ログイン#####บทที่ 3 (ต่อ)
“ข้าเเค่จะมาตรวจชีพจรให้เจ้าเท่านั้น"
พอเขาเห็นหญิงสาวตรงหน้าแววตาเปลี่ยนกลับมาปกติจึงยื่นมือไปจับข้อมือตรงจุดชีพจร มือเรียวยาวขาวดั่งหยกเนื้องามมีรอยแดงแต้มน้อยลงกว่าครั้งเจอกันครั้งเเรก ผิวพรรณเนียนนุ่มไม่เหมือนบ่าวไพร่ พอมองไปยังฝ่ามือบางเห็นรอยปุ่มหยาบแดงแซมซึ่งน่าจะเป็นรอยใหม่
…คลำอยู่นาน ใบหน้าฉายแววเเปลกใจ
“ชีพจรเจ้าปกตินะ แต่ไยผื่นแดงจึงเลือนหายเพียงน้อยนิด”
“เอ่อ คือข้าก็ทายาที่ท่านหมอให้อยู่ทุกวันนะเจ้าคะ แต่เอ่อ …มันคงไม่ถูกกับข้าน้อยกระมัง”
ซูเมิ่งรีบชักมือออกจากมือหนาของคนตรงหน้า กระถดตัวถอยหลังสองคืบทำให้หยางเหวินรู้สึกตัว เขาลุกขึ้นละเดินไปนั่งที่เดิม
“อืม งั้นข้าให้ยาทาอีกอันเจ้าละกัน แล้วเจ้าชื่ออะไรนะ"
“ข้าน้อย เหมยฮวาเจ้าค่ะ”
“งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ามาทำหน้าที่รับใช้ข้างกายข้าแล้วกัน วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าให้ชิงซาเอายาไปให้แล้วก็สอนงานเจ้าด้วย”
สิ้นประโยค หยางเหวินก็เดินไปหลังฉากกั้นเตรียมตัวอาบน้ำทันที ส่วนซูเมิ่งเกิดอาการอ้าปากค้างตาเบิกกว้าง
…โถ ใครอยากทำหน้านี้กันเล่า ให้ข้าไปทำงานแบกหามเหมือนเดิมจะดีเสียยิ่งกว่า
นางมาทำงานรับใช้ข้างกายเขาได้สองวันแล้ววันนี้เข้าวันที่สามทำให้รู้ว่าตนต้องทำอะไรมากขึ้น ส่วนบ่าวอีกสองคนที่มาพร้อมกันกับนางไม่เห็นอีกเลยไม่รู้ว่ายังทำงานที่เรือนนี้อยู่ไหม
งานที่เขาทำคล้ายหมออยู่หกส่วนเพราะเขารับตรวจคนไข้ที่ห้องรับแขกโถงกลางบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะออกไปที่โรงหมอของตระกูล บริหารงานต่าง ๆเสียมากกว่า แต่นางไม่ได้ออกไปข้างนอกหรอกนะ เป็นชิงซาทำหน้าที่นี้ ส่วนนางได้แค่รับใช้ตอนหยางเหวินอยู่ในเรือนเท่านั้น
“วันนี้คุณชายไปไหนมารึ? ชิงซา”
หลังรับใช้คุณชายช่วงเย็นเขาจะอ่านหนังสือสักพักก่อนเข้านอน ซึ่งช่วงเวลานี้ไม่ชอบให้ใครอยู่ด้วย นางจะชอบมาคุยกับชิงซาทุกวันเพราะอยากรู้ความเป็นไปของภายนอกจวนบ้าง
“เหมือนเดิมแหละ คุณชายไปโรงหมอช่วงเช้าแล้วก็มีไปกินข้าวที่หอกุ้ยหรงคุยกับคุณชายท่านอื่นเรื่องงานเล็กน้อยจากนั้นก็กลับจวนนี่เเหละ”
ชิงซาพูดพลางกัดผิงกั่ว[4]ในมือที่ซูเมิ่งเอามาให้เขาทุกวันเวลาคุยกัน
“อ๋อ งั้นพรุ่งนี้คุณชายต้องไปโรงหมออีกไหม?”
“ง่ำ ๆ อืม ต้องไปนะ คุณชายต้องไปจัดเตรียมตัวยากับหมอท่านอื่นเพราะวันถัดไปคุณชายต้องไปงานประมูลที่หอสรรพสิ่งจัดขึ้นน่ะ”
พอได้ยินสิ่งเเปลกใหม่เข้าหูซูเมิ่งพลันตาลุกวาว มือหนึ่งยื่นไปกดผิงกั่วที่กำลังเข้าปากชิงซาลง
“หือ หอสรรพสิ่งคือสถานที่อันใดกัน? ข้าไม่เคยได้ยินเลย”
ชิงซาเลิกคิ้วขึ้น “นี่เจ้าไม่รู้จักจริงรึ?”
นางแบมือตรงหน้าตน “ข้าเพิ่งหลงมาเมืองนี้นะ เจ้าอย่าลืม และอีกอย่างข้าอยู่เเต่ในจวนไม่ได้ออกไปไหนด้วย”
“เออจริงของเจ้า เจ้าไม่รู้ย่อมไม่แปลกหรอก”
พูดจบก็เบี่ยงมือที่มีผิงกั่วอยู่ออกจากมือบางแต่ทำอย่างไรก็ไม่หลุดพ้นจึงถลึงตาไปยังอีกฝ่าย
“เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าหอสรรพสิ่งคืออะไร?” ซูเมิ่งหยักคิ้วทำท่ากวน
“ฮึ่ย ก็เป็นหอที่ขายทุกอย่างที่เจ้าอยากได้ไง”
ซูเมิ่งพยักหน้าหงึก ๆเข้าใจแต่มือก็ยังไม่ผ่อนแรงที่กดผิงกั่วไว้
“ทุกอย่างเลยหรือ?”
“ใช่ ถ้าเจ้าไปที่หอสรรพสิ่งละไม่มีก็สั่งให้หาก็ได้”
“อ่อ…ไม่เว้นแม้กระทั่งคนรึ?”
นางละมือที่กดปล่อยให้ชิงซากินผิงกั่วต่อ ในหัวพลางคิดประมวลข้อมูลที่ได้รับ
...งั้น หาคนหายอย่างเช่นข้า ก็สั่งให้ตามหาได้น่ะสิ!
“แต่ต้องจ่ายตามความยากและคุณค่าของสิ่งที่ให้หานะ ยิ่งให้หาคนยิ่งแพง หากไม่ใช่คนในตระกูลร่ำรวยคงไม่มาจ้างหรอก”
“ข้าคิดว่าหากสั่งให้ตามหาคนได้ไม่กลัวว่าคนที่หายจะเป็นอันตราย หรือเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ?”
ชิงซาเคี้ยวผิงกั่วคำสุดท้ายก่อนกลืนลงท้อง
“ไม่หรอก เพราะทางหอจะเก็บข้อมูลผู้ซื้อผู้ขายเป็นความลับน่ะ แต่ส่วนใหญ่มักจะจ้างให้หาพวกสมุนไพรหายาก หรือ อัญมณีต่าง ๆมากกว่าเป็นคนแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี”
“แล้วทำไมหอสรรพสิ่งถึงมาเปิดที่เมืองนี้ล่ะ? ใยไม่เปิดที่เมืองหลวงน่าจะมีคนใช้บริการมากกว่านะ”
“ฮ่าฮ่า ใครว่า ที่นี่เป็นเพียงสาขาย่อยต่างหาก ที่เมืองหลวงเป็นสาขาหลักและก็มีเมืองอื่น ๆอีก”
...อืม ก็ไม่เเปลกหากใช้หาคนได้ เพราะมีเครือข่ายรอบอาณาจักรขนาดนี้
เอ…หากว่าการที่นางหายตัวมาเนี่ย ครอบครัวนางอาจจะจ้างหอสรรพสิ่งหานางก็เป็นได้ เพราะอย่างไรเท่าที่นางจำได้ตระกูลไป๋ก็ถือเป็นตระกูลใหญ่ติดอันดับต้น ๆในเมืองหลวง
แล้วนางจะทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ว่าที่หอสรรพสิ่งกำลังทำการตามหานางอยู่หรือเปล่า เพราะนางก็อยู่เเต่ในจวน พวกเขาจะหาร่องรอยเจอได้อย่างไร
“อืม ละเจ้าเคยเข้าไปทำการค้ากับหอสรรพสิ่งหรือไม่?”
“ข้าน่ะ ไม่เคยหรอก เเต่เคยไปกับคุณชายอยู่บ่อยครั้ง เพราะทางโรงหมอของสกุลเย่มักทำการค้ากับที่นี่ อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป นอกจากหอสรรพสิ่งจะรับจ้างหาของ และมีสินค้าขายแล้วเนี่ย ยังสามารถเอาของหายากไปขายหรือเอาข้อมูลไปขายได้เช่นกัน แต่จะรับหรือไม่ก็อีกเรื่องนึงนะ”
หูก็ฟังที่ชิงซาพูดไปสมองก็ไล่ประมวลผลพร้อมกัน
...นางคงต้องหาเวลาไปเยือนหอสรรพสิ่งสักครั้งเสียแล้ว…เเต่เเค่จะออกจากจวนยังยาก หอสรรพสิ่งอยู่ตรงไหนนางก็ไม่รู้
อืม ทำไงนางถึงจะได้ตามหยางเหวินออกจากจวนบ้างกันนะ
“ชิงซา เอ่อ วันที่ไปงานประมูลของหอสรรพสิ่งเจ้าอยากได้คนช่วยบ้างไหม”
ซูเมิ่งเอ่ยเสียงหวานพร้อมทำตาปริบ ๆจนเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกขนลุกซู่
“เอ่อ เรื่องนี้เจ้าต้องลองถามคุณชายดู งั้นข้า ข้าไปนอนก่อนละ ฝากรับใช้คุณชายเข้านอนด้วย” พูดจบชิงซาก็พุ่งตัวราวหนีสัตว์ประหลาดน่ากลัว
…ไย เขาถึงรู้สึกใจเต้นเเรงตอนสบตากับนางได้นะ นั่นมันหญิงอัปลักษณ์นะ!
“ฮ่าฮ่า ได้ข้าจะไปขอคุณชาย เจ้าอย่าลืมช่วยข้าพูดด้วยล่ะ ฝันดีนะชิงซา”
ไป๋ซูเมิ่งหัวเราะร่วนก่อนตะโกนไล่หลัง ตอนเเรกนางก็ไม่ได้คิดจะแกล้งหยอกหรอก แต่พอเห็นใบหน้าเเดงดังผลท้อก็อดไม่ได้
ใบหน้างามกลับมาเคร่งครึมอีกครา ในหัวตอนนี้คิดเเต่คำพูดบอกหยางเหวินขอติดตามไปหอสรรพสิ่งด้วย เวลาผ่านไปจนเกือบถึงยามห้ายพลันเสียงเรียกของคนในห้องก็ดังขึ้น นางขยี้ตาตื่นก่อนเดินเข้าไปตามเสียงนั้น
คิดไปคิดมานางเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้…
“คุณชายจะนอนแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ซูเมิ่งเอ่ยเสียงหวานกว่าปกติทำเอาชายหนุ่มเจ้าของห้องขมวดคิ้วแปลกใจ
“อ่อ ใช่”
หยางเหวินลุกขึ้นจากโต้ะอ่านหนังสือเดินไปหน้าเตียงเตรียมถอดเสื้อนอกออก พลันก็มีมือเรียวบางยื่นมาช่วยเขาถอดแล้วเอาไปแขวน จากนั้นร่างบางก็รีบวิ่งมาช่วยเขาถอดรองเท้าทั้งสองข้าง
“คุณชายจะรับน้ำชาก่อนไหมเจ้าค่ะ เดี๋ยวเหมยฮวารินให้”
“อืม”
คนนั่งลงบนเตียงยังไม่คลายเเววตาสงสัย ลอบมองทุกการกระทำของบ่าวสตรีตรงหน้า
ไป๋ซูเมิ่งวิ่งไปรินชาก่อนนำมาให้ชายหนุ่ม
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
นางลอบยิ้มมุมปากอย่างสมใจ นี่เเหละที่นางอยากได้ยิน
นางพยายามรับใช้เขาอย่างดีทำตัวให้ดูกระปี้กระเป่า ก็ไม่แปลกที่หยางเหวินจะเอ่ยถาม เพราะปกติยามนางรับใช้เขาหากเขาไม่เอ่ยบอกว่าต้องการอะไรนางก็จะอยู่นิ่ง ๆเสียมากกว่า
“เอ่อ ข้าน้อยมีเรื่องอยากขอร้องคุณชายเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็ก้มตัวหมอบลงหน้าผากเกือบติดพื้นทำตัวนอบน้อม
“อืม ว่ามาสิ” หยางเหวินนั่งรอฟังอยู่บนเตียงอย่างสงบ
“ข้าน้อยอยากขอติดตามคุณชายไปงานประมูลได้หรือไม่เจ้าคะ!?”
พูดจบนางก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้านายตรงหน้ากระพริบตาปริบ ๆราวกับเด็กกำลังขอลูกกวาด
พอเห็นสายตานั้นพลันใจอ่อนวาบ
“ไม่….”
พอไป๋ซูเมิ่งเห็นว่าชายตรงหน้ากำลังคิดจะปฏิเสธรีบเอ่ยเเทรกทันที
“ข้าน้อยอยากไปรับใช้คุณชายด้วยใจจริง พอข้าน้อยได้ยินจากชิงซาก็คิดว่างานวันนั้นต้องยุ่งมากเป็นแน่ หากมีข้าน้อยไปช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งคุณชายและพี่ชิงซาจะได้เอาแรงและเวลาไปใช้กับงานสำคัญได้ดีขึ้น ข้าน้อยรับรองเลยว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายไม่พูดมาก ใช้ให้ข้าน้อยทำอะไรข้าน้อยจะไม่เกี่ยง ให้ข้าน้อยเเบกของก็ได้”
นางร่ายยาวจนจบก่อนส่งแววตาคาดหวังแกมน้ำตาคลอไปให้
“อีกอย่างข้าน้อยอยากไปเห็นภายนอกจวนบ้าง ตั้งเเต่มาเมืองนี้ยังไม่เคยได้เห็นเลยเจ้าค่ะ”
สิ้นประโยคสุดท้ายนางก็ได้ยินเสียงคิก ๆพร้อมไหล่คนตรงหน้าไหวเบา ๆ ใบหน้าแดงกล่ำอย่างคนกลั้นขำ
“ข้าจะบอกว่า ไม่บอกข้าก็จะให้เจ้าไปอยู่แล้ว เจ้าเล่นพูดมาเสียเยอะเชียว ฮ่าฮ่า”
พอได้ยินดังนั้นใบหน้าเดิมที่เเดงเพราะผื่นอยู่แล้วยิ่งเเดงทั่วหน้าลามไปถึงใบหู ครั้งนี้เป็นครั้งเเรกเลยที่นางเขินจริงไม่เสแสร้ง
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







