู้ว่าแล้ว
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







