ログイン#####บทที่ 4
เบื้องหน้าเป็นอาคารหินอ่อนสูงตระหง่านตา ลายริ้วหินไล่เรียงไม่เป็นระเบียบทว่ายามแสงส่องกลับงดงามแปลกตา ทำเลที่ตั้งของหอเเห่งนี้โดดเด่นมาก ตั้งกลางเเยกทำให้ทางเดินซื้อของเเยกเป็นสองทางล้อมรอบ บริเวณด้านข้างเว้นพื้นที่โล่งกว้างไว้สำหรับจอดรถม้า ตรงประตูทางเข้ามีสาวรับใช้หน้าตาสะสวยยืนยิ้มต้อนรับ
…ดูท่าเจ้าของหอสรรพสิ่งจะมีเงินใช้เหลือเฟือ ขนาดหอสาขาย่อยยังยิ่งใหญ่เพียงนี้ แล้วหอในเมืองหลวงจะตระการตาขนาดไหนเนี่ย!!!
“แม่นางเหมยฮวารีบตามข้ามาเร็ว!"
เสียงเรียกของชิงซาดึงสาวน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกนอกจวนครั้งแรกหลุดออกจากภวังค์ พอนางหันกลับไปก็สบเข้ากับสายตาหลายคู่ที่มองมายังทางนางอย่างล้อเลียน
“เเฮะ ๆ ข้าทำให้ขายหน้าแล้ว”
นางรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้าไปหาคุณชายเย่
“คุณชายมีอะไรให้บ่าวช่วยไหมเจ้าคะ?”
เย่หยางเหวินยื่นกล่องหน้าตาเรียบแต่ดูหรูหราให้ทั้งที่ใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคอยตามข้าและถือของเถอะ”
หลังจากบ่าวบุรุษทั้งสามคนช่วยกันขนของเรียบร้อยแล้ว เย่หยางเหวินจึงเดินนำทุกคนเข้าไป ก่อนเข้าหอสรรพสิ่งต้องแสดงป้ายบางอย่างก่อน ซึ่งหากนางเดาไม่ผิดน่าจะคือป้ายผ่านเข้างาน
พอสองสาวที่ยืนต้อนรับแขกหน้าประตูเห็นก็รีบกุรีกุจอเชิญทั้งหมดเข้าไปข้างในทันที พวกนางถูกพาให้เดินไปตามทางเดินทางหนึ่งซึ่งช่วงแรกยังพอมีคนบ้าง พอหยางเหวินเดินผ่านใครก็มีหยุดทักทายพอเป็นพิธี เเต่พอเดินมาสักพักทางเดินเเห่งนี้ก็เริ่มไร้ผู้คน มีขึ้นบันไดไปราว ๆสามชั้นก่อนหยุดลงที่หน้าห้องเเห่งหนึ่ง
…ห้องสุริยัน
“ของเหล่านี้เดี๋ยวให้ถือตามข้าน้อยไป ส่วนคุณชายเย่เชิญเข้าไปพักผ่อนรองานเริ่มได้ตามสบายเจ้าค่ะ เรียกบ่าวข้างนอกรับใช้ได้เสมอนะเจ้าคะ”
สิ้นเสียงหวานหยดย้อย บ่าวร่างกำยำที่ยืนเฝ้าห้องนี้มาแต่ต้นก็เปิดประตูให้พวกเขาก้าวเข้าไป หยางเหวินเดินไปนั่งเก้าอี้ไม้แดงอย่างดีกลางห้องที่มีเพียงสามตัว โต๊ะตัวเตี้ยอีกหนึ่งตัว มีชุดชาวางบนนั้นหนึ่งชุด
พอบ่าวรับใช้ชายที่ตามมาเเต่เเรกวางของในห้องเรียบร้อยก็ขอตัวออกไปรอข้างล่าง ในห้องจึงเหลือเพียงหยางเหวิน ชิงซาแล้วก็นาง
ซูเมิ่งรับสัญญาณจากชิงซาให้ไปชงชานางจึงเดินไปทำตามหน้าที่
ขณะที่หยางเหวินกำลังยกชาขึ้นดื่มพลันก็มีเสียงดังเอ็ดตะโรด้านนอก
“คุณชายเย่ขอรับ คุณชายหลินกับคุณชายหลางมาขอพบขอรับ”
“ให้เข้ามาได้”
สิ้นเสียง ประตูก็เปิดออกยังไม่ทันเห็นหน้าคน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนำหน้ามาก่อน
“สหายไยเจ้าได้นั่งที่ดีขนาดนี้แล้วไม่เรียกข้าเล่า”
นำเสียงมิใคร่พอใจนักดังขึ้นก่อนนางจะเห็นเป็นชายหนุ่มสองคนก้าวเดินเข้ามา
คนเเรกเจ้าของเสียงเป็นชายหน้าตาอย่างบุรุษอารมณ์ดี ขนหัวคิ้วเกือบชนกัน ร่องบนแก้มเด่นชัดแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย บ่งบอกว่าเป็นชายขี้เล่น ยิ้มเก่ง และดูออกจะเจ้าชู้ ส่วนอีกคนตามมาทีหลังส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้ามั่นคง ใบหน้าออกจะติดขรึม น่าจะเป็นคนเข้าถึงยากระดับหนึ่ง
พอนางเห็นมีแขกเข้ามาใหม่จึงถอยออกมาอย่างรู้มารยาท เเต่สายตาแอบชำเลืองสังเกตผู้มาใหม่ตามนิสัยคนช่างวิเคราะห์ช่างสังเกต
“ท่านอาจองห้องชั้นเดียวกันมิใช่รึ ไยเจ้ามาที่นี่ได้”
หยางเหวินไม่ตอบรับคำแง่งอนนั้นแต่กลับย้อนรอยสหายอย่างรู้ทัน
“ห้องนั้นอึดอึดจะแย่ มีเเต่…เอิ่มนั่นเเหละ ก็ข้าอยากมานั่งกับเหล่าสหายมากกว่านี่”
พูดจบก็ถือวิสาสะนั่งลงข้างยังเก้าอี้ที่เหลือ
“เจ้าก็ยื่นนิ่งอยู่ได้! ต้องรอให้ข้าเชิญหรือ คุณชายหลาง”
คำพูดประชดประชันออกจากปากของคนหน้าหนา
“ข้าไม่ได้หน้าหนาอย่างเจ้านะ ข้ารอเจ้าของห้องเชิญอยู่”
พูดพลางเดินมานั่งทั้งที่เจ้าของก็ยังไม่เชิญเช่นกัน
“เห็นไหมข้ารู้เจ้าจัดเก้าอี้รอข้าอยู่ ฮ่าฮ่า”
มันมีสามตัวพอดีต่างหากล่ะ…
โธ่ บุรุษผู้นี้ช่างเป็นคนชอบคิดเข้าข้างตัวเองอย่างหน้าไม่อาย…นางอดค่อนขอดในใจ
แต่คนถูกว่าในใจกลับมองเห็นสายตาสื่ออารมณ์นั่นพอดี
“เอ้อ เจ้ามีสาวใช้แล้วรึ!? ไหนเจ้าบอกไม่ชอบบ่าวสตรีอย่างไร”
เป็นบ่าวที่แปลกประหลาดจริง หน้าตาก็ดูธรรมดาโดดเด่นที่ผื่นเเดงเเค่นั้น แต่กลับกล้าส่งสายตาเย้ยหยันสหายเจ้านายแบบไม่ปิดบัง ทั้งที่หญิงสาวส่วนใหญ่ไม่หลบหน้าหลบตาก็ต้องเเสดงอาการขวยเขินเมื่อเจอชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างเขา
“อืม สักพักแล้ว”
หยางเหวินสะตุกเล็กน้อยก่อนกลับมาเรียบเฉยดังเดิม แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามสหายเเต่อย่างใด
“หึ งั้นเจ้าน่ะมารินน้ำชาให้ข้าซิ”
มือหนาชี้ไปทางหญิงคนเดียวในห้อง “เป็นบ่าวอย่างไร สหายเจ้านายมาไม่ปรนนิบัติ”
…ถือโอกาสแกล้งเสียเลย ดูซิจะกล้าส่งสายตาแบบนั้นอีกไหม
ซูเมิ่งหันไปหาหยางเหวิน พอนางได้รับสัญญาณให้ทำตามที่ขอก็เดินอย่างสำรวมรินชาให้คุณชายทั้งสอง
“ขอให้ดื่มให้อร่อยเจ้าค่ะ”
นางเอ่ยเสียงหวานไม่มีทีท่าไม่พอใจ
…แต่ใครจะรู้ว่าในใจนางแอบทดอีตาหน้าหนานี่ไว้ในบัญชีแค้น หากเจอคราวหน้ามีโอกาสต้องคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแน่
คุณชายที่เข้ามาใหม่สองคนอยู่นั่งคุยกับหยางเหวินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนพูดเก่งนามหลิงเจียฉวี่ ส่วนอีกคนที่ตั้งเเต่เข้ามาพูดแทบนับคำได้นามหลางฮุ่ยฟู พวกเขาทั้งสามดูสนิทกันมานานแล้วเพราะดูเข้าใจนิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี
แม้คุณชายหลิงจะพูดไม่เข้าหูเพียงใด สหายทั้งสองก็ได้เเต่ยิ้มไม่เก็บมาใส่ใจ
“ทำให้ทุกท่านรอนานเสียแล้ว…”
สิ้นเสียงลานประมูลเงียบลงทันที สายตาทุกคู่จากทั้งห้องชั้นบนและเหล่าผู้คนที่นั่งรวมกันชั้นล่างต่างเพ่งมองหญิงสาวในชุดเเดงเพลิงรับกับรูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้ารูปไข่งดงามเลิศล้ำ พอรวมเข้ากับน้ำเสียงหวานยั่วยวนแต่ทรงพลังเมื่อครู่ แม้นางเป็นหญิงยังอดละสายตาไม่มองไม่ได้
“วันนี้ข้าน้อยรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงานประมูลนี้ เชื่อว่าทุกท่านคงรู้กฎของเรามากันบ้างแล้วแต่ข้าน้อยจะทบทวนให้สักนิด…”
“แม่นางลวี่ออกมาดำเนินงานทีไรวันนั้นต้องมีสินค้าชิ้นสำคัญทุกที”
เสียงคุณชายหลิงดังขึ้น “และถ้าให้ข้าเดาคงเป็นของโรงหมอตระกูลเจ้าเป็นแน่”
“หึ เจ้าก็รอดูสิ เดี๋ยวรู้เอง”
หยางเหวินยกยิ้มมุมปาก ก่อนหันหน้ากลับไปสนใจแท่นศิลากลางเวทีเบื้องล่างต่อ
การประมูลของหอสรรพสิ่งช่วงเเรกเป็นพวกอัญมณี คนที่ประมูลส่วนใหญ่เป็นเหล่าฮูหยินตระกูลชั้นนำในเมืองนี้ ต่อจากนั้นก็มีสมุนไพรหายากอีกสามชนิด
“และสินค้าชิ้นสุดท้ายนี้เป็นโอสถล้ำค่าจากหอโอสถตระกูลเย่ เป็นตัวยาที่มีส่วนผสมของโสมพันปี มีสรรพคุณช่วยเพิ่มกำลังภายใน ผู้ใดไม่มีกำลังภายในเมื่อฝึกก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว หากใครเป็นผู้มีกำลังภายในอยู่แล้วจะสามารถทะลวงกำลังภายในได้มากขึ้น และหากผู้กินเป็นชายจะช่วยเพิ่มกำลังความเป็นชายด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ทุกท่านเชิญดูได้เลย”
ทันทีที่เสียงตื่นเต้นเร้าใจดังขึ้นแท่นหินก็ผุดขึ้นจากพื้นด้านล่าง บนแท่นหินมีครอบเเก้วสีใสครอบขวดเล็กข้างในเป็นเม็ดยาราวสองถึงสามเม็ดสีน้ำตาล
เสียงเกรียวกราวดังขึ้นรอบทิศทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ยาเม็ดนี้เป็นเสมือนทางลัดในการก้าวข้ามขีดจำกัดเฉพาะบุคคลที่ไม่สามารถมีกำลังภายในไปมากกว่าเดิม แต่ไม่มีใครกล้าเปิดราคาเริ่มต้นก่อนสักที
“หนึ่งพันตำลึง…”
“หนึ่งหมื่นตำลึง…”
“สองหมื่นตำลึง…”
“ห้าหมื่นตำลึง…”
ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตระกูลใหญ่สามอันดับเเรกในเมืองซีเปียนให้ราคาสูงลิ่ว
บนชั้นบนห้องพิเศษซูเมิ่งเกาะราวก้มดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ประกายตาวิบวับ นางชอบบรรยากาศนอกจวนยิ่งนัก
“แค่ยาเม็ดเดียวเองไยต้องเผาบ้านเผาเรือนเพียงนั้น”
นางบ่นพึมพำกับตนเองแต่มีบางคนหูดีได้ยิน
“เจ้าไม่รู้อะไรแค่บอกว่ามีโสมพันปีเป็นส่วนผสมราคาหลักหมื่นยังน้อยไปด้วยซ้ำ ชิ”
เจียฉวี่แค่นเสียงพลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







