แชร์

บทที่ 29 (ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:09:54

บทที่ 29 (ต่อ)

อีกฝั่งหนึ่งของสวนข้างโรงเตี๊ยมในศาลาซึ่งถือเป็นจุดขายของที่นี่ เพราะรอบศาลาจะปลูกดอกไม้หลากพันธุ์รอบทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้โชยอบอวล และยิ่งในศาลาเป็นจุดเดียวในสวนที่มีเตาถ่านให้ความอบอุ่นทำให้หนุ่มสาวที่ออกมาเดินเล่นยามค่ำคืนมารวมกัน ซึ่งตรงบริเวณไท่จื่อก็ถูกหานเผยหนิงเชิญมาเช่นเดียวกัน

 

“ท่านพี่เทียนเหิงเก่งเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันแพ้อีกแล้ว” 

เสียงหวานของสตรีตรงหน้าชายหนุ่มหน้าหยกทำเอาสตรีนางอื่นลอบมองอิจฉาตาร้อน สตรีที่ยืนโดยรอบต่างได้เพียงแต่แอบมองไท่จื่อแต่หานเผยหนิงกลับได้โอกาสนั่งเล่นหมากรุกได้โอกาสมองตรง ๆ แล้วยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากนั่นที่ไท่จื่อส่งไปให้เเก่สตรีผู้โชคดีตรงหน้าพวกนางยิ่งรู้สึกอิจฉา แต่ก็เถอะพวกนางมิได้เป็นคนโปรดของฮองเฮานี่

“เจ้าเล่นได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว อย่าเศร้าใจไปเลย” 

เสียงทุ้มเอ่ยอย่างปลอบประโลม เขาถือโอกาสที่หมากตานี้จบลุกขึ้นยืน

 

“ท่านพี่เทียนเหิงจะไปแล้วหรือเพคะ” 

หานเผยหนิงลุกขึ้นด้วยกริยาอ่อนช้อย นางเงยขึ้นสบตาบุรุษตรงหน้าแววตาแฝงความเว้าวอน

“ไหนเจ้าบอกอยากให้ข้าพาเจ้าชมดอกไม้ยามค่ำคืนอย่างไรกัน ไม่ไปแล้วหรือ?” 

พอได้ยินดังนั้นนางก็รีบพยักหน้าก่อนเดินไปยีนเคียงข้างบุรุษผู้ที่อยู่ในใจนางมาเนิ่นนาน 

“เจ้ามาอยู่นี่แล้วจิ่นถิงเล่านางไปไหน?” 

เผยหนิงหันไปถามบ่าวผู้ที่ปรกติมักอยู่ข้างกายสหายนางเสมอ แล้วอีกอย่างคือการที่นางชวนไท่จื่อมาชมดอกไม้ยามค่ำคืนครานี้ก็เป็นจิ่นถิงที่เสนอขึ้นมา พอนางมาแล้วไยคนชวนกลับไม่มาเสียอย่างนั้นเล่า

“เอ่อ คุณหนูคงเดี๋ยวตามมาเจ้าค่ะ บอกให้พวกท่านไปก่อนได้เลย” 

บ่าวข้างกายจิ่นถิงพูดจบแต่ไม่วายแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ คุณหนูของนางแยกไปสักพักแล้วซึ่งนางสั่งให้ตนมาคอยดูเเลหากใกล้ถึงเวลาให้ตนทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มคนตรงนี้ไปยังสวนให้ได้ ดีที่ไท่จื่ออยากไปสวนตรงเวลาพอดีนางจึงไม่ต้องทำอะไร แล้วส่วนคุณหนูจิ่นถิงนั้นนางก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนเช่นกัน แม้ใจอยากออกไปตามหาแต่ก็ไม่อาจละทิ้งคำสั่งนี้ได้จึงได้แต่เดินตามไป

เนื่องจากมีไท่จื่อไปด้วยทำให้สตรีนางอื่นเดินตามหลังมาด้วยอย่างไม่ต้องมีใครชวน กลุ่มคนที่จะเดินไปชมสวนดอกไม้ยามค่ำคืนจึงมาราว ๆสิบคนได้ ตามทางเดินมีตะเกียงให้แสงสว่างทำให้สามารถมองสีสันของดอกไม้ได้สวยงามไปอีกแบบ บางดอกมีน้ำค้างอยู่บนกลีบพอสะท้อนเเสงจากตะเกียงก็วิบวับราวเพชรน้ำงาม มีบางจุดที่ไม่ได้แขวนตะเกียงก็เลี่ยงที่จะเดินผ่าน

แต่เเล้วขณะที่กำลังเดินผ่านไปเท้าบางของหานเผยหนิงก็ต้องชะงักกึก…

“ตรงบริเวณนั้นมีเสียงอันใดน่ะ!” 

 

นางชี้ไปยังบริเวณโขดหินก้อนใหญ่ นอกจากจะมีเสียงแปลก ๆออกมาจากบริเวณนั้นแล้ว พุ่มไม้ใกล้เคียงก็ไกวไปมา พอทุกคนหยุดฝีเท้าจึงทำให้เสียงที่เผยหนิงเอ่ยถึงชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

“อ๊า… อึก …อ่า…อ๊าก” 

ไท่จื่อหมุนทิศการเดินไปตรงบริเวณนั้นแทน เขาเดินนำทุกคนไปใกล้บริเวณนั้นอย่างไม่กลัวเกรง แผ่นหลังเหยียดตรง พลันก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงที่แขนเสื้อด้านขวาจึงหันกลับไปมองคนดึง

“ท่านพี่อย่าเข้าไปเลยเพคะ หากเป็นสัตว์ร้ายขึ้นมาจะเกิดอันตรายได้” 

เผยหนิงพูดจบไม่วายมองไปยังทิศของเสียงที่พอพวกเขาเข้าใกล้เสียงก็ได้ยินดังชัดขึ้น

“มิใช่สัตว์ร้ายหรอกเจ้ามิต้องกังวลไป” 

ไท่จื่อเดินต่อไปจนถึงบริเวณนั้นก็วาดมืออย่างรวดเร็วใช้แรงลมทำให้พุ่มไม้ตรงหน้าหักลงทีเดียวเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้สามารถมองเห็นบริเวณหลังโขดหินได้ พอแสงจากตะเกียงที่คุณหนูบ้านนึงนำมาส่องเข้าถึงเบื้องหลังพุ่มไม้นั้น พลันก็เกิดเสียงร้องตกใจขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวเบื้องหลังพุ่มไม้และกลุ่มคนที่มาใหม่

“ว้ายยย…”

“เฮ้ย!…”

สตรีในกลุ่มที่มานั้นหลังจากเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพุ่มไม้แล้วต่างตะลีตะลานก้าวถอยหลังใบหน้าขึ้นสี มีแต่ไท่จื่อและบ่าวบุรุษที่ทำเพียงเบือนหน้าหนี

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังพุ่มไม้คือชายหญิงสองคนในสภาพไร้เสื้อผ้ากำลังกอดเกี่ยวทำเรื่องอย่างว่าอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ลี่หยี่และจิ่นถิง หลังจากที่จิ่นถิงถูกลากเข้าในบริเวณนี้นางก็ถูกรสรักของลี่หยี่มอมเมาทำให้หลงเข้าไปมีความสุขกับรสกามารมณ์จนลืมสิ่งที่ตนต้องทำ พอมารู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่กลุ่มคนตรงมาสาดแสงเข้ามา พอได้สติจิ่นถิงก็รีบผละออกจากลี่หยี่นางรีบกอบโกยเสื้อผ้ามาปิดเรือนร่างตนเองให้มากที่สุด ต่างจากลี่หยี่ที่พอได้สติก็พลันยิ้มสมใจเขาใช้เสื้อผ้าปิดตัวเองเล็กน้อย ครานี้ก็ตรงตามแผนแล้ว คุณหนูผู้สูงส่งได้กลายเป็นฮูหยินของเขาสมใจแล้ว พอคิดได้ดังนั้นก็เอื้อมมือโอบกอดสตรีข้างกายให้เข้ามาซุกแนบอก

“มิต้องกังวลไป ข้าจะรับผิดชอบแต่งเจ้าเป็นฮูหยินเอง” 

เขาพูดเสียงดังเพื่อให้ทุกคนได้ยิน จากนั้นก็หันไปพูดเฉพาะเจาะจงกับชายสูงศักดิ์หนึ่งเดียวตรงหน้า

“กระหม่อมต้องขออภัยองค์ไท่จื่อด้วย ข้าและนางรักกันมานานแล้ว กระหม่อมทำผิดต่อท่านแล้ว”

แม้กล่าวออกไปอย่างนั้นแต่ในใจของลี่หยี่กลับตรงกันข้าม เขาอิจฉาบุรุษตรงหน้ามานานแล้ว และครานี้นอกจากเขาจะได้ฮูหยินตรงตามใจแล้ว ฮูหยินคนนั้นกลับเป็นสตรีที่มีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่ากับคนตรงหน้าอีกด้วย สำหรับไท่จื่อนั่นก็เหมือนถูกตบหน้ามิใช่หรือ ยิ่งคิดก็มีความสุขโดยไม่สนใจคนในอ้อมกอดที่ดิ้นรุนเเรงขึ้น

เทียนหมิงเลิกคิ้วขึ้นนึกสงสัย “ไยท่านต้องขอโทษข้า ข้าว่าท่านควรขอโทษท่านเสนาบดีต่งเสียมากกว่ากระมัง”

“หือ เสนาบดีต่งรึ?…” 

ยังเอ่ยมิทันจบคนในอ้อมกอดก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายสลัดตัวเองออกจากอ้อมอกมาจนได้ ทำให้ลี่หยี่ได้มีโอกาสเห็นหน้าสตรีที่เขาเพิ่งร่วมรักเมื่อสักครู่เป็นครั้งแรก ใบหน้าที่แต่เติมแต้มสีแดงจากรสรักกลับพลันซีดขาว 

“จิ่นถิง! เจ้ามาอยู่ในอ้อมกอดข้าได้อย่างไร”

เป็นบ่าวรับใช้ของจิ่นถิงที่ได้สติก่อนใคร นางรีบเข้าไปช่วยเจ้านายตนจัดเเจงใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนคนอื่นก็ยังคงยืนหันไปคุยกับสหายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เว้นเสียหานเผยหนิงที่เงียบกว่าใคร นางมองไปที่จิ่นถิงที่แต่งกายเรียบร้อยสีหน้าของเจ้าตัวแข็งทื่อราวร่างไร้วิญญาณ ส่วนบุรุษอีกคนข้าง ๆก็ยังงงงวยจากที่ก่อนหน้ายังเต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่เลย 

…เท่าที่รู้จักจิ่นถิงมานานนางรู้ว่าสหายคนนี้เป็นคนเยี่ยงไร นางมิน่าปล่อยให้เกิดเรื่องอับอายเยี่ยงนี้กับตนเองได้ และที่นางมั่นใจว่าเรื่องราวตรงหน้าไม่น่าใช่ความตั้งใจของจิ่นถิงเป็นเพราะนางรู้ว่าสหายตนหวังอยากเป็นชายาของไท่จื่อมากเพียงไหน แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้จิ่นถิงก็ไม่อาจเอื้อมเป็นชายาแล้ว

“เอ คุณหนูเจ้าคะ ตรงหน้าเขารุมดูอะไรกันคนเยอะเชียว” 

ไป๋จื่อเอ่ยขึ้น และเสียงของนางก็ทำให้กลุ่มคนตรงหน้าหันมองไม่เว้นแม้กระทั้งสตรีและบุรุษที่ก่อนหน้าตัวเปล่าเปลือย คุณหนูท่านอื่นพอหันมาเห็นซูเมิ่งก็ไม่ได้สนใจอะไร วาบเดียวก็หันไปคุยอย่างออกรสต่อ มีก็เเต่จิ่นถิงที่พอเห็นคู่อริอย่างซูเมิ่งที่ควรจะมาอยู่ในตำแหน่งที่นางอยู่ตามแผนที่ตนวางไว้ก็พลันได้สติ สองตาเบิกโพลงแทบล้นออกมาจากเบ้า มือเรียวยกขึ้นชี้มาที่ซูเมิ่งพร้อมตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“เป็นเจ้าที่วางแผนทำลายชื่อเสียงข้า เป็นเจ้า!”

ทุกคนมองตามมือของจิ่นถิง ใครที่ขวางวิถีการชี้ก็เเหวกออกจนเหลือเป็นทางมุ่งมาทางนาง ทำให้แต่เดิมซูเมิ่งเป็นแค่คนผ่านมากลับกลายเป็นคนหนึ่งในเหตุการณ์เสียอย่างนั้น ซูเมิ่งมองเก็บรายละเอียดโดยรอบนางก็พอเดาได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นก็ไม่เกินจากที่นางคาดไว้ก่อนหน้านี้มากนัก นางคาดไว้แล้วว่าจิ่นถิงน่าจะนัดซูเมิ่งมาแล้วให้ลี่หยี่ชายคนที่ไป๋จื่อเห็นว่าคุยกับจิ่นถิงก่อนหน้ามาทำอะไรนางสักอย่าง ดังนั้นซูเมิ่งจึงให้คนเอาจดหมายไปให้ลี่หยี่ทำทีมาจากจิ่นถิงว่าเลื่อนเวลาขึ้นมาก่อนสองเค่อ จากนั้นก็ส่งคำพูดไปบอกให้จิ่นถิงรู้ว่าซูเมิ่งจะไปตามนัดตามที่นางบอกว่าจะขอโทษ และสักครู่ก็ให้คนส่งจดหมายทำทีว่ามาจากลี่หยี่บอกว่าให้จิ่นถิงไปตามสถานที่นัดก่อนเวลาในแผนการสองเค่อโดยจะคุยเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติม ทีนี้ไม่ว่าจิ่นถิงจะสั่งให้ลี่หยี่มาทำอะไรซูเมิ่งก็จะกลายเป็นลี่หยี่กระทำกับจิ่นถิงแทน

…เขาเรียกกันว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง!

“ไยคุณหนูจิ่นถิงพูดเยี่ยงนั้นเจ้าคะ คุณหนูข้าเพิ่งมาถึง ไหนเลยอยู่ดีดีคุณหนูก็กล่าวหาเสียอย่างนั้น” ไป๋จื่อเอ่ยมิใคร่พอใจนัก 

พอมองไปที่คุณหนูคนอื่นที่หันไปกระซิบกระซาบมีบางคนเอ่ยเห็นด้วยเรื่องที่ซูเมิ่งอาจทำจริง เพราะว่าอย่างจิ่นถิงไม่น่าทำเรื่องอะไรแบบนี้ และที่สำคัญเมื่อเช้าจิ่นถิงก็เพิ่งบาดหมางกับซูเมิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเสียงที่บอกว่าจิ่นถิงหน้าไม่อายตัวเองทำเรื่องอัปยศเองแต่กลับโยนความผิดให้คนอื่นเสียอย่างนั้น

“เจ้านั่นแหละ! เจ้าวางแผนให้บุรุษผู้นี้มาย่ำยีข้า ใช่หรือไม่!?” 

จิ่นถิงหันไปถามเสียงกังวานกับลี่หยี่ในประโยคท้าย พร้อมเอื้อมมือไปทุบชายหนุ่มไม่ยั้งทำท่าทางอย่างคนเสียใจแต่ไม่ยอมในโชคชะตาและถือโอกาสกระซิบบอกให้เขาตามน้ำนาง ฝ่ายลี่หยี่นั้นเขาไม่ถนัดเรื่องใช้สมองเมื่อเห็นว่าเรื่องเลยเถิดมาตรงนี้ด้วยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อจึงทำตามที่จิ่นถิงบอก

ลี่หยี่เอ่ยขึ้นเสียงตะกุกตะกักหลังจากที่บ่าวของจิ่นถิงมาช่วยกันนำจิ่นถิงออกไป “ใช่ ๆ เป็นคุณหนูซูเมิ่งสั่งให้ข้าทำอย่างนี้”

 

สิ้นคำเสียงพูดคุยของทุกคนก็เงียบลงทันทีทุกสายตาจดจ้องมาที่ซูเมิ่งอย่างพร้อมเพรียง สายตาแต่ละคนแฝงไปด้วยแววถากถาง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ่นถิงนั้นถือเป็นการตัดอนาคตของสตรีนางหนึ่งเลย เพราะจากนี้จิ่นถิงคงมิอาจแต่งให้กับตระกูลอื่นได้อีกนอกจากแต่งกับลี่หยี่หรือไม่ก็อาจเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น

“เจ้าทำอย่างนั้นจริงหรือ?” เทียนเหิงที่เงียบมานานเอ่ยเสียงเรียบกับซูเมิ่ง

“หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ล่ะ” 

พูดจบนางก็ละสายตาไปจากเทียนเหิง นางจ้องตรงสบตากับจิ่นถิงพลางเดินเข้ามายืนต่อหน้านางห่างประมาณสามช่วงแขน 

“เจ้ากล่าวหาข้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“ก็ท่านพี่ลี่หยี่อย่างไรเล่า เขาก็สารภาพแล้ว!” 

จิ่นถิงลอบสูดปาก ในหัวนางก็คิดว่าจะเอาจดหมายที่นางได้รับที่ตอนแรกคิดว่ามาจากลี่หยี่ออกมาแล้วบอกว่าเป็นซูเมิ่งนัดนางมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าจดหมายนั่นนางอ่านจบก็เผาไฟไปหมดสิ้นแล้วเพราะกลัวว่าจะถูกใครพบเข้า พอคิดหลักฐานอย่างอื่นไม่ออกเปลี่ยนมาเป็นยึดมั่นให้ลี่หยี่ยืนยันว่าเป็นซูเมิ่งสั่งการเอา เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงนางก็เสียแล้วนางก็ขอเอาซูเมิ่งให้ลงเหวไปพร้อมกันแล้วกัน

“อ้อ บุรุษผู้นี้นามว่าลี่หยี่นี่เอง เจ้าดูคุ้ยเคยกับเขาเสียยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ” 

ซูเมิ่งเอ่ยจบเสียงพูดคุยของคนรอบข้างก็ดังขึ้นอีก แต่ซูเมิ่งก็หาได้สนใจ ท่าทีของนางดูไม่ทุกข์ร้อนอย่างคนที่กำลังถูกกล่าวหาเลยสักนิดจนจิ่นถิงทนดูไม่ไหว นางยิ่งคลุ้มคลั่ง

“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น หากเจ้าบอกว่าไม่รู้จักบุรุษผู้นี้แล้วที่เจ้าวางแผนให้เขามาข่มเหงข้าเล่า หรือเจ้าจะบอกว่าข้าวางเเผนทำลายชื่อเสียงตัวเองอย่างนั้นหรือ” 

จิ่นถิงตะโกนจนน้ำเสียงแหบแห้งเสร็จนางก็เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนคนรอบข้างสงสาร เป็นหานเผยหนิงที่เข้ามาปลอบประโลม จิ่นถิงร้องไห้ไหล่ไหวพอเห็นคนรอบข้างเหมือนจะเข้าข้างตนก็รีบถือโอกาสนี้ตีเหล็กตอนที่ยังร้อน หันไปพูดกับเทียนเหิงทันที

“องค์ไท่จื่อเพคะท่านต้องช่วยให้ความยุติธรรมแก่หม่อมฉันนะเพคะ ฮือ”

ในใจของเทียนเหิงก็ไม่คิดว่าจะเป็นแผนการของซูเมิ่งเพราะไม่คิดว่าคนอย่างนางมีจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงนั้น แต่ก็จนด้วยคำพูด 

“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” 

ก่อนที่ซูเมิ่งจะได้อ้าปากพูด เป็นเผยหนิงที่เอ่ยขึ้นก่อน “ว่าแต่ไยเจ้าถึงได้มาโผล่ที่นี่เวลานี้ได้ คงมิได้บังเอิญมาชมสวนยามค่ำคืนหรอกกระมัง”

จิ่นถิงที่พอได้ยินสหายพูดดังนั้นก็พลันนัยน์ตาสว่างวาบ 

“นางต้องเดินมาดูผลลัพธ์เป็นเเน่เพคะองค์ไท่จื่อ ฮือ”

ซูเมิ่งหลุบสายตามองไปที่เผยหนิงแวบหนึ่งก่อนยิ้มมุมปาก “มิใช่อย่างที่คุณหนูเผยหนิงพูดหรอก ข้าตั้งใจมาบริเวณนี้…”

“นั่นไงเพคะ! นางเผยออกมาแล้ว เพราะนางวางแผนให้หม่อมฉันมานี่และจากนั้นก็ให้บุรุษผู้นี้ข่มเหงหม่อมฉัน” 

จิ่นถิงรีบเอ่ยแทรก เทียงเหิงเงยหน้าสบตาซูเมิ่งอย่างต้องการอ่านสายตานั่น แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะสายตาของนางว่างเปล่า ไม่มีความตื่นตระหนกอย่างกลัวความผิด หรือแววตาเว้าวอนขอร้องเขาเลยสักนิด

“คุณหนูจิ่นถิงรีบร้อนใส่ความข้าเสียจริง คุณหนูคงไม่ลืมหรอกกระมังว่าเป็นคุณหนูเองที่นัดข้าออกมาที่นี่”

สิ้นคำเสียงสะอื้นของจิ่นถิงก็หยุดลง หัวใจนางกระตุกวูบ “เจ้าอย่ามาพูดพล่อย ๆนะ! เจ้ามี…”

เสียงตะโกนหยุดลงเมื่อซูเมิ่งหยิบเเผ่นกระดาษใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อ “ข้ามาตามนัดทั้งเวลาและสถานที่ตามที่คุณหนูบอกในจดหมายเลย”

 

ซูเมิ่งส่งจดหมายให้เผยหนิง “ท่านคงจะจำลายมือของสหายท่านได้กระมัง หากจำไม่ได้คงต้องให้ญาติคนอื่นของคุณหนูจิ่นถิงดูหรือไม่ก็เทียบกับในจดหมายอื่น ๆของนางก็คงรู้ว่าใช่ลายมือนางหรือไม่”

เผยหนิงรับจดหมายมาก็เห็นว่าเป็นลายมือสหายตนจริง แม้นางอยากจะช่วยจิ่นถิงทำลายชื่อเสียงซูเมิ่งมากเพียงใดแต่นางก็ไม่สามารถพูดปดได้ จึงได้เเต่พยักหน้าเเละเอ่ยบอกว่าเป็นลายมือของจิ่นถิง

“ข้ามาตามนัดหมาย พอมาถึงก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์นี้หรอก อีกทั้งยังถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนวางแผนอะไรนั่นอีก” 

ลี่หยี่เงียบกริบในใจก็เริ่มตื่นตระหนก แม้เขาจะโง่เง่าเพียงใดก็พอจะมองสถานการณ์ออกว่าคุณหนูซูเมิ่งเริ่มเหนือกว่าแล้ว และก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ดีดีซูเมิ่งก็หันมาพูดกับตน

“ข้ามิรู้ว่ารู้จักท่านตั้งแต่เมื่อใด แต่ข้าเชื่อว่าบางทีที่ท่านเอ่ยเยี่ยงนั้นอาจถูกใครบังคับ ฉะนั้นข้าก็จะไม่เอาความท่านแล้วกัน แต่หากท่านพ่อข้ารู้เรื่องเข้าว่ามีคนตั้งใจใส่ร้ายบุตรีหนึ่งเดียวของเขาล่ะก็ข้าก็คงมิอาจช่วยท่านได้” 

น้ำเสียงที่ซูเมิ่งเอ่ยกับลี่หยี่นั้นฟังสบายทั้งแฝงไปด้วยความเห็นใจไม่ได้กดขี่อย่างที่จิ่นถิงทำ ทำให้ความคิดในใจของบุรุษอย่างเขาเริ่มขัดแย้งกันเอง ใจหนึ่งเขาก็คิดจะโกหกช่วยผู้เป็นว่าที่ฮูหยินของตนต่อ แต่อีกใจเขาก็หวั่นกลัวอำนาจตระกูลไป๋ ซึ่งแม้ลี่หยี่จะเพียงคิดในใจแต่มันก็เผยออกมาหมดผ่านทางสีหน้าและแววตา

ซูเมิ่งแค่นเสียงในใจ นางสังเกตลักษณะท่าทางของลี่หยี่ก็รู้แล้วว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ใดทำให้ซูเมิ่งเอ่ยประโยคก่อนหน้าออกไป หลังจากนี้นางก็แค่รอให้มันผลิดอกออกผลเท่านั้น ระหว่างนั้นซูเมิ่งก็หมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับทุกคนโดยเฉพาะองค์ไท่จื่อ

“ว่าแต่ที่พวกท่านมาที่นี่เพื่อจะมาดูดอกไม้ยามค่ำคืนกันหรือ?”

ซูเมิ่งพูดพลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆบริเวณที่ทุกคนยืนอยู่ซึ่งก็คือสถานที่ใกล้บริเวณที่จิ่นถิงนัดหมายนางมาหรือก็คือสถานที่เกิดเรื่องวันนี้ ซึ่งบริเวณไม่มีดอกไม้บานเลยสักดอก หากจะบอกว่ามาดูดอกไม้ก็ออกจะดูขัดกันเกินไป

“ใช่แล้ว แต่ไม่ใช่บริเวณนี้หรอก เอ่อ เป็นในสวนน่ะ พอดีมีคนแนะนำข้าว่าดอกไม้ในสวนยามกลางคืนที่นี่สวยมากข้าเลยชวนองค์ไท่จื่อมาด้วย” 

เผยหนิงเอ่ยขึ้น นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทำเอาขนอ่อนลุก

“ใครแนะนำหรือ บอกได้หรือไม่” 

ซูเมิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ถึงกับคาดคั้นแต่ก็ใส่น้ำหนักความกดดันมากกว่าเดิม

“เอ่อ จิ่นถิงชวนมาข้าน่ะ”

“พอดีเลยนะเจ้าคะคุณหนู หากตัดเรื่องที่บุรุษผู้นั้นติต่างว่าคุณหนูจ้างวานให้มาข่มเหงคุณหนูจิ่นถิงที่นี่ออกไปแล้วและคุณหนูจิ่นถิงอยู่กับคุณหนูเผยหนิง พอถึงเวลาที่คุณหนูจิ่นถิงนัดคุณหนูของบ่าวมาเพื่อขอโทษตรงบริเวณที่แสงน้อยและเปลี่ยวเช่นนี้และบังเอิญเจอกับบุรุษผู้นี้ สักพักแล้วพวกท่านที่ถูกคุณหนูจิ่นถิงชวนให้ดูดอกไม้ยามค่ำคืนในสวนแห่งนี้เดินมาถึงบริเวณนี้เจอเข้าพอดี อุ้ยบ่าวไม่อยากจะคิดต่อเลยเจ้าค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” 

แม้มองผิวเผินจะเหมือนไป๋จื่อคุยกับซูเมิ่งคนเดียวแต่เพราะบริเวณโดยรอบเงียบทำให้ทุกคนต่างก็ได้ยิน ซึ่งที่บ่าวคนนี้พูดมาก็เป็นเรื่องที่น่าคิดยิ่ง เห็นอาการของจิ่นถิงที่รีบกระวีกระวาดโวยวายเสียงดังทำให้ส่งเสริมข้อสันนิฐานนั้นโดยแท้

“เจ้ามันบ่าวปากพล่อย องค์ไท่จื่ออย่าไปเชื่อคำปดพวกนางนะเพคะ หม่อมฉันคือคนถูกกระทำโดยแท้แต่นางกลับพูดกลับดำเป็นขาวใส่ร้ายหม่อมฉัน” 

จิ่นถิงแทบจะเขยิบเข้าไปเกาะขาเทียงหมิงซึ่งพอนางเงยหน้าสบตาเข้าก็ตัวสั่นเทิ้มทันที สายตาของเขานั้นเยือกเย็น เทียนเหิงมิใช่คนโง่ แม้ไม่มีสิ่งที่บ่าวคนนั้นพูดเขาก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และพอคิดว่าสตรีที่ถูกข่มเหงหากเปลี่ยนจากจิ่นถิงมาเป็นว่าที่คู่หมั้นของตนความรู้สึกอึดอัดคับข้องก็พุ่งขึ้นปริ่มอก แต่ก่อนที่เขาจะทันเอ่ยปากเพื่อช่วยเหลือซูเมิ่งก็ถูกเสียงบุรุษอีกคนเอ่ยแทรกเสียก่อน

“กระหม่อมผิดไปแล้วพะยะค่ะ เป็นนางที่บังคับขู่เข็ญให้กระหม่อมทำเรื่องแบบนี้ โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย” 

ลี่หยี่ที่ก้มหน้าครุ่นคิดกับตนเองอยู่นานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จากนั้นก็หันไปทางซูเมิ่งพลางขอร้อง เขาไม่ห่วงภาพลักษณ์หรือเกียรติยศของตนใดใดทั้งสิ้น ตอนนี้ขอให้ตนมีชีวิตรอดปลอดภัยเป็นพอ ฝ่ายจิ่นถิงที่พอเห็นดังนั้นทั้งตัวก็พลันไร้เรี่ยวแรง นางทนให้คนรอบข้างที่มองหน้าตนด้วยสายตารังเกียจไม่ไหวนางจึงหันไปหาที่พึ่งสุดท้ายกอดเอวสหายตนไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“ท่านพี่เทียนเหิงเพคะหม่อมฉันว่าเรื่องนี้เอาไว้สืบให้แน่ชัดวันรุ่งขึ้นดีกว่าเพคะ เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลา อีกอย่างจะสอบถามจิ่นถินนางก็คงไม่ไหวแล้ว” 

สิ้นคำจิ่นถิงก็พลันทิ้งตัวอย่างรู้งาน ลำบากให้บ่าวมาพยุงไว้ พอซูเมิ่งได้เห็นดังนั้นก็หยักยิ้มมุมปาก 

…สตรีสองนางนี้ช่างเข้าขากันได้ดีเสียจริง

“ได้อย่างไรเจ้าคะอย่างนี้มิใช่คุณหนูของบ่าวจะเสียชื่อเสียงหรอกหรือเจ้าคะ” 

ไป๋จื่อเอ่ยเสียงดังทำให้บ่าวทั้งสองที่กำลังพยุงจิ่นถิงออกไปหยุดชะงักพลางหันมามองเผยหนิงรอคำสั่ง

“เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปไม่มีใครคิดว่าคุณหนูของเจ้ากระทำเรื่องอย่างว่าเพื่อทำลายใครหรอก ส่วนเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง” 

เขาหันมาพูดกับซูเมิ่งโดยตรง น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงความห่วงใย

เมื่อไท่จื่อพูดเยี่ยงนั้นแม้ใครไม่พอใจก็ไม่กล้าเอ่ยขัดแล้ว สำหรับนางก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะจบภายในวันนี้หรอก แม้จะรู้ว่าหากปล่อยไว้ยิ่งนานการความผิดจิ่นถิงก็ยิ่งน้อยลง แต่ซูเมิ่งก็ไม่ได้เอ่ยขัดขึ้น ในเมื่อนางไม่ได้เป็นอะไรส่วนจิ่นถิงก็ได้รับกรรมของตนแล้วตอนนี้นางก็ขอกลับไปพักดีกว่า

“ขอบพระทัยเพคะ งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน” พูดจบก็หมุนตัวหันกลับไป

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง”

ภาพบุรุษแผ่นหลังเหยียดตรงที่ก่อนหน้าเดินมากับตนแต่ตอนนี้กลับเดินไปส่งสตรีอีกนางช่างเป็นภาพบาดใจแก่หานเผยหนิงยิ่งนัก จะให้นางตามไปก็ไม่ได้เพราะมือของจิ่นถิงที่ดึงรั้งตนไว้ จึงทำได้เพียงยืนสงบนิ่ง แววตาลึกล้ำส่งตามสองสตรีบุรุษจนลับสายตา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status