แชร์

บทที่ 30

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:10:36

#####บทที่ 30

 

 

ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงเขตที่พักข้างป่ามี่เอินหรือก็คือป่าขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงที่ฮ้องเต้เว่ยซือเยียนจะจัดงานล่าสัตว์ล้อมป่าที่นี่ทุกปี โดยที่พักที่ทางราชสำนักจัดให้จะแบ่งให้กระโจมหนึ่งพักได้สองคนสำหรับสตรี แต่เนื่องด้วยตระกูลไป๋ส่งสตรีมาสามคนซูเมิ่งจึงอาสานอนคนเดียว ทำให้ครานี้ทั้งของส่วนตัวนางและเจ้าตัวจึงครอบครองกระโจมหลังนี้แต่เพียงผู้เดียว 

เวลาผ่านไปราวสองเค่อตอนนี้พระอาทิตย์ตรงหัวพอดีนางกำนัลที่ทำหน้าที่ดูแลสตรีจากตระกูลไป๋นามซือเจียก็เดินเข้ามาแจ้งว่าถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้วให้พวกนางออกไปรวมที่ใต้ร่มไม้ข้างกระโจม ซึ่งพอซูเมิ่งออกมานางก็เห็นกองไฟที่น่าจะเพิ่งก่อขึ้น เห็นวัตถุดิบผักหลายชนิดและภายในลังไม้ลังหนึ่งมีเนื้อสัตว์ทั้งเนื้อกระต่าย เนื้อกวาง และอีกหลายชนิดซึ่งถูกหั่นเป็นท่อนแล้ววางอยู่

“อย่าบอกนะว่าพวกข้าต้องทำอาหารกันเอง!” 

เจียงเหมยรีบด้วยน้ำเสียงแฝงความเกรี้ยวกราดหลายส่วนทันทีที่นางเดินออกมาแล้วเห็นสิ่งที่ซูเมิ่งเห็นเช่นเดียวกัน

ซือเจียส่ายหน้าเบา ๆ นางตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกว่าปรกติ “ไม่เชิงเจ้าค่ะ หากพวกท่านไม่นำคนทำอาหารมาเองก็สามารถแจ้งบ่าวขอคนครัวได้เจ้าค่ะ”

ช่วนเชิงจ้องเขม็งไปที่เจียงเหมยเป็นเชิงให้นางหุบปาก ก่อนหันมาเอ่ยกับซือเจียอย่างแฝงความเคารพหลายส่วน 

“งั้นก็ต้องรบกวนพี่ซือเจียติดต่อคนทำอาหารให้พวกเราด้วยเจ้าค่ะ” 

ซ่วนเชิงพูดจบ ซือเจียก็ขอตัวลาออกไปทำตามสั่ง ซ่วนเชิงนางเคยมางานล่าสัตว์มาเมื่อปีที่แล้วทำให้รู้ว่าแม้นางกำนัลเหล่านี้จะถือว่าเป็นบ่าว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกนางจะยกตนข่มได้เพราะ ความเป็นอยู่ อาหารการกินของพวกนางล้วนขึ้นอยู่กับเหล่านางกำนัลเหล่านี้ หากอยากอยู่อย่างสบายก็ต้องปฏิบัติตัวดีกับนางกำนัลผู้ดูแลจะเป็นการดีที่สุด

“อย่างนี้ก็ต้องรออีกนานล่ะสิ เฮ้อ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” 

เจียงเหมยเดินย่ำนำไปนั่งตรงโต๊ะชุดที่จัดไว้ไม่ไกลจากตรงทำครัว เนื่องจากตอนนี้เข้าหน้าหนาวช่วงต้นยังไม่ถึงกับมีหิมะตก ช่วงกลางวันอย่างนี้ถือว่าอากาศเย็นกำลังดี แดดบางเบา พอมีลมพัดมาก็ออกจะหนาวบ้างบางที

ซูเมิ่งเดินไปดูวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารวันนี้ก็ทำให้ซูเมิ่งนึกถึงเมนูของชาติก่อนที่เป็นนิยมของชาวยุโรปนามว่าสเต็ก ตอนสมัยทำภารกิจต้องอยู่ห้องคนเดียวนางมักทำกินเป็นประจำ แล้วยิ่งเนื้อพวกนี้เพิ่งถูกล่ามาใหม่ ๆทำเมนูนี้กินเนื้อคงหวานน่าดู สำหรับเนื้อกวางนั้นออกจะกินยากนิดหน่อยแต่ซูเมิ่งมีสูตรน้ำหมักรสเด็ด พอคิดแล้วน้ำลายก็พากันไหลมากองในปาก

ซูเมิ่งเปลี่ยนทิศไม่เดินไปรวมกับซ่วนเชิงและเจียงเหมยที่ใต้ต้นไม้แล้ว นางเดินมาตรงเหล่าเนื้อที่ถูกหั่นเป็นชิ้นใหญ่กว่าฝ่ามือและถูกเฉือนเอาไขมันแล้วก็พังผืดออกหมดแล้วเหมาะสำหรับทำอาหารต่อได้เลย ยืนนิ่งสักครู่มองเหล่าเครื่องปรุงสลับกับเนื้อ

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ!?” 

เจียงเหมยเอ่ยขึ้นเสียงดัง คนที่นางคุยด้วยคือซูเมิ่งที่นางเห็นเเล้วเหมือนจะทำอะไรบางอย่างกับเนื้อ

“ข้าจะทำอาหาร” 

พูดพลางหยิบมีดขึ้นมาเฉือนเนื้อกวางออกเป็นชิ้นขนาดพอดีขนาดราวหนึ่งฝ่ามือ คิดว่าคงจะพอหนึ่งคนกิน โดยไม่หันไปมองคนพูดเลย

“ข้าไม่กินอาหารฝีมือเจ้าหรอกนะ!”

“ข้าก็ไม่ได้ทำให้เจ้ากินเสียหน่อย” 

ซูเมิ่งพูดจบ เจียงเหมยก็หยุดพูดประโยคต่อไปแทบไม่ทัน 

ส่วนซูเมิ่งก็หันไปสั่งให้ไป๋จื่อหั่นมัน หอมใหญ่ แครอท และขึ้นฉ่ายไว้ ส่วนซูเมิ่งก็ทำน้ำหมักหลังจากที่หั่นเนื้อกวางเสร็จแล้ว เนื่องจากเนื้อกวางไม่ได้หมักค้างคืนไว้อาจไม่เข้าเนื้ออย่างที่ควร ซูเมิ่งจึงเพิ่มมะนาวลงไปหมักเนื้อกวางเสียหน่อยเพื่อให้เนื้อนุ่มขึ้น พอเตรียมวัตถุดิบเสร็จก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอให้กระทะร้อน แล้วเอาเนื้อกวางที่หมักไว้แล้วสองเค่อลงกระทะ พอเนื้อโดนน้ำมันและกระทะที่ร้อนก็ส่งเสียงจื่อนางให้ไป๋จื่อคุมไฟให้แรงปานกลางตลอด พอเอาเนื้อที่สุกกำลังดีกรอบนอกนุ่มในออกมาจากกระทะวางพักไว้จนเนื้อเย็นกำลังดีก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นหนาพอดีคำ จากนั้นก็นำผัดผักที่ให้ไป๋จื่อหั่นและผัดไว้มาราดลงเคียงข้างเป็นอันเสร็จ

กลิ่นหอมของวัตถุดิบยามถูกน้ำมันโชยไปยังบริเวณสองสตรีและสองบ่าวจนทำให้น้ำลายสอ พอซูเมิ่งยกมาวางไว้บนโต๊ะกลิ่นหอมยิ่งรุนแรงขึ้น เจียงเหมยลอบกลืนน้ำลายพอมองไปยังอาหารที่ไป๋จื่อถือมาวางก็อ้าปากค้างรีบท้วงขึ้นทันใด

“ไยมีเพียงสองจานเล่า!?”

“เจ้าบอกไม่กินข้าก็เลยมิได้ทำเผื่อ” 

พูดจบก็เลื่อนจานอีกอันหนึ่งให้ซ่วนเชิง ส่วนตนก็ลงมือจัดการกับสเต็กเนื้อกวางตรงหน้า

…หากหมักเนื้อกวางนานกว่านี้คงจะดี

“ท่านพี่ซูเมิ่งข้าไม่ยักรู้ว่าท่านทำอาหารได้อร่อยถึงเพียงนี้!” 

ซ่วนเชิงพูดหลังจากนางตักเนื้อกวางคำแรกขึ้นชิมแล้ว ใบหน้านางเคลิบเคลิ้มมีความสุขอย่างมากหลังจากได้ดื่มด่ำรสชาติละมุนลิ้นของเนื้อกวางตรงหน้า พอกินคู่กับแครอทและผักที่วางคู่กันยิ่งเข้ากันไปใหญ่ แล้วยังกลิ่นหอมของพริกไทยอีก

“เอ เมนูนี้ข้ามิเคยกิน มันมีชื่อเรียกหรือไม่” 

ซูเมิ่งชะงักหลังจากได้ชินคำถามนั้น …หากนางบอกว่ามันเรียกสเต็กเนื้อกวางมันก็คงดูแปลกประหลาด เพราะยุคนี้ยังไม่มีใครรู้จักภาษาอังกฤษกัน

“ไม่ได้มีชื่อเรียกอะไรพิเศษหรอก มันก็คือเนื้อกวางย่างหมักน้ำหมักปรกตินั่นแหละ แค่แปลกรส ต่างกันตรงที่เครื่องปรุงที่ข้านำมาผสมกันเท่านั้นเอง”

ซ่วนเชิงไม่ได้ถามต่อนางคีบชิ้นเนื้อกินตรงหน้าต่ออย่างเอร็ดอร่อยทำเอาสตรีอีกหนึ่งลอบกลืนน้ำลายหลายครา แต่นางก็ไม่ยอมกลับคำพูดตนเองตัดใจหันไปมองทิศอื่นแต่ก็ไม่วายยังได้กลิ่นอีก ฝ่ายซูเมิ่งพอนางกินเนื้อในจานตัวเองไปกว่าครั่งก็พลันหยุกชะงักร่างบางเดินไปที่ครัวเล็กอีกครา

“น้ำหมักเหลืออีกมากข้าว่าทำไปให้พี่ใหญ่กับพี่รองกินหน่อยดีกว่า” 

ไป๋จื่อที่ได้ยินเสียงคุณหนูตนบ่นดังนั้นก็รู้หน้าที่ตนนางรีบประจำตำแหน่งช่วยซูเมิ่งจนได้สเต็กอีกสองจานกลิ่นหอมฉุย 

“เดี๋ยวเจ้าให้คนนำทางเอาเนื้อย่างสองจานนี้ไปให้พี่ข้าแล้วค่อยกลับมาทำของเจ้ากิน น้ำหมักพวกนี้เหลือไว้ให้เจ้า”

ไป๋จื่อลอบกลืนน้ำลายตาเป็นประกายเพราะนึกถึงกลิ่นอันหอมฉุยขณะที่ตนเองทำ คิดดังนั้นตนก็รีบยกจานเนื้อย่างพร้อมเครื่องเคียงที่ถูกบรรจุในกล่องไม้สองชั้นไปทันที นางเดินตามบ่าวบุรุษที่ถูกสั่งให้เป็นผู้นำทางพาไปยังกระโจมของฝ่ายบุรุษ ตอนเดินมาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงกระโจมของไป๋เหินซานและไป๋ลู่ซาน ตอนนี้สองบุรุษกำลังนั่งล้อมวงกับคุณชายท่านอื่นนั่งกินข้าวกลางวันอย่างครื้นเครงผิดกับฝั่งสตรีที่นั่งกินแยกกระโจมใครกระโจมมัน

“อ้าว! ไป๋จื่อ นั่นเจ้าเอาอะไรมาน่ะ” 

ไป๋ลู่ซานที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นบ่าวประจำตัวของซูเมิ่งพอดีเอ่ยทัก เขามองไปที่กล่องไม้ในมือของบ่าวด้วยแววตาสงสัย

“คุณชายเจ้าคะบ่าวนำเนื้อย่างที่คุณหนูทำมาให้เจ้าค่ะ”

“ไม่เห็นต้องลำบากน้องรองเลย”

ลู่ซานพยักหน้าให้บ่าวตนไปรับกล่องไม้นั้นมา ในใจตนก็แอบหวั่นเกรงกับสิ่งที่ซูเมิ่งทำ เพราะด้วยเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นน้องเรียนทำอาหารมาก่อน พอไป๋จื่อทำหน้าที่ตนเสร็จก็เดินกลับไปยังกระโจมของตน พอรายงานผลให้ผู้เป็นเจ้านายทราบแล้วก็เตรียมหมักเนื้อกวางที่ผู้เป็นนายมอบให้เพื่อทำเนื้อย่างตามสูตรที่เห็นซูเมิ่งทำทันที ฝ่ายซูเมิ่งที่กลับมากินเนื้อของตนจนหมดแล้วก็ไม่มีอะไรทำนางจึงมาช่วยไป๋จื่อ ซึ่งภายในครัวก็ไม่ได้มีเพียงสตรีสองนางอีกต่อไปแล้วเพราะซือเจียพาคนครัวมาได้สักพักและกำลังทำอาหารให้เจียงเหมยอยู่ ส่วนซูเมิ่งกับซ่วนเชิงไม่ขอรับเพิ่มเพราะอิ่มกับสเต็กเนื้อกวางเป็นที่เรียบร้อย

พอเนื้อกวางถูกย่างบนกระทะร้อนจนสุกกลิ่นหอมก็โชยกระจายรอบทิศทันที

“เนื้อย่างของคุณหนูกลิ่นช่างหอมยิ่งนัก บ่าวเป็นพ่อครัวมากเป็นสิบปีมิเคยเห็นนำเนื้อกวางมาทำอาหารแบบนี้มาก่อน”

พ่อครัวที่ซือเจียพามาเอ่ยชมตามความจริง เนื่องจากเนื้อกวางกลิ่นค่อนข้างแรงอาหารที่มีเนื้อกวางเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่จึงจะเป็นพวกตุ๋น ผัด หรือไม่ก็แกง ส่วนนำมาย่างนั้นก็มีบ้างแต่ไม่ใช่ทุกคนจะทนกลิ่นแรงของมันได้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ทว่าพอเขาได้กลิ่นเนื้อย่างที่คุณหนูซูเมิ่งทำก็รู้ได้เลยว่าเนื้อย่างจานนี้ต้องไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเนื้อกวางเป็นแน่ พอจะขอชิมก็ต้องหยุดชะงักเพราะเห็นสายตาแสนจะหวงของของบ่าวนามว่าไป๋จื่อ นางยกจานสเต็กที่ยังร้อนขึ้นไว้แนบอกทันที

“คุณหนูซูเมิ่งเจ้าคะ คุณชายเหิงซานให้คนมาขอเนื้อย่างที่คุณหนูทำเพิ่มเจ้าคะ ไม่ทราบว่าพอมีเหลือไหม?” 

ซือเจียเข้ามาพอดีที่ซูเมิ่งทำเนื้อย่างจานสุดท้ายเสร็จซึ่งจานนั้นอยู่ในอ้อมอกของบ่าวนางเสียแล้ว ซึ่งพอไป๋จื่อได้ยินดังนั้นพลันดวงใจก็แตกสลาย นางก้มมองจานที่มีเนื้อกวางย่างจานสุดท้ายในมือตนอย่างนึกเวทนาในโชคชะตา ซึ่งพอซูเมิ่งหันมาเห็นท่าทางนั้นก็อดหัวเราะชอบใจมิได้ นางจึงหันกลับไปบอกซือเจีย

“น้ำหมักข้าหมดแล้วล่ะ ฝากไปบอกท่านพี่ทีว่าไว้พรุ่งนี้ข้าทำแล้วจะนำไปให้ วันนี้ต้องขออภัยด้วย” 

ซือหมิงพยักหน้ารับคำ ก่อนไปนางปรายสายตามองไปที่เนื้อย่างจานสุดท้ายในมือของไป๋จื่อ นางรู้สึกอิจฉาผู้เป็นบ่าวของซูเมิ่งยิ่งนัก เพราะเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากที่ผู้เป็นเจ้านายจะให้ความสำคัญบ่าวมากเช่นนี้

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ท่านเอาจานนี้ไปเถอะ เดี๋ยวบ่าวไว้ค่อยกินคราอื่นก็ได้เจ้าค่ะ” 

ไป๋จื่อตัดใจทำเพื่อคุณหนูของตน ยื่นเนื้อย่างสุดหวงให้ซือเจียไป 

“ไว้พรุ่งนี้ข้าจะทำไว้ให้เจ้าเยอะ ๆเลย ดีไหม?” 

ซูเมิ่งเอ่ยปลอบบ่าวของตนอย่างนึกเอ็นดู แต่นางหารู้ไม่ว่าพรุ่งนี้นั้นแม้นางจะทำเยอะเพียงใดก็ไม่อาจเพียงพอเหลือถึงบ่าวผู้น่าสงสารอยู่ดี…

 

วันนี้ซูเมิ่งตื่นสายกว่าปรกติเพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นทำให้นางตื่นสาย ไป๋จื่อที่พอเห็นผู้เป็นนายตื่นก็รีบนำอ่างน้ำมาให้ล้างหน้าจากนั้นก็ช่วยซูเมิ่งแต่งตัว โดยชุดที่เตรียมไว้ก็หนากว่าเมื่อวานสีสันก็ยังเป็นสีเขียวอ่อนเช่นเดิมซึ่งคือสีโปรดของซูเมิ่ง พอไป๋จื่อจะหยิบของมาประดับบนหัวซูเมิ่งก็ส่ายหน้าจากนั้นก็หยิบปิ่นสีเงินที่หัวปิ่นถูกทำเป็นรูปพวงดอกอิงฮวาประดับพลอยซึ่งปิ่นนี้เป็นปิ่นที่ซูเมิ่งออกแบบและสั่งทำขึ้นมาเอง ปิ่นนี้มีกลไกปล่อยเข็มเล่มเล็กออกมาได้และหากใช้ร่วมกับพิษชนิดต่าง ๆที่นางซ่อนไว้ตามตัวก็จะกลายเป็นเข็มพิษ และหากออกแรงดึกปลอกเหล็กสีเงินออกก็จะเห็นด้ามจริง ๆของปิ่นที่ถูกทำให้คมอย่างมีดและมีปลายแหลม กลไกพวกนี้ทำให้ปิ่นมีขนาดใหญ่กว่าปิ่นทั่วไปเกือบเท่าตัวแต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนน่าเกลียด ซูเมิ่งทำไว้สามเล่มในรูปแบบการตกแต่งที่ต่างกันไว้สลับใช้ในแต่ละวัน

เมื่อวานนี้ก่อนเข้านอนซือเจียมาบอกกำหนดการว่าวันนี้พวกนางยังไม่มีให้ออกไปไหน ฮ่องเต้ให้เหล่าสตรีทั้งหลายพักผ่อนหลังจากเดินทางไกลอีกหนึ่งวัน ส่วนฝ่ายบุรุษก็แล้วคนสามารถขี่ม้าออกไปสำรวจป่าส่วนนอกกับเหล่าองครักษ์ได้หรือจะพักผ่อนอีกหนึ่งวันก็ได้ ซึ่งมื้อกลางวันอาหารก็จะใช้วัตถุดิบที่เหล่าบุรุษล่าได้ในตอนเช้านั่นเอง

ซูเมิ่งหยิบหนังสือที่นางเอามาด้วยขึ้นอ่านพอใกล้เวลาอาหารกลางวันนางก็ไปที่กระโจมเล็กแบบเปิดเพื่อเตรียมพวกน้ำหมักเนื้อในปริมาณมากหน่อยอย่างเคย แต่ครานี้นางเพิ่มให้รสชาติจัดจ้านและเผ็ดขึ้น พอกินไปจะได้ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นคลายหนาวไปด้วย พอทำน้ำหมักเสร็จก็เดินออกมาปล่อยให้บ่าวรับใช้ที่เหลือแล้วก็พ่อครัวย่างเนื้อและทำเครื่องเคียงต่อ

พอออกมาจากครัวหรือก็คือกระโจมหลังเล็กนางก็สบกับสายตาหิวโหยหลายคู่ที่จ้องมองมาทางนางจนเจ้าตัวรู้สึกขนลุกซู่

“เอ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาทำอะไรกันที่นี่เจ้าคะ” 

พอมองไปเบื้องหลังทั้งสองก็เห็นบุรุษอีกสองสามคนรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ชาย

“เมื่อเช้าพวกข้าไปล่ากวางในป่ามาได้หลายตัวเชียวเลยนำมาให้เจ้าทำเนื้อย่างน่ะ” 

เหิงซานพยักหน้าให้คนของตนลากกวางตัวอ้วนหลายตัวเข้าไปในโรงครัว

“เยอะไปไหมเจ้าคะ คือว่า…” น้ำหมักที่ตนทำไม่น่าพอ

ซูเมิ่งพูดไม่ทันจบลู่ซานก็เอ่ยแทรกเพราะเขากลัวซูเมิ่งจะปฏิเสธแล้วอดกิน เมื่อวานที่ไป๋จื่อน้ำมาให้เขาได้กินกันคนละสองสามชิ้นเอง ด้วยความที่พวกเขานั่งกินกับสหายหลายคนจะไม่แบ่งก็ไม่ได้แต่พอแบ่งแล้วด้วยความที่ต่างเป็นบุรุษกินเยอะเขาจึงได้กินกันคนละนิดเอง แล้วสูตรเนื้อย่างของผู้เป็นน้องก็ไม่ธรรมดาแค่เพียงนึกถึงน้ำลายก็สอแล้ว

“ไม่เยอะหรอก เดี๋ยวให้คนของพี่ชำแหละเนื้อให้เจ้าเพียงคอยสั่งการก็พอ ดีไหม?”

ซูเมิ่งเห็นสายตาของพี่ทั้งสองก็อ่อนใจ

นางเดินเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อทำน้ำหมักให้เยอะขึ้นกว่าเดิมแล้วก็สั่งคนครัวให้ทำของเพิ่มพอทำเสร็จก็เดินออกมา ไป๋เหิงซาน ไป๋ลู่ซาน และสหายของพวกเขานั่งรออยู่ตรงบริเวณที่เดิมที่ก่อนหน้าเป็นที่กินอาหารของพวกนาง และจากที่ซูเมิ่งรู้มาจากซือเจือว่าทั้งซ่วนเชิงและเจียงเหมยขอรับอาหารในกระโจมแทน และดูเหมือนว่าทั้งสองจะขอรับเป็นเนื้อย่างเพื่อไม่ต้องรบกวนคนครัวให้ทำหลายอย่าง ซึ่งพอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นนางก็ถามย้ำเพราะไม่คิดว่าเจียงเหมยจะยอมทิ้งทิฐิกินอาหารฝีมือนาง แต่ก็ได้รับคำตอบอย่างเดิม 

สำหรับซูเมิ่งแล้วนางไม่หวงอาหารอยู่แล้วแค่อยากแกล้งคนที่บอกไม่อยากกินฝีมือนางเท่านั้น เมื่อวานนางจึงไม่ได้ทำเผื่อ แต่พอมาวันนี้เป็นซูเมิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนลำบากหลบพวกบุรุษเหล่านี้กินอาหารในกระโจมแทน แต่พอสังเกตดี ๆนอกจากบุรุษห้าคนและบ่าวของพวกเขาก่อนหน้าแล้วยังมีอีกสองคนเพิ่มมา คนนึงคือถงฝูคนข้างกายชินหวัง และอีกคนคือรุ่ยผิงองครักษ์คนสนิทของไท่จื่อ

“คารวะคุณหนูซูเมิ่งขอรับ ชินหวังให้บ่าวรับเนื้อย่างสูตรคุณหนูด้วยขอรับ” ถงฝูรีบเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นซูเมิ่งเดินมา

“บ่าวด้วยขอรับ ไท่จื่อทรงอยากเสวยเช่นเดียวกัน”

ได้ยินดังนั้นมือเรียวบางก็ถึงขั้นยกขึ้นกุมขมับ นางไม่คิดเลยว่าแค่สเต็กเนื้อธรรมดานี้จะทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นสตรีตัวเล็ก ๆอย่างซูเมิ่งก็ได้แต่รับคำเสียงเนือย

“ได้ แต่อาจนานหน่อยนะไม่รู้ว่าพวกท่านจะรอไหวไหม?”

“ไหวแน่นอน!” 

เสียงบุรุษเอ่ยพร้อมกันทำให้เสียงดังก้องป่า นกในป่าข้างเคียงตกใจบินแตกกระเจิง

…เนื้อกับบุรุษเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เพราะเนื้อทั้งให้พลังงานเยอะและอิ่มนาน พอยิ่งได้เจอรสชาติแปลกใหม่และอร่อย นานแค่ไหนพวกเขาก็รอได้อยู่แล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status