แชร์

บทที่ 24 (ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:05:56

#####บทที่ 24 (ต่อ)

            ทั้งสามคนในห้องต่างพร้อมใจกันหันไปมองต้นเสียง ผู้มีฐานะสูงสุดในห้องละมือจากถ้วยชาขยับกรามด้วยท่าทีพอใจ ส่วนชายอีกคนมองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าแข็งทื่อด้วยเขาไม่คิดว่าจะได้เจอบุคคลตรงหน้าที่นี่และตอนนี้ และหญิงสาวคนสุดท้ายสายตาแฝงเเววแปลกใจ แต่ก็ลุกขึ้นจากตั่งทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที

            “ลุกขึ้นเถอะ” 

            สิ้นคำชินหวัง ซูเมิ่งก็พยุงตัวขึ้นกลับไปนั่งดังเดิม

            “ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงนี่กันล่ะ แต่ก่อนข้าเชิญมามิเคยมา” ซือเหยียนเอ่ยขึ้น 

            นึกถึงครั้งล่าสุดก่อนน้องชายตนที่ยืนตรงหน้าก่อนจะออกเดินทางนอกเมืองหลวงครั้งนี้ ตนสั่งให้คนไปตามเขามาคุยที่ห้องนี้เพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องงานที่มอบหมายให้เขาทำขณะอยู่นอกเมืองหลวง แต่แล้วเขาก็ได้คำตอบในเชิงปฏิเสธจนกระทั่งเขาผู้เป็นฮ่องเต้ต้องเดินไปคุยกับเจ้าตัวถึงตำหนักของชินหวังเอง ทว่าวันนี้เขาไม่ได้ให้คนไปเชิญแต่กลับเห็นเจ้าตัวมาจึงอดแปลกใจมิได้ แต่ก็รู้สึกจรรโลงใจมากกว่าที่ครานี้เจ้าน้องชายแสนเย็นชาเป็นฝ่ายมาหาตนก่อน

            เว่ยซือหมิงปรายตามองคนในห้องชั่ววาบหนึ่งก่อนเดินไปนั่งตรงตั่งที่ว่างอยู่ ไม่มีท่าทีจะตอบคำถามผู้เป็นฮ่องเต้เลยสักนิด ซึ่งเจ้าของคำถามก็คาดไว้อยู่แล้วว่าตนจะต้องไม่ได้คำตอบ

            ตั่งที่เว่ยซือหมิงนั่งคือข้าง ๆไท่จื่อเยื้องซุูเมิ่ง แต่ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เขาเข้ามาซูเมิ่งก็รู้สึกเย็บวูบวาบแปลก ๆ จึงทำให้ท่าทางของนางดูเเข็งทื่อผิดปรกติ ภายในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกันด้านนอกชัดเจนขึ้น ซึ่งซือเยียนรับรู้ได้เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เบาไม่ดังมากนัก ถือโอกาสนี้ให้ซูเมิ่งได้คุ้นเคยกับไท่จื่อมากขึ้น

            “เทียนเหิง เจ้าพาคุณหนูซูเมิ่งไปชมสวนข้างนอกก่อน”

            ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดา พอเห็นสายตาแฝงความนัยก็พยักหน้ารับคำ หลังจากนั้นหันสบตากับหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามและเดินนำออกไป ซูเมิ่งย่อคารวะทั้งสองอย่างนอบน้อมก่อนเดินตามออกไปแม้นางไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างที่ข้างในคิด แต่ระยะห่างระหว่างนางกับไท่จื่อก็บ่งบอกได้หมด

            “เสด็จพ่อคงมีเรื่องคุยกับท่านอาน่ะ เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปชมสวนข้างตำหนักนี้แล้วกัน ช่วงนี้ดอกไม้ในสวนกำลังเบ่งบานเต็มที่ก่อนเข้าวสันต์ฤดู” 

            ไท่จื่อเอ่ยจบก็เดินนำไปยังสวนที่ว่า ในใจตนนั้นรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของหญิงสาวที่ตามหลังมาเป็นอย่างดี นางไม่เต็มใจแต่ก็ฝืนตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเคยขอให้เขาพาชมดอกไม่ในวังหลายแท้ ๆ คิดดังนั้นเขาก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง หันข้างลอบมองใบหน้านางแฝงแววตาสับสน

            “ครั้งก่อนที่เจ้าตามท่านเสนาบดีไป๋มาที่วังเจ้าเคยบอกว่าอยากชมยามดอกไห่ถัง[17]บาน เจ้าจำได้หรือไม่?”

            ซูเมิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ความทรงจำอันนึงโผล่ขึ้นมาตอนที่ซูเมิ่งคนเก่าเอ่ยกับไท่จื่ออย่างที่เขาว่าแต่คำตอบคือการบอกปัดว่า ไว้คราหลังเพราะช่วงนี้ตนยุ่ง ทั้งที่ช่วงนั้นเป็นช่วงเริ่มฤดูที่ดอกไห่ถังจะบาน ซึ่งไห่ถังที่วังจะบานเป็นเเห่งแรกในเมืองหลวงหาดูที่อื่นไม่ได้ พอมาถึงตอนนี้ไม่ว่าพื้นที่ไหนก็มีดอกไห่ถังบานทั้งนั้นแล้วไยเขาพึ่งมาระลึกได้เอาตอนนี้ ไม่สายไปหน่อยหรือ?

            “จำได้เพคะ แม้ครานั้นจะไม่ได้เชยชมไห่ถังในวัง แต่หลังจากนั้นไม่นานหม่อมฉันก็เห็นดอกไห่ถังบานทั่วเมืองหลวงจนหม่อมฉันรู้สึกว่า ไห่ถังในวังแม้จะบานที่เเรกให้ความงดงามก่อนใครก็จริง แต่ความจริงแล้วไม่ว่าไห่ถังที่ไหนก็มิต่างกัน บางทีไห่ถังที่โตเองตามธรรมชาติกลับสวยงามกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันเติบโตได้อย่างอิสระ ไม่มีคนสวนมาคอยเเต่งเติม มองแล้วสบายตาจรรโลงใจ แต่หากเป็นไห่ถังในวังหากมันโตจนเกินไปก็ต้องถูกตัด มีขอบเขตคอยจำกัด ความงามก็เป็นเพียงความงามที่ถูกแต่งเติม ครานั้นหม่อมฉันยังเด็กจึงไม่รู้ประสาหลงเพียงเสียงเล่าลือว่าไห่ถังในวังงามนัก แต่พอโตขึ้นหม่อมฉันจึงเข้าใจเพคะ” 

            พูดจบนางก็เงยหน้าสบสายตากับไท่จื่อตรง ๆ ด้วยหวังว่าชายหนุ่มจะเข้าใจความหมายที่นางพยายามจะสื่อออกมา

            ซึ่งพอเขาได้ยินนางเอ่ยดังนั้น ฝีเท้าทั้งคู่ของตนก็หยุดชะงัก ไยเขาจะไม่เข้าใจความหมายนั้น นางกำลังจะบอกว่า ตอนนี้นางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางไม่ได้ชอบเขาอย่างในอดีต โดยเปรียบเขาคือดอกไห่ถังในวัง และเปรียบความเก่งกาจ ความสง่างามของเขาดังความงดงามหลังดอกไม้บาน

            …ไยแต่ก่อนเขาไม่รู้ว่านางมีความคิดซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน หรือนางจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ 

            “อืม ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ข้ากลับคิดว่าหากชอบอะไรแล้วคงไม่ง่ายที่จะเลิกชอบหรอกกระมัง" 

            เขาพูดพลางจ้องเข้าไปที่นัยน์ตาของซูเมิ่งอย่างพยายามสืบค้นสิ่งที่ซ่อนอยู่ นัยน์ตาของนางเหมือนมีม่านหมอกจาง ๆขวางกั้นทำให้เขายากจะเข้าถึง การสบตากันครั้งนี้ต่างไม่มีใครยอมละสายตาออกไปก่อน ทั้งสองหยุดเดินบรรยากาศรอบข้างไม่ได้หวานซึ้งอย่างที่ควรจะเป็นยามชายหญิงสบตา แต่มันกลับดูเยือกเย็นและเต็มไปด้วยรังสีกดดัน

            “ก็ไม่แน่นอนเสมอไปนะเพคะ ตอนเด็ก ๆหม่อมฉันชอบทานโปหลัว(สัปปะรด)พอทานบ่อย ๆตอนนี้กลับเบื่อเสียอย่างนั้น”

            “ที่เบื่ออาจเพราะคุณหนูซูเมิ่งทานเเต่โปหลัวแบบสด แต่หากเปลี่ยนเป็นนำไปทำขนมหรือเชื่อมน้ำตาลอาจกลับมาชอบมันอีกก็เป็นได้นะ”

            “นำไปทำเป็นเมนูอื่นอย่างไรก็คือโปหลัวที่หม่อมฉันเบื่อไปแล้ว คงทานไม่กี่ครั้งก็เบื่ออีก ฉะนั้น ไม่ดีกว่าหรือหากเปลี่ยนไปชอบอย่างอื่นเสีย” 

            ทั้งสองยังคงยืนจ้องหน้ากันโต้ไปกลับอย่างไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายไท่จื่อพอเห็นซูเมิ่งกล่าวเช่นนั้นก็หยักยกริมฝีปากยิ้มอย่างพอใจ คราแรกเขาแค่ต้องการทดสอบว่าหญิงสาวตรงหน้ายังใช่ซูเมิ่งคนที่เฝ้าติดตามเข้าทุกคราที่เจอกันไหม ซึ่งสรุปว่าเป็นนางจริงเพียงแต่เป็นนางในอีกแบบที่เขาไม่คาดคิด 

            …และที่สำคัญนางในท่าทีแบบนี้กลับเป็นที่ชื่นชอบของเขากว่าแบบก่อน

            “ไม่ลองก็ไม่รู้ บางที่คุณหนูซูเมิ่งอาจกลับมาชอบทานอีกก็เป็นได้” 

            พูดจบไท่จื่อก็ออกเดินมุ่งไปยังสวนที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากตำเเหน่งปัจจุบัน เดินไปสักพักเขาก็หันกลับมามองหญิงสาวด้านหลังก่อนเอ่ยน้ำเสียงผ่อนคลาย “สวนที่ข้าว่านั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว ตามข้ามาสิ”

            ซูเมิ่งเดินตามองค์ไท่จื่อไปดูดอกไม้ในสวนไม่นานนางก็ขอตัวกลับและฝากไท่จื่อไปกล่าวลาฮ่องเต้ให้ ซึ่งเขาก็รับปากอย่างเต็มใจและดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตาจนนางรู้สึกหงุดหงิดในใจ นางเดินตามนางกำนัลที่ไท่จื่อสั่งให้พานางไปที่ประตูวัง เดินออกมาจากสวนสักพักตรงหน้าก็เป็นทางเดินที่ไม่คุ้นเคยอย่างตอนขามา พอพ้นจากทางเดินก็ผ่านสวนไม้พุ่มอีกเเห่ง นางรู้สึกถึงอารมณ์ไม่คงที่ของตนจึงคิดมองมองไปรอบ ๆขณะเดินเพื่อให้ผ่อนคลาย พลันสองคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าฝั่งขวาในศาลากลางสวนมีชายร่างสูงนั่งอยู่แผ่นหลังเหยียดตรงก้มอ่านหนังสือในมือ เขาคือคนที่น่าจะคุยอยู่กับฮ่องเต้ในห้องทรงพระอักษร เห็นดังนั้นซูเมิ่งจึงเปลี่ยนเป็นมองตรงและเร่งฝีเท้ารีบผ่านบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด

            “คุณหนูซูเมิ่งคงไม่เห็นข้ากระมัง รีบเดินเชียว” ชินหวังเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังแต่ก็เพียงพอให้ซูเมิ่งต้องหยุดเท้าเดิน

            นางถอนหายใจเบา ๆก่อนหมุนตัวเดินไปยังศาลา “คารวะชินหวังเพคะ”

            เจ้าของตำเเหน่งแสดงความไม่พอใจผ่านรังสีความเยือกเย็นจนนางรู้สึกขนลุก …เอ นางทำอะไรผิดไปหนอ

            “ข้าชอบให้เรียกนามข้ามากกว่า”

            ซูเมิ่งอ้าปากค้าง ครานั้นเขาบอกว่าอยู่ข้างนอกเลยอยากให้เรียกนาม แต่นี่ในวังนึกว่าไม่เกี่ยวเสียอีก อย่าบอกนะว่าที่ทำท่าไม่พอใจแค่เพราะนางเรียกผิด

            …คนอะไรเอาใจอยากเสียจริง

            “คารวะท่านซือหมิงเพคะ” 

            นางย่อลงอีกคราพอเงยหน้าขึ้นรังสีความไม่พอใจก็ยังไม่จางหาย 

            “ข้าอายุมากกว่าเจ้ากระมัง” 

            ประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบออกจากปากเจ้าของรังสีเย็นชา “เรียกอย่างอื่น”

            …หือ แล้วจะให้เรียกอะไรทำไมไม่บอกมาเสียทีเดียวเล่า ซูเมิ่งทำได้เพียงบ่นในใจ ในหัวก็ใคร่ครวญคำเรียกที่น่าจะเหมาะสม เขาน่าจะอายุราว ๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกกระมังหากจำไม่ผิด นางย่างเข้าสิบหก …งั้นก็

            “หม่อมฉันเรียก ท่านอาซือหมิงดีไหมเพคะ?” 

            พูดพลางมอบรอยยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดไปให้

            คนถูกเรียกว่าอาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเป็นครั้งแรก ใบหน้าเขาไร้รอยยิ้มติดออกจะไม่พอใจ จนทำให้รอยยิ้มของนางก่อนหน้าหุบลง

            “ข้าเป็นน้องบิดาเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ท่านพี่ก็พอ!”

            ซือหมิงกล่าวจบก็ลุกขึ้นจากศาลาเดินออกไปทันที จากที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วนางกับทำให้เข้าอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม นางคงคิดว่าตนเเต่งงานกลับไท่จื่อแล้วกระมังจึงเรียกเขาว่าอาตาม พอมองหน้านางที่แสดงสีหน้าอย่างคนไม่รู้สึกผิดก็ยิ่งโมโห อยากบีบลำคอเรียวนั่นให้เเหลกคามือเสียจริง ๆ

            ซูเมิ่งมองตามเเผ่นหลังกว้างจนสุดสายตา นางกระพริบตาปริบ ๆ สีหน้างุนงง

            …นางผิดตรงไหนกันก็เขาอายุเยอะกว่านางเป็นสิบปี เรียกอาก็สมควรไม่ใช่หรือ?

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status