เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 25
ซูเมิ่งกลับมาใช้ชีวิตในจวนวนเรียนนอนเรียนนอนอีกเช่นเคย จนกระทั่งมีบ่าวรับใช้ที่นางคุ้นหน้าเหมือนจะเป็นบ่าวเรือนฮูหยินใหญ่สักคนเดินเข้าแจ้งแก่นางว่า รุ่งเช้ายามเหม่า(5.00 - 6.59น.)ให้นางเตรียมตัวออกเดินทางไปวัด โดยการไปครั้งนี้มีสวดมนต์ข้ามวันค้างคืนที่วัด 1 คืนให้นางเตรียมของใช้ไปด้วย ซึ่งนางให้เย่าถิงและไป๋จื่อติดตามนางไป ส่วนฉายถิงและเชียนถิงที่เป็นบ่าวขั้นสองนางให้เฝ้าเรือน ซึ่งนอกจากมาบอกเรื่องที่ตนต้องไปวัดแล้วบ่าวคนนั้นก็ไม่บอกอย่างอื่นอีกเลย ซูเมิ่งจึงให้ไป๋จื่อไปสืบดูและได้เรื่องว่าคนที่ไปมีฮูหยินใหญ่ เจียงเหมย แล้วก็นาง ที่เหลือก็เป็นบ่าวรับใช้หลายสิบคน เนื่องจากไปครั้งนี้มีแต่ผู้หญิงในบ้านไปทั้งพี่ใหญ่และพี่รองไม่มีใครว่างเลยสักคน พวกเขาจึงส่งลูกน้องมาสามคนนอกนั้นก็นำคนคุ้มกันของที่จวนไปอีกราวสิบคนเห็นจะได้ไปด้วย ถือว่าการไปไหว้พระครั้งนี้ขบวนใหญ่น่าดู และไป๋จื่อก็สืบมาได้อีกว่าสาเหตุการไปฉุกละหุกครั้งนี้เป็นผลมาจากที่วัดจิวเลี่ยนนั้นเป็นวัดที่เพิ่งมามีชื่อเสียงในเรื่องการขอพรเรื่องความรัก แม้วัดจะอยู่ห่างไกลผู้คนต้องขึ้นเขาไปหน่อยแต่ก็มีผู้คนในเมืองหลวงแห่ไปสักการะไม่ขาดสาย วันนี้นางจึงรีบเข้านอนเร็ว พอตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นให้เย่าถิงช่วยเเต่งตัวเป็นชุดกระโปรงสีเขียวเรียบ ๆ เครื่องประดับก็หยิบปิ่นหยกเสียบ ต่างหูไม่ยาวมาก แต่งหน้าเบาบางเผยผิวขาวกระจ่างใสของเจ้าตัว ซูเมิ่งออกมาหน้าจวนก็เจอพี่ชายทั้งสองและท่านพ่อที่ตื่นเช้ากว่าปรกติมาส่งพวกนางก่อนออกเดินทาง “เมิ่งเอ๋อรีบไปรีบกลับน้า เสียดายพี่รองติดงาน มิเช่นนั้นไม่ปล่อยให้เจ้ากับท่านแม่ไปกันตามลำพักหรอก” สิ้นคำก็ดึงตัวนางไปสบอกตนเบา ๆ แต่พอได้รับสายตาดุดันจากผู้เป็นพ่อก็รีบผละออก พี่ใหญ่ที่เดินมาจากทิศทางที่ไป๋ฮูหยินอยู่ก็ตบบ่าผู้เป็นน้องหนึ่งทีเบา ๆ “มีอะไรก็เรียกใช้พวกเขาได้เลยนะ มิต้องเกรงใจ” ชายหนุ่มพยักหน้าไปทางลูกน้องตนเองสามคนที่ยืนอยู่ไกลออกไป ทั้งสามยืนตัวตรงหน้านิ่งขรึม เสียจนซูเมิ่งมองตามแล้วอดเเซวไม่ได้ “แค่มีพวกเขาอยู่ก็ไม่มีใครแกล้งพวกข้าได้แล้วพี่ใหญ่” ซูเมิ่งหันไปหัวเราะหยอกเย้ากับพี่รอง จากนั้นนางก็หันไปบอกลาผู้เป็นพ่อและเดินขึ้นรถม้าของตนเอง รถม้านางคือคันหลังนั่งแยกกับไป๋ฮูหยินและเจียงเหมย ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีทีเดียวเพราะจะได้ไม่ต้องอึดอัดทั้งสองฝ่าย อันที่จริงคือพวกเขาไปกันสองคนก็ได้แต่ที่เอาซูเมิ่งไปด้วยน่าจะเป็นเพราะกลัวคนนอกพูดไม่ดี หาว่าผู้เป็นแม่ลำเอียงรักหลานแต่ชังลูกตนเองกระมัง ระหว่างทางไปวัดจิวเลี่ยนซูเมิ่งคอยสังเกตตลอดทาง ตอนนี้ผ่านมาหลายชั่วยามมีหยุดพักม้าบ้าง ส่วนคนก็สามารถลุกออกมายืดเส้นยืดสายได้ แต่ด้วยช่วงนี้พระอาทิตย์ตรงหัวแล้วจึงไม่ค่อยมีใครออกจากรถม้าที่มีถังน้ำเเข็งอยู่ แล้วเผชิญแสงเเดดเเผดเผาสักเท่าไหร่ ยกเว้นซูเมิ่งที่ไม่ถนัดอยู่เฉยจริง ๆ จากนั้นพอปล่อยให้ม้าได้กินหญ้ากินน้ำก็เดินทางต่อ ครานี้ทางเริ่มชันและรอบข้างก็เป็นป่ามากขึ้น นางจึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเอาคนคุ้มกันมาเยอะเยี่ยงนี้ คงเป็นเพราะการเดินทางทั้งเปลี่ยวและอันตรายนั่นแหละ เพื่อให้สมหวังเรื่องความรักถึงขนาดต้องลงทุนมาไหว้ถึงที่นี่เชียวหรือ …ไป๋ซูเมิ่งไม่เข้าใจจริง ๆ ในที่สุดขบวนรถม้าตระกูลไป๋ก็ถึงจุดหมายเสียที ตอนนี้คือยามเว่ยปลาย ๆ(13.00-14.59น.) ตอนที่ขบวนนางมาถึงก็มีแม่ชีออกมาต้อนรับแล้วก็นำพวกนางไปยังที่พักซึ่งเป็นสามห้องเรียงกัน บ่าวของซูเมิ่งทั้งสองนอนแยกอีกห้องไม่ไกลจากบริเวณนี้ ส่วนที่พักผู้ชายอยู่ฝั่ง ซึ่งคราแรกที่ซูเมิ่งได้เห็นวัดเเห่งนี้ก็รู้สึกผิดคลาดอย่างมาก นางมิคิดว่าวัดบนเขากลางพื้นที่ป่าเช่นนี้จะใหญ่โตเพียงนี้ และดูหรูหราพอตัว ห้องพักมีหลายสิบห้องแบ่งฝั่งหญิงชายอย่างดี รวมกับรอบข้างเป็นป่าเขา อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่ง หากไม่ติดว่ามีโบสถ์นางคงคิดว่าที่แห่งนี้คือสถานที่เที่ยวดีดีนี่เอง มื้อเย็นนี้พวกนางต้องไปกินรวมกันที่ห้องอาหารของวัดซึ่งจัดไว้เป็นอาหารเจทั้งหมด พอเข้าไปนางก็เห็นผู้คนอีกเยอะพอควรบ้างก็กำลังเตรียมของกลับบ้างก็เข้ามานั่งทานอาหารเหมือนพวกนาง ซูเมิ่งเดิมตามไป๋ฮูหยินกับเจียงเหมยเข้ามา พอคนข้างหน้าหยุดนางก็ต้องหยุดบ้าง “มิคิดว่าจะเจอฮูหยินของเสนาบดีโต่งที่นี่ โชคดีเสียจริง” ซูเมิ่งมองไปยังสตรีอายุราวสามสิบปลาย นางสวมชุดสีเกือบขาวบนหัวประดับเครื่องประดับพอตัว พอนึกถึงมือปราบฉิงอีก็พยักหน้ากับตนเองเบา ๆว่าที่เเท้มือปราบฉิงอีก็หน้าตาเหมือนโต่งฮูหยินพอตัว ยิ่งพอมองไปยังสตรีอีกนางที่ตามหลังมาก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นลูกสาวนางแน่เพราะหน้าตาถอดแบบมาเกือบหมด “เช่นกัน มิคิดว่าไป๋ฮูหยินจะพาลูกสาวมาขอพร นี่ลูกสาวข้าเองนามจิวซิน” สตรีชุดสีชมพูอ่อนเดินขึ้นมาย่ออย่างเชื่องช้า นางดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมยิ่ง “เรียบร้อยอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรีเสียจริง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนเอื้อมมือมาดึงหลานตนขึ้นมา “คนนี้หลานข้าเอง เจียงเหมย ส่วนอีกคนลูกสาวคนโต ซูเมิ่ง” โต่งฮูหยินมองทั้งสองคนด้วยสายตาชื่นชม นางหันมาหยุดที่ซูเมิ่ง “คุณหนูซูเมิ่งหน้าตาสดใสขึ้นกว่าวันงานของฮองเฮาเสียจนข้าจำเเทบไม่ได้เลย สวยสง่าเสียจริง” ซูเมิ่งรับคำด้วยการอมยิ้มน้อย ๆ นางหันไปสบตาคุณหนูจิวซินก่อนพยักหน้าให้กัน ทั้งสองฮูหยินสนทนาอย่างถูกคอพากันไปหาที่นั่งทานอาหารด้วยกัน ส่วนพวกนางก็ตามไปนั่งข้าง ๆ เป็นเจียงเหมยที่นั่งข้างไป๋ฮูหยิน ถัดมาก็นาง แล้วก็จิวซินและโต่งฮูหยิน เนื่องจากโต้ะเป็นทรงกลับฮูหยินทั้งสองจึงนั่งข้างกันพอดี “คุณหนูจิวซินอิ่มแล้วหรือ?” ซูเมิ่งเอ่ยทักเพราะเห็นนางวางตะเกียบ หยิบผ้าเช็ดปาก พอมองไปที่ชามบะหมี่เจก็เห็นพร่องไปไม่ถึงครึ่ง “ยังหรอก ข้าไม่ชอบทานอาหารเจน่ะ” นางยิ้มแหย ๆ “ข้าก็ไม่ได้ชอบ แค่พอทานได้” พอสายตาตกไปที่ชามของซูเมิ่งที่หมดเกลี้ยงก็หลุดหัวเราะเบา ๆ ทำเอาซูเมิ่งมองตาม “คุณหนูจิวซินแม้ไม่ชอบก็ควรทานเยอะ ๆนะมิเช่นนั้นคืนนี้หิวเป็นแน่” พอซูเมิ่งคิดถึงสิ่งที่ตนต้องทำในคืนนี้ก็รู้สึกซังกะตายขึ้นมาทันที สวดมนต์กับนางเข้ากันเสียที่ไหนเล่า ขอกลับไปเรียนดีดพิณเขียนอักษรเสียยังดีกว่า พอนางหันไปมองจิวซินก็เห็นใบหน้าแสดงออกมาเช่นเดียวกันกับนางก็ยิ้มเยาะในใจ ตนเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมเสียแล้วล่ะ “ก็ได้ ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วงข้า” “เรียกข้าซูเมิ่งเถอะ” จิวซินชะงักมือที่กำลังจับตะเกียบขึ้นมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงใส “งั้นเจ้าก็เรียกข้าจิวซินได้เช่นกัน” เสียงสวดมนต์ดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ยามโหย่ว(17.00น.)จนตอนนี้ยามห้าย(21.00-22.59น.)ก็ยังไม่มีท่าว่าจะหยุดพัก ภายในโบสถ์มีคนที่อยู่ค้างที่วัดราวสามกลุ่ม เป็นกลุ่มนาง กลุ่มจิวซินราวสี่คนรวมบ่าวผู้หญิง และอีกครอบครัวนึงราวห้าคนเช่นกัน ต่างนั่งฟังพระสวดรับพรเพื่อให้สมหวังในโชคชะตาแห่งรักเช่นดังข่าวลือ หากอยากขอพรต้องอยู่ฟังจนข้ามวันจึงจะศักดิ์สิทธิ์ดังคำว่า บางคนก็มาเพียงไหว้พระขอพรแปปเดียวก็กลับ มีเพียงส่วนน้อยที่จะค้างแรมที่นี่ สำหรับซูเมิ่งแล้วนางทนนั่งมาได้เกือบสองชั่วยามก็ถือว่าเก่งมากแล้ว และนางคิดว่าคงไม่ทนนั่งรอจนข้ามวันหรอก ส่วนเรื่องขอพรอะไรนั่นก็ไม่ได้อยู่ในสมองนางมาแต่แรกอยู่แล้ว คิดได้ดังนั้นซูเมิ่งจึงขยับตัวคลายเส้นเล็กน้อยก่อนทำท่าจะลุกออกไปเดินโดยสะกิดบอกบ่าวของตนทั้งสองแล้วว่าหากใครถามให้บอกว่าตนไปห้องน้ำถ่ายหนักและกำชับว่าไม่ต้องตามมา เพราะนางจะกลับมาอีกทีตอนใกล้จบทีเดียว ซึ่งไป๋จื่อดูไม่มีปัญหาเพราะใจลึก ๆไป๋จื่อก็ อยากฟังจนครบและขอพรอยู่แล้ว ส่วนเย่าถิงนั้นซูเมิ่งต้องทำสายตาดุส่งไปให้บ่าวคนนี้ถึงยอมปล่อยให้นางออกมาคนเดียว ระหว่างเดินต้องผ่านจิวซินซึ่งนางก็ขอตามออกมาด้วยเพราะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน “คุณหนูดูเรียบร้อยอย่างเจ้าไม่คิดว่าจะแอบหนีออกมานะเนี่ย” ซูเมิ่งพูดขึ้นหลังจากนางและจิวซินออกมาข้างนอกโบสถ์เรียบร้อยแล้ว นางทั้งสองออกมาทางประตูข้างมิใช้ประตูหน้าเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่น ประตูหน้าคือประตูที่ทุกคนหันเข้าหานั่นเอง ส่วนประตูข้างเป็นประตูที่ทะลุไปห้องครัวเล็กก่อนค่อยออกประตูครัวออกมา “ไม่ไหวจริง ๆ ให้ข้าไปปักผ้าเสียยังดีกว่า แม้นั่งเหมือนกันเเต่ก็ได้ทำสิ่งที่ชอบ” จิวซินพูดพลางมองรอบข้าง ข้างหน้าเป็นป่ามืด ๆ ด้านข้างก็ป่า จึงเริ่มรู้สึกอยากกลับเข้าไปข้างในเสียแล้ว ซูเมิ่งมองจิวซินที่สั่นน้อย ๆ ต่างจากนางที่ยิ้มสบายใจ “ทำกลัวไปได้ เจ้าไม่เห็นหรือมีองครักษ์เต็มไปหมด” นางชี้ไปที่บุรุษหลายคนที่เดินสลับไปมาเฝ้ายามข้างนอก มองดูแล้วน่าจะมีคนทั้งของจวนไป๋และจวนโต่ง “แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนหรือ?” จิวซินขยับไปใกล้สหายสาวมากขึ้น ถึงอย่างไรนางก็กลัวอยู่ดี “ข้าว่าจะกลับห้องไปพักผ่อนเสียหน่อย ค่อยกลับมาตอนใกล้สวดจบแล้วกัน เจ้าก็ไปพักห้องเจ้าหรือจะมาห้องข้าก็ได้นะ” พูดจบซูเมิ่งก็หมุนตัวไปยังทิศของห้องพักตนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เดินไม่ถึงสิบก้าวก็ถึง ส่วนจิวซินก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล นางก้าวเท้าตามซูเมิ่งชิดจนแทบสิงเป็นร่างเดียวกัน พอสองเข้าห้องพักบริเวณนี้ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง พอเวลาล่วงเลยจนมาถึงยามจื่อ(23.00-24.59น.)ซูเมิ่งก็ถูกคุณหนูจิวซินปลุกให้กลับไปสถานที่ที่ทุกคนสวดมนต์ได้แล้ว ซูเมิ่งก้าวนำจิวซินออกมาจากบริเวณห้องพักของตน ซึ่งแม่นางขี้กลัวก็เกาะแขนสหายตนไม่ห่างแต่ก็ต้องหยุดเท้าพลันเพราะคนตรงหน้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุด “หยุดทำไมรึ ซูเมิ่ง” จิวซินเอ่ยทั้งที่ยังก้มหน้า พอยิ่งมืดนางยิ่งไม่กล้ามองรอบข้างเพราะมันทั้งมืดและน่ากลัว “ชู่วว เงียบ ๆแล้วตามข้ามา” ซูเมิ่งจูงมือจิวซินเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณโบสถ์ นางให้จิวซินนั่งยอง ๆหลบหลังต้นไม้ส่วนตัวเอง ยืนหลบเช่นกันสายตาพยายามเพ่งมองสังเกตรอบข้าง คราแรกตอนนางออกมาจากโบสถ์ยังมีองค์รักษ์ทั้งของจวนไป๋และจวนโต่งสลับหมุนเวียนเฝ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่มีเลยสักคนเดียว และอีกอย่างเสียงสวดมนต์ที่ดังกล่อมประสาทนางก่อนหน้าก็เงียบด้วยเช่นกัน นางจำได้ว่าพอเดินมาถึงบริเวณนี้ต้องได้ยินเสียงสวดแล้วสิไม่ใช่เงียบเชียบเยี่ยงนี้ ไอ้เรื่องเสียงสวดมนต์ย่อมเป็นไปได้ว่าอาจสวดเสร็จแล้วหรือไม่ก็หยุดพักก็ได้ แต่คนเฝ้านี้สิไม่น่าหายไปหมดได้ ซูเมิ่งหันบอกให้จิวซินหลบหลังต้นไม้อย่าให้ใครเห็น เพราะเนื่องด้วยนางรู้สึกว่าต้องมีบางอย่างเกิดอะไรขึ้น ส่วนซูเมิ่งก็จะลอบเข้าไปดูใกล้ ๆโบสถ์ดู นางไปคนเดียวคล่องแคล่วหากเกิดอะไรขึ้นจริงนางย่อมหลบออกมาได้ง่ายกว่า แต่ก่อนที่ร่างบางจะก้าวพ้นต้นไม้ซูเมิ่งก็รับรู้ได้ว่าเบื้องหลังมีอะไรบางอย่าง ข้อศอกบางกระทุ้งไปด้านหลังก่อนจะหมุนตัวคว้าจับลำแขนและบิดอย่างแรง “คุณหนูซูเมิ่ง ช้าก่อน ๆข้ามาดีขอรับ”#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







