บทที่ 29 (ต่อ)
อีกฝั่งหนึ่งของสวนข้างโรงเตี๊ยมในศาลาซึ่งถือเป็นจุดขายของที่นี่ เพราะรอบศาลาจะปลูกดอกไม้หลากพันธุ์รอบทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้โชยอบอวล และยิ่งในศาลาเป็นจุดเดียวในสวนที่มีเตาถ่านให้ความอบอุ่นทำให้หนุ่มสาวที่ออกมาเดินเล่นยามค่ำคืนมารวมกัน ซึ่งตรงบริเวณไท่จื่อก็ถูกหานเผยหนิงเชิญมาเช่นเดียวกัน
“ท่านพี่เทียนเหิงเก่งเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันแพ้อีกแล้ว”
เสียงหวานของสตรีตรงหน้าชายหนุ่มหน้าหยกทำเอาสตรีนางอื่นลอบมองอิจฉาตาร้อน สตรีที่ยืนโดยรอบต่างได้เพียงแต่แอบมองไท่จื่อแต่หานเผยหนิงกลับได้โอกาสนั่งเล่นหมากรุกได้โอกาสมองตรง ๆ แล้วยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากนั่นที่ไท่จื่อส่งไปให้เเก่สตรีผู้โชคดีตรงหน้าพวกนางยิ่งรู้สึกอิจฉา แต่ก็เถอะพวกนางมิได้เป็นคนโปรดของฮองเฮานี่
“เจ้าเล่นได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว อย่าเศร้าใจไปเลย”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างปลอบประโลม เขาถือโอกาสที่หมากตานี้จบลุกขึ้นยืน
“ท่านพี่เทียนเหิงจะไปแล้วหรือเพคะ”
หานเผยหนิงลุกขึ้นด้วยกริยาอ่อนช้อย นางเงยขึ้นสบตาบุรุษตรงหน้าแววตาแฝงความเว้าวอน
“ไหนเจ้าบอกอยากให้ข้าพาเจ้าชมดอกไม้ยามค่ำคืนอย่างไรกัน ไม่ไปแล้วหรือ?”
พอได้ยินดังนั้นนางก็รีบพยักหน้าก่อนเดินไปยีนเคียงข้างบุรุษผู้ที่อยู่ในใจนางมาเนิ่นนาน
“เจ้ามาอยู่นี่แล้วจิ่นถิงเล่านางไปไหน?”
เผยหนิงหันไปถามบ่าวผู้ที่ปรกติมักอยู่ข้างกายสหายนางเสมอ แล้วอีกอย่างคือการที่นางชวนไท่จื่อมาชมดอกไม้ยามค่ำคืนครานี้ก็เป็นจิ่นถิงที่เสนอขึ้นมา พอนางมาแล้วไยคนชวนกลับไม่มาเสียอย่างนั้นเล่า
“เอ่อ คุณหนูคงเดี๋ยวตามมาเจ้าค่ะ บอกให้พวกท่านไปก่อนได้เลย”
บ่าวข้างกายจิ่นถิงพูดจบแต่ไม่วายแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ คุณหนูของนางแยกไปสักพักแล้วซึ่งนางสั่งให้ตนมาคอยดูเเลหากใกล้ถึงเวลาให้ตนทำอย่างไรก็ได้ให้กลุ่มคนตรงนี้ไปยังสวนให้ได้ ดีที่ไท่จื่ออยากไปสวนตรงเวลาพอดีนางจึงไม่ต้องทำอะไร แล้วส่วนคุณหนูจิ่นถิงนั้นนางก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนเช่นกัน แม้ใจอยากออกไปตามหาแต่ก็ไม่อาจละทิ้งคำสั่งนี้ได้จึงได้แต่เดินตามไป
เนื่องจากมีไท่จื่อไปด้วยทำให้สตรีนางอื่นเดินตามหลังมาด้วยอย่างไม่ต้องมีใครชวน กลุ่มคนที่จะเดินไปชมสวนดอกไม้ยามค่ำคืนจึงมาราว ๆสิบคนได้ ตามทางเดินมีตะเกียงให้แสงสว่างทำให้สามารถมองสีสันของดอกไม้ได้สวยงามไปอีกแบบ บางดอกมีน้ำค้างอยู่บนกลีบพอสะท้อนเเสงจากตะเกียงก็วิบวับราวเพชรน้ำงาม มีบางจุดที่ไม่ได้แขวนตะเกียงก็เลี่ยงที่จะเดินผ่าน
แต่เเล้วขณะที่กำลังเดินผ่านไปเท้าบางของหานเผยหนิงก็ต้องชะงักกึก…
“ตรงบริเวณนั้นมีเสียงอันใดน่ะ!”
นางชี้ไปยังบริเวณโขดหินก้อนใหญ่ นอกจากจะมีเสียงแปลก ๆออกมาจากบริเวณนั้นแล้ว พุ่มไม้ใกล้เคียงก็ไกวไปมา พอทุกคนหยุดฝีเท้าจึงทำให้เสียงที่เผยหนิงเอ่ยถึงชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
ไท่จื่อหมุนทิศการเดินไปตรงบริเวณนั้นแทน เขาเดินนำทุกคนไปใกล้บริเวณนั้นอย่างไม่กลัวเกรง แผ่นหลังเหยียดตรง พลันก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงที่แขนเสื้อด้านขวาจึงหันกลับไปมองคนดึง
“ท่านพี่อย่าเข้าไปเลยเพคะ หากเป็นสัตว์ร้ายขึ้นมาจะเกิดอันตรายได้”
เผยหนิงพูดจบไม่วายมองไปยังทิศของเสียงที่พอพวกเขาเข้าใกล้เสียงก็ได้ยินดังชัดขึ้น
“มิใช่สัตว์ร้ายหรอกเจ้ามิต้องกังวลไป”
ไท่จื่อเดินต่อไปจนถึงบริเวณนั้นก็วาดมืออย่างรวดเร็วใช้แรงลมทำให้พุ่มไม้ตรงหน้าหักลงทีเดียวเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้สามารถมองเห็นบริเวณหลังโขดหินได้ พอแสงจากตะเกียงที่คุณหนูบ้านนึงนำมาส่องเข้าถึงเบื้องหลังพุ่มไม้นั้น พลันก็เกิดเสียงร้องตกใจขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวเบื้องหลังพุ่มไม้และกลุ่มคนที่มาใหม่
สตรีในกลุ่มที่มานั้นหลังจากเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพุ่มไม้แล้วต่างตะลีตะลานก้าวถอยหลังใบหน้าขึ้นสี มีแต่ไท่จื่อและบ่าวบุรุษที่ทำเพียงเบือนหน้าหนี
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังพุ่มไม้คือชายหญิงสองคนในสภาพไร้เสื้อผ้ากำลังกอดเกี่ยวทำเรื่องอย่างว่าอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ลี่หยี่และจิ่นถิง หลังจากที่จิ่นถิงถูกลากเข้าในบริเวณนี้นางก็ถูกรสรักของลี่หยี่มอมเมาทำให้หลงเข้าไปมีความสุขกับรสกามารมณ์จนลืมสิ่งที่ตนต้องทำ พอมารู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่กลุ่มคนตรงมาสาดแสงเข้ามา พอได้สติจิ่นถิงก็รีบผละออกจากลี่หยี่นางรีบกอบโกยเสื้อผ้ามาปิดเรือนร่างตนเองให้มากที่สุด ต่างจากลี่หยี่ที่พอได้สติก็พลันยิ้มสมใจเขาใช้เสื้อผ้าปิดตัวเองเล็กน้อย ครานี้ก็ตรงตามแผนแล้ว คุณหนูผู้สูงส่งได้กลายเป็นฮูหยินของเขาสมใจแล้ว พอคิดได้ดังนั้นก็เอื้อมมือโอบกอดสตรีข้างกายให้เข้ามาซุกแนบอก
“มิต้องกังวลไป ข้าจะรับผิดชอบแต่งเจ้าเป็นฮูหยินเอง”
เขาพูดเสียงดังเพื่อให้ทุกคนได้ยิน จากนั้นก็หันไปพูดเฉพาะเจาะจงกับชายสูงศักดิ์หนึ่งเดียวตรงหน้า
“กระหม่อมต้องขออภัยองค์ไท่จื่อด้วย ข้าและนางรักกันมานานแล้ว กระหม่อมทำผิดต่อท่านแล้ว”
แม้กล่าวออกไปอย่างนั้นแต่ในใจของลี่หยี่กลับตรงกันข้าม เขาอิจฉาบุรุษตรงหน้ามานานแล้ว และครานี้นอกจากเขาจะได้ฮูหยินตรงตามใจแล้ว ฮูหยินคนนั้นกลับเป็นสตรีที่มีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่ากับคนตรงหน้าอีกด้วย สำหรับไท่จื่อนั่นก็เหมือนถูกตบหน้ามิใช่หรือ ยิ่งคิดก็มีความสุขโดยไม่สนใจคนในอ้อมกอดที่ดิ้นรุนเเรงขึ้น
เทียนหมิงเลิกคิ้วขึ้นนึกสงสัย “ไยท่านต้องขอโทษข้า ข้าว่าท่านควรขอโทษท่านเสนาบดีต่งเสียมากกว่ากระมัง”
ยังเอ่ยมิทันจบคนในอ้อมกอดก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายสลัดตัวเองออกจากอ้อมอกมาจนได้ ทำให้ลี่หยี่ได้มีโอกาสเห็นหน้าสตรีที่เขาเพิ่งร่วมรักเมื่อสักครู่เป็นครั้งแรก ใบหน้าที่แต่เติมแต้มสีแดงจากรสรักกลับพลันซีดขาว
“จิ่นถิง! เจ้ามาอยู่ในอ้อมกอดข้าได้อย่างไร”
เป็นบ่าวรับใช้ของจิ่นถิงที่ได้สติก่อนใคร นางรีบเข้าไปช่วยเจ้านายตนจัดเเจงใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนคนอื่นก็ยังคงยืนหันไปคุยกับสหายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เว้นเสียหานเผยหนิงที่เงียบกว่าใคร นางมองไปที่จิ่นถิงที่แต่งกายเรียบร้อยสีหน้าของเจ้าตัวแข็งทื่อราวร่างไร้วิญญาณ ส่วนบุรุษอีกคนข้าง ๆก็ยังงงงวยจากที่ก่อนหน้ายังเต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่เลย
…เท่าที่รู้จักจิ่นถิงมานานนางรู้ว่าสหายคนนี้เป็นคนเยี่ยงไร นางมิน่าปล่อยให้เกิดเรื่องอับอายเยี่ยงนี้กับตนเองได้ และที่นางมั่นใจว่าเรื่องราวตรงหน้าไม่น่าใช่ความตั้งใจของจิ่นถิงเป็นเพราะนางรู้ว่าสหายตนหวังอยากเป็นชายาของไท่จื่อมากเพียงไหน แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้จิ่นถิงก็ไม่อาจเอื้อมเป็นชายาแล้ว
“เอ คุณหนูเจ้าคะ ตรงหน้าเขารุมดูอะไรกันคนเยอะเชียว”
ไป๋จื่อเอ่ยขึ้น และเสียงของนางก็ทำให้กลุ่มคนตรงหน้าหันมองไม่เว้นแม้กระทั้งสตรีและบุรุษที่ก่อนหน้าตัวเปล่าเปลือย คุณหนูท่านอื่นพอหันมาเห็นซูเมิ่งก็ไม่ได้สนใจอะไร วาบเดียวก็หันไปคุยอย่างออกรสต่อ มีก็เเต่จิ่นถิงที่พอเห็นคู่อริอย่างซูเมิ่งที่ควรจะมาอยู่ในตำแหน่งที่นางอยู่ตามแผนที่ตนวางไว้ก็พลันได้สติ สองตาเบิกโพลงแทบล้นออกมาจากเบ้า มือเรียวยกขึ้นชี้มาที่ซูเมิ่งพร้อมตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นเจ้าที่วางแผนทำลายชื่อเสียงข้า เป็นเจ้า!”
ทุกคนมองตามมือของจิ่นถิง ใครที่ขวางวิถีการชี้ก็เเหวกออกจนเหลือเป็นทางมุ่งมาทางนาง ทำให้แต่เดิมซูเมิ่งเป็นแค่คนผ่านมากลับกลายเป็นคนหนึ่งในเหตุการณ์เสียอย่างนั้น ซูเมิ่งมองเก็บรายละเอียดโดยรอบนางก็พอเดาได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งนั่นก็ไม่เกินจากที่นางคาดไว้ก่อนหน้านี้มากนัก นางคาดไว้แล้วว่าจิ่นถิงน่าจะนัดซูเมิ่งมาแล้วให้ลี่หยี่ชายคนที่ไป๋จื่อเห็นว่าคุยกับจิ่นถิงก่อนหน้ามาทำอะไรนางสักอย่าง ดังนั้นซูเมิ่งจึงให้คนเอาจดหมายไปให้ลี่หยี่ทำทีมาจากจิ่นถิงว่าเลื่อนเวลาขึ้นมาก่อนสองเค่อ จากนั้นก็ส่งคำพูดไปบอกให้จิ่นถิงรู้ว่าซูเมิ่งจะไปตามนัดตามที่นางบอกว่าจะขอโทษ และสักครู่ก็ให้คนส่งจดหมายทำทีว่ามาจากลี่หยี่บอกว่าให้จิ่นถิงไปตามสถานที่นัดก่อนเวลาในแผนการสองเค่อโดยจะคุยเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติม ทีนี้ไม่ว่าจิ่นถิงจะสั่งให้ลี่หยี่มาทำอะไรซูเมิ่งก็จะกลายเป็นลี่หยี่กระทำกับจิ่นถิงแทน
…เขาเรียกกันว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง!
“ไยคุณหนูจิ่นถิงพูดเยี่ยงนั้นเจ้าคะ คุณหนูข้าเพิ่งมาถึง ไหนเลยอยู่ดีดีคุณหนูก็กล่าวหาเสียอย่างนั้น” ไป๋จื่อเอ่ยมิใคร่พอใจนัก
พอมองไปที่คุณหนูคนอื่นที่หันไปกระซิบกระซาบมีบางคนเอ่ยเห็นด้วยเรื่องที่ซูเมิ่งอาจทำจริง เพราะว่าอย่างจิ่นถิงไม่น่าทำเรื่องอะไรแบบนี้ และที่สำคัญเมื่อเช้าจิ่นถิงก็เพิ่งบาดหมางกับซูเมิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเสียงที่บอกว่าจิ่นถิงหน้าไม่อายตัวเองทำเรื่องอัปยศเองแต่กลับโยนความผิดให้คนอื่นเสียอย่างนั้น
“เจ้านั่นแหละ! เจ้าวางแผนให้บุรุษผู้นี้มาย่ำยีข้า ใช่หรือไม่!?”
จิ่นถิงหันไปถามเสียงกังวานกับลี่หยี่ในประโยคท้าย พร้อมเอื้อมมือไปทุบชายหนุ่มไม่ยั้งทำท่าทางอย่างคนเสียใจแต่ไม่ยอมในโชคชะตาและถือโอกาสกระซิบบอกให้เขาตามน้ำนาง ฝ่ายลี่หยี่นั้นเขาไม่ถนัดเรื่องใช้สมองเมื่อเห็นว่าเรื่องเลยเถิดมาตรงนี้ด้วยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อจึงทำตามที่จิ่นถิงบอก
ลี่หยี่เอ่ยขึ้นเสียงตะกุกตะกักหลังจากที่บ่าวของจิ่นถิงมาช่วยกันนำจิ่นถิงออกไป “ใช่ ๆ เป็นคุณหนูซูเมิ่งสั่งให้ข้าทำอย่างนี้”
สิ้นคำเสียงพูดคุยของทุกคนก็เงียบลงทันทีทุกสายตาจดจ้องมาที่ซูเมิ่งอย่างพร้อมเพรียง สายตาแต่ละคนแฝงไปด้วยแววถากถาง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ่นถิงนั้นถือเป็นการตัดอนาคตของสตรีนางหนึ่งเลย เพราะจากนี้จิ่นถิงคงมิอาจแต่งให้กับตระกูลอื่นได้อีกนอกจากแต่งกับลี่หยี่หรือไม่ก็อาจเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น
“เจ้าทำอย่างนั้นจริงหรือ?” เทียนเหิงที่เงียบมานานเอ่ยเสียงเรียบกับซูเมิ่ง
“หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ล่ะ”
พูดจบนางก็ละสายตาไปจากเทียนเหิง นางจ้องตรงสบตากับจิ่นถิงพลางเดินเข้ามายืนต่อหน้านางห่างประมาณสามช่วงแขน
“เจ้ากล่าวหาข้ามีหลักฐานหรือไม่?”
“ก็ท่านพี่ลี่หยี่อย่างไรเล่า เขาก็สารภาพแล้ว!”
จิ่นถิงลอบสูดปาก ในหัวนางก็คิดว่าจะเอาจดหมายที่นางได้รับที่ตอนแรกคิดว่ามาจากลี่หยี่ออกมาแล้วบอกว่าเป็นซูเมิ่งนัดนางมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าจดหมายนั่นนางอ่านจบก็เผาไฟไปหมดสิ้นแล้วเพราะกลัวว่าจะถูกใครพบเข้า พอคิดหลักฐานอย่างอื่นไม่ออกเปลี่ยนมาเป็นยึดมั่นให้ลี่หยี่ยืนยันว่าเป็นซูเมิ่งสั่งการเอา เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงนางก็เสียแล้วนางก็ขอเอาซูเมิ่งให้ลงเหวไปพร้อมกันแล้วกัน
“อ้อ บุรุษผู้นี้นามว่าลี่หยี่นี่เอง เจ้าดูคุ้ยเคยกับเขาเสียยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ”
ซูเมิ่งเอ่ยจบเสียงพูดคุยของคนรอบข้างก็ดังขึ้นอีก แต่ซูเมิ่งก็หาได้สนใจ ท่าทีของนางดูไม่ทุกข์ร้อนอย่างคนที่กำลังถูกกล่าวหาเลยสักนิดจนจิ่นถิงทนดูไม่ไหว นางยิ่งคลุ้มคลั่ง
“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น หากเจ้าบอกว่าไม่รู้จักบุรุษผู้นี้แล้วที่เจ้าวางแผนให้เขามาข่มเหงข้าเล่า หรือเจ้าจะบอกว่าข้าวางเเผนทำลายชื่อเสียงตัวเองอย่างนั้นหรือ”
จิ่นถิงตะโกนจนน้ำเสียงแหบแห้งเสร็จนางก็เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนคนรอบข้างสงสาร เป็นหานเผยหนิงที่เข้ามาปลอบประโลม จิ่นถิงร้องไห้ไหล่ไหวพอเห็นคนรอบข้างเหมือนจะเข้าข้างตนก็รีบถือโอกาสนี้ตีเหล็กตอนที่ยังร้อน หันไปพูดกับเทียนเหิงทันที
“องค์ไท่จื่อเพคะท่านต้องช่วยให้ความยุติธรรมแก่หม่อมฉันนะเพคะ ฮือ”
ในใจของเทียนเหิงก็ไม่คิดว่าจะเป็นแผนการของซูเมิ่งเพราะไม่คิดว่าคนอย่างนางมีจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงนั้น แต่ก็จนด้วยคำพูด
“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”
ก่อนที่ซูเมิ่งจะได้อ้าปากพูด เป็นเผยหนิงที่เอ่ยขึ้นก่อน “ว่าแต่ไยเจ้าถึงได้มาโผล่ที่นี่เวลานี้ได้ คงมิได้บังเอิญมาชมสวนยามค่ำคืนหรอกกระมัง”
จิ่นถิงที่พอได้ยินสหายพูดดังนั้นก็พลันนัยน์ตาสว่างวาบ
“นางต้องเดินมาดูผลลัพธ์เป็นเเน่เพคะองค์ไท่จื่อ ฮือ”
ซูเมิ่งหลุบสายตามองไปที่เผยหนิงแวบหนึ่งก่อนยิ้มมุมปาก “มิใช่อย่างที่คุณหนูเผยหนิงพูดหรอก ข้าตั้งใจมาบริเวณนี้…”
“นั่นไงเพคะ! นางเผยออกมาแล้ว เพราะนางวางแผนให้หม่อมฉันมานี่และจากนั้นก็ให้บุรุษผู้นี้ข่มเหงหม่อมฉัน”
จิ่นถิงรีบเอ่ยแทรก เทียงเหิงเงยหน้าสบตาซูเมิ่งอย่างต้องการอ่านสายตานั่น แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะสายตาของนางว่างเปล่า ไม่มีความตื่นตระหนกอย่างกลัวความผิด หรือแววตาเว้าวอนขอร้องเขาเลยสักนิด
“คุณหนูจิ่นถิงรีบร้อนใส่ความข้าเสียจริง คุณหนูคงไม่ลืมหรอกกระมังว่าเป็นคุณหนูเองที่นัดข้าออกมาที่นี่”
สิ้นคำเสียงสะอื้นของจิ่นถิงก็หยุดลง หัวใจนางกระตุกวูบ “เจ้าอย่ามาพูดพล่อย ๆนะ! เจ้ามี…”
เสียงตะโกนหยุดลงเมื่อซูเมิ่งหยิบเเผ่นกระดาษใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อ “ข้ามาตามนัดทั้งเวลาและสถานที่ตามที่คุณหนูบอกในจดหมายเลย”
ซูเมิ่งส่งจดหมายให้เผยหนิง “ท่านคงจะจำลายมือของสหายท่านได้กระมัง หากจำไม่ได้คงต้องให้ญาติคนอื่นของคุณหนูจิ่นถิงดูหรือไม่ก็เทียบกับในจดหมายอื่น ๆของนางก็คงรู้ว่าใช่ลายมือนางหรือไม่”
เผยหนิงรับจดหมายมาก็เห็นว่าเป็นลายมือสหายตนจริง แม้นางอยากจะช่วยจิ่นถิงทำลายชื่อเสียงซูเมิ่งมากเพียงใดแต่นางก็ไม่สามารถพูดปดได้ จึงได้เเต่พยักหน้าเเละเอ่ยบอกว่าเป็นลายมือของจิ่นถิง
“ข้ามาตามนัดหมาย พอมาถึงก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์นี้หรอก อีกทั้งยังถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนวางแผนอะไรนั่นอีก”
ลี่หยี่เงียบกริบในใจก็เริ่มตื่นตระหนก แม้เขาจะโง่เง่าเพียงใดก็พอจะมองสถานการณ์ออกว่าคุณหนูซูเมิ่งเริ่มเหนือกว่าแล้ว และก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ดีดีซูเมิ่งก็หันมาพูดกับตน
“ข้ามิรู้ว่ารู้จักท่านตั้งแต่เมื่อใด แต่ข้าเชื่อว่าบางทีที่ท่านเอ่ยเยี่ยงนั้นอาจถูกใครบังคับ ฉะนั้นข้าก็จะไม่เอาความท่านแล้วกัน แต่หากท่านพ่อข้ารู้เรื่องเข้าว่ามีคนตั้งใจใส่ร้ายบุตรีหนึ่งเดียวของเขาล่ะก็ข้าก็คงมิอาจช่วยท่านได้”
น้ำเสียงที่ซูเมิ่งเอ่ยกับลี่หยี่นั้นฟังสบายทั้งแฝงไปด้วยความเห็นใจไม่ได้กดขี่อย่างที่จิ่นถิงทำ ทำให้ความคิดในใจของบุรุษอย่างเขาเริ่มขัดแย้งกันเอง ใจหนึ่งเขาก็คิดจะโกหกช่วยผู้เป็นว่าที่ฮูหยินของตนต่อ แต่อีกใจเขาก็หวั่นกลัวอำนาจตระกูลไป๋ ซึ่งแม้ลี่หยี่จะเพียงคิดในใจแต่มันก็เผยออกมาหมดผ่านทางสีหน้าและแววตา
ซูเมิ่งแค่นเสียงในใจ นางสังเกตลักษณะท่าทางของลี่หยี่ก็รู้แล้วว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ใดทำให้ซูเมิ่งเอ่ยประโยคก่อนหน้าออกไป หลังจากนี้นางก็แค่รอให้มันผลิดอกออกผลเท่านั้น ระหว่างนั้นซูเมิ่งก็หมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับทุกคนโดยเฉพาะองค์ไท่จื่อ
“ว่าแต่ที่พวกท่านมาที่นี่เพื่อจะมาดูดอกไม้ยามค่ำคืนกันหรือ?”
ซูเมิ่งพูดพลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆบริเวณที่ทุกคนยืนอยู่ซึ่งก็คือสถานที่ใกล้บริเวณที่จิ่นถิงนัดหมายนางมาหรือก็คือสถานที่เกิดเรื่องวันนี้ ซึ่งบริเวณไม่มีดอกไม้บานเลยสักดอก หากจะบอกว่ามาดูดอกไม้ก็ออกจะดูขัดกันเกินไป
“ใช่แล้ว แต่ไม่ใช่บริเวณนี้หรอก เอ่อ เป็นในสวนน่ะ พอดีมีคนแนะนำข้าว่าดอกไม้ในสวนยามกลางคืนที่นี่สวยมากข้าเลยชวนองค์ไท่จื่อมาด้วย”
เผยหนิงเอ่ยขึ้น นางเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทำเอาขนอ่อนลุก
“ใครแนะนำหรือ บอกได้หรือไม่”
ซูเมิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ถึงกับคาดคั้นแต่ก็ใส่น้ำหนักความกดดันมากกว่าเดิม
“เอ่อ จิ่นถิงชวนมาข้าน่ะ”
“พอดีเลยนะเจ้าคะคุณหนู หากตัดเรื่องที่บุรุษผู้นั้นติต่างว่าคุณหนูจ้างวานให้มาข่มเหงคุณหนูจิ่นถิงที่นี่ออกไปแล้วและคุณหนูจิ่นถิงอยู่กับคุณหนูเผยหนิง พอถึงเวลาที่คุณหนูจิ่นถิงนัดคุณหนูของบ่าวมาเพื่อขอโทษตรงบริเวณที่แสงน้อยและเปลี่ยวเช่นนี้และบังเอิญเจอกับบุรุษผู้นี้ สักพักแล้วพวกท่านที่ถูกคุณหนูจิ่นถิงชวนให้ดูดอกไม้ยามค่ำคืนในสวนแห่งนี้เดินมาถึงบริเวณนี้เจอเข้าพอดี อุ้ยบ่าวไม่อยากจะคิดต่อเลยเจ้าค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
แม้มองผิวเผินจะเหมือนไป๋จื่อคุยกับซูเมิ่งคนเดียวแต่เพราะบริเวณโดยรอบเงียบทำให้ทุกคนต่างก็ได้ยิน ซึ่งที่บ่าวคนนี้พูดมาก็เป็นเรื่องที่น่าคิดยิ่ง เห็นอาการของจิ่นถิงที่รีบกระวีกระวาดโวยวายเสียงดังทำให้ส่งเสริมข้อสันนิฐานนั้นโดยแท้
“เจ้ามันบ่าวปากพล่อย องค์ไท่จื่ออย่าไปเชื่อคำปดพวกนางนะเพคะ หม่อมฉันคือคนถูกกระทำโดยแท้แต่นางกลับพูดกลับดำเป็นขาวใส่ร้ายหม่อมฉัน”
จิ่นถิงแทบจะเขยิบเข้าไปเกาะขาเทียงหมิงซึ่งพอนางเงยหน้าสบตาเข้าก็ตัวสั่นเทิ้มทันที สายตาของเขานั้นเยือกเย็น เทียนเหิงมิใช่คนโง่ แม้ไม่มีสิ่งที่บ่าวคนนั้นพูดเขาก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และพอคิดว่าสตรีที่ถูกข่มเหงหากเปลี่ยนจากจิ่นถิงมาเป็นว่าที่คู่หมั้นของตนความรู้สึกอึดอัดคับข้องก็พุ่งขึ้นปริ่มอก แต่ก่อนที่เขาจะทันเอ่ยปากเพื่อช่วยเหลือซูเมิ่งก็ถูกเสียงบุรุษอีกคนเอ่ยแทรกเสียก่อน
“กระหม่อมผิดไปแล้วพะยะค่ะ เป็นนางที่บังคับขู่เข็ญให้กระหม่อมทำเรื่องแบบนี้ โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย”
ลี่หยี่ที่ก้มหน้าครุ่นคิดกับตนเองอยู่นานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จากนั้นก็หันไปทางซูเมิ่งพลางขอร้อง เขาไม่ห่วงภาพลักษณ์หรือเกียรติยศของตนใดใดทั้งสิ้น ตอนนี้ขอให้ตนมีชีวิตรอดปลอดภัยเป็นพอ ฝ่ายจิ่นถิงที่พอเห็นดังนั้นทั้งตัวก็พลันไร้เรี่ยวแรง นางทนให้คนรอบข้างที่มองหน้าตนด้วยสายตารังเกียจไม่ไหวนางจึงหันไปหาที่พึ่งสุดท้ายกอดเอวสหายตนไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ท่านพี่เทียนเหิงเพคะหม่อมฉันว่าเรื่องนี้เอาไว้สืบให้แน่ชัดวันรุ่งขึ้นดีกว่าเพคะ เรื่องนี้อาจต้องใช้เวลา อีกอย่างจะสอบถามจิ่นถินนางก็คงไม่ไหวแล้ว”
สิ้นคำจิ่นถิงก็พลันทิ้งตัวอย่างรู้งาน ลำบากให้บ่าวมาพยุงไว้ พอซูเมิ่งได้เห็นดังนั้นก็หยักยิ้มมุมปาก
…สตรีสองนางนี้ช่างเข้าขากันได้ดีเสียจริง
“ได้อย่างไรเจ้าคะอย่างนี้มิใช่คุณหนูของบ่าวจะเสียชื่อเสียงหรอกหรือเจ้าคะ”
ไป๋จื่อเอ่ยเสียงดังทำให้บ่าวทั้งสองที่กำลังพยุงจิ่นถิงออกไปหยุดชะงักพลางหันมามองเผยหนิงรอคำสั่ง
“เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปไม่มีใครคิดว่าคุณหนูของเจ้ากระทำเรื่องอย่างว่าเพื่อทำลายใครหรอก ส่วนเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”
เขาหันมาพูดกับซูเมิ่งโดยตรง น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงความห่วงใย
เมื่อไท่จื่อพูดเยี่ยงนั้นแม้ใครไม่พอใจก็ไม่กล้าเอ่ยขัดแล้ว สำหรับนางก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะจบภายในวันนี้หรอก แม้จะรู้ว่าหากปล่อยไว้ยิ่งนานการความผิดจิ่นถิงก็ยิ่งน้อยลง แต่ซูเมิ่งก็ไม่ได้เอ่ยขัดขึ้น ในเมื่อนางไม่ได้เป็นอะไรส่วนจิ่นถิงก็ได้รับกรรมของตนแล้วตอนนี้นางก็ขอกลับไปพักดีกว่า
“ขอบพระทัยเพคะ งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน” พูดจบก็หมุนตัวหันกลับไป
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง”
ภาพบุรุษแผ่นหลังเหยียดตรงที่ก่อนหน้าเดินมากับตนแต่ตอนนี้กลับเดินไปส่งสตรีอีกนางช่างเป็นภาพบาดใจแก่หานเผยหนิงยิ่งนัก จะให้นางตามไปก็ไม่ได้เพราะมือของจิ่นถิงที่ดึงรั้งตนไว้ จึงทำได้เพียงยืนสงบนิ่ง แววตาลึกล้ำส่งตามสองสตรีบุรุษจนลับสายตา