“รายงานมาผู้กองว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เสียงเรียบ ๆ นิ่ง ๆ จากผู้บังคับบัญชา ไม่สามารถทำให้ผู้กองเพลิงเสียอาการหรือหวั่นวิตกได้ ผู้กองหนุ่มทำเพียงยืนนิ่ง ๆ มองตรงไปข้างหน้าสบสายตากับนายแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้คนตรงหน้าฟัง
“เพราะแบบนี้คุณถึงปล่อยให้คนร้ายหนีไป”
“ครับ ผมรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ผมไม่สามารถพาเพื่อนร่วมอาชีพที่ไว้ใจในการตัดสินใจของผมไปตายได้ หากผมยังดึงดันที่จะเดินไปข้างหน้าต่อแน่นอนว่าตอนนี้คงไม่ได้มีเพียงคนเจ็บ แต่คงจะมีใครในหน่วยผมตายไปแล้วก็ได้”
“...”
“ผมไม่ได้บอกว่าผมหรือเพื่อนร่วมอาชีพกลัวตาย แต่การเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่แน่ใจว่าจะเจอกับดักอีกหรือเปล่านั่นมันเสี่ยงจนเกินไป ผมจึงได้ตัดสินใจถอนกำลังทันทีที่เราตามเข้าไปแล้วเจอกับห่ากระสุนที่ยิงสวนกลับมาครับ”
“...”
“แม้วันนี้ผมจะพลาดไม่สามารถจับกุมคนพวกนั้นเอาไว้ได้ แต่ครั้งหน้าผมย่อมไม่พลาดแน่นอน ผมจะวางแผนการจับกุมและทลายแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติ พวกอาชญากรกลุ่มนี้ให้ได้” ผู้กองเพลิงบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง ทำให้คนที่นั่งเก้าอี้บุนวมชั้นดีพยักหน้าอย่างพอใจ
ความจริงชายวัยกลางคนคนนี้พอใจตั้งแต่ผู้กองหนุ่มตรงหน้าตัดสินใจถอนกำลังแล้ว เพราะถ้าหากเป็นเขาลงพื้นที่เขาก็จะสั่งการเหมือนผู้กองหนุ่มตรงหน้าเช่นกัน
“เอาละผมเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าผมจะไม่สั่งทำโทษคุณ เพราะจากเหตุการณ์และความน่าจะเป็นทั้งหมดสิ่งที่คุณทำและตัดสินใจก็สามารถนับได้ว่าดี และสามารถทำความเข้าใจได้ เพียงแต่ว่า...”
“...”
“แต่ว่าอะไรงั้นเหรอครับผู้การ”
ใช่แล้ว คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมในห้องนี้แท้จริงคือผู้การ ผู้บังคับบัญชาของผู้กองหนุ่มนั่นเอง ท่านมีชื่อว่า ผู้การณรงค์ หรือ พลตำรวจตรีณรงค์ เดชอนันต์ ผู้ว่าการตงฉินที่ผู้กองหนุ่มให้ความเคารพนับถือ
“แต่ว่านับจากนี้คุณต้องระวังตัวเองให้ดี เพราะชีวิตคุณคงไม่ปลอดภัยนัก”
“ท่านพูดเหมือนรู้ว่าใครคือคนบงการ”
“ผมยังไม่สามารถพูดมันออกมาตอนนี้ได้เพราะยังไม่มีหลักฐาน เอาเป็นว่าคุณระวังตัวไว้ก็พอเข้าใจไหมผู้กองเพลิง”
“เข้าใจครับ”
“ดี! เพราะผมยังไม่อยากเสียตำรวจน้ำดีอย่างคุณไป” ผู้การณรงค์ว่าก่อนจะฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า
ในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังจะขอตัวออกจากห้องของผู้บังคับบัญชา สายตาก็ปะทะกับรูปภาพที่ถูกอัดกรอบไว้อย่างดี ทันใดนั้นสายตาของเขาพลันอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
ผู้การณรงค์หรี่ตามองผู้กองเพลิงชายหนุ่มรุ่นลูกของตนก่อนจะมองตามสายตาของผู้กองหนุ่มไป แล้วก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“นั่นลูกสาวผมเอง”
“เอ่อ... ครับ” ผู้กองเพลิงละสายตาจากรูปภาพ แล้วหันมามองหน้าผู้การก่อนจะก้มหัวเป็นอันว่าเขารับรู้แล้ว
“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วคุณกลับไปได้แล้ว ว่าแต่จะอยู่ในเมืองหรือจะกลับต่างอำเภอล่ะ”
“กลับต่างอำเภอดีกว่าครับ ผมไม่ชอบความวุ่นวายผู้การก็รู้ ที่สำคัญการอยู่ที่อำเภอรอบนอกตัวจังหวัดจะทำให้ผมสืบความและทำงานง่ายขึ้น ยังไงรบกวนผู้การปิดข่าวให้หน่อยนะครับ”
ผู้การณรงค์พยักหน้ารับคำ จากนั้นผู้กองหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป โดยมีสายตาและรอยยิ้มพึงพอใจของผู้การณรงค์ตามหลังมา
เอี๊ยดดด!
ในขณะที่ผู้กองหนุ่มขับรถออกจากตัวจังหวัดมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ตรงไปยังอำเภอที่ห่างไกลความเจริญ และเรียบง่ายที่สุดของจังหวัดนี้ ก็ต้องเหยียบเบรกรถกะทันหันเพราะอยู่ดี ๆ ก็มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้วิ่งตัดหน้ารถของเขา!
“นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมถึงได้มาตัดหน้ารถคนอื่นแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย” แม้จะไม่พอใจแต่ด้วยความเป็นตำรวจผู้มีใจห่วงความปลอดภัยของประชาชนยิ่งชีพอย่างผู้กองเพลิง ก็จำเป็นต้องตัดความไม่พอใจนั้นทิ้งไปและเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วงแทน
“ฮือ... คุณจะมารู้อะไร ฉันอยากตาย!” เสียงของหญิงสาวปริศนาที่มีผมปิดบังใบหน้าตอบกลับพร้อมทั้งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“มาคุยกันดี ๆ หยุดร้อง ไม่อย่างนั้นจะแจ้งความนะ”
“ฮือ... โฮ... เอาสิ แจ้งเลย! ฉันมันไม่เหลืออะไรแล้วนี่ ชีวิตไร้ค่า บ้านก็ไม่มีให้กลับ ได้ยินไหมว่าฉันอยากตาย อยากตาย อยากตาย อยากตาย!” หญิงสาวปริศนาไม่สนใจคำขู่ของเขา เธอยังร้องไห้และพร่ำบอกว่าอยากตายไม่หยุด
“นี่! เอาละผมขอโทษ หยุดร้องก่อนแล้วมาคุยกันดี ๆ ผมเป็นตำรวจสัญญาว่าถ้าช่วยได้จะช่วยอย่างเต็มที่” ผู้กองเพลิงบอกด้วยความจำใจ เพราะดูท่าคนตรงหน้าของเขาจะไม่ยอมออกห่างจากหน้ารถเขาไปง่าย ๆ เขาจึงได้ตัดสินใจพูดออกไปแบบนี้
“สัญญานะ”
“อืม” หลังจากที่ผู้กองหนุ่มรับคำ หญิงสาวปริศนาก็หยุดร้อง ก่อนจะเงยหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างสดใส ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ร้องไห้เสียใจเลยสักนิด
เมื่อผู้กองเพลิงได้เห็นหน้าผู้หญิงตรงหน้าชัด ๆ เขาก็ชะงักไป ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยตามปกติ
“เอาละ คุณเป็นใครมาจากไหน ผมจะได้ไปส่งถูก รู้หรือเปล่าทำแบบนี้ที่บ้านอาจตามหาได้นะเด็กน้อย”
“หนูนิดไม่ใช่เด็กนะ!” หญิงสาวส่วนกลับทันทีที่ผู้ชายตรงหน้าเรียกเธอว่าเด็กน้อย เธอจะเป็นเด็กได้ยังไงกัน เธออายุ 22 ปีแล้วนะ เหอะ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นมองชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ
ผู้กองเพลิงหลุดยิ้ม ก่อนจะถามคำถามต่อไป “งั้นเหรอ ไม่ใช่เด็กงั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ อย่ามาพูดว่าหนูนิดเด็กนะ หนูนิดไม่ใช่เด็กหนูนิดโตแล้ว!” หญิงสาวกอดอกเชิดหน้าตอบ กิริยาท่าทางเหมือนเด็กแบบนั้นของเธอทำเอาผู้กองหนุ่มอย่างเพลิงหลุดหัวเราะร่า แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อมีสายตาแทบจะกลืนกินเขามองมา
"เอาละ ๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก เอาเป็นว่าจะตอบได้หรือยังว่าเป็นใครมาจากไหน ผมจะได้ไปส่งได้ถูก” ได้ฟังคำถามจากชายหนุ่ม หญิงสาวที่แทนตัวเองว่าหนูนิดก็หน้าบูดบึ้งก่อนจะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้ตำรวจหนุ่มตรงหน้าฟัง
“ฮึก! หนูนิดค่ะ ชื่อ ณิชญารีย์ ออกจากบ้านเพื่อมาหางานทำ แต่ว่าไปสมัครมาหลายที่แล้วกลับไม่มีที่ไหนรับ จะโทรบอกที่บ้านก็ไม่กล้าเพราะที่บ้านมีฐานะยากจน”
“ยากจน?”
“ใช่ค่ะ บ้านหนูนิดยากจนมาก หนูนิดจึงออกจากบ้านเพื่อจะมาหางานทำ หวังว่าเมื่อได้รับเงินค่าจ้างแล้ว จะส่งเงินส่วนนั้นไปให้พ่อกับแม่ที่ทำไร่ทำนารออยู่ที่บ้าน”
“อืม... ทำไร่ทำนาด้วย” ผู้กองหนุ่มถามยิ้ม ๆ
“ใช่ค่ะ คุณ เอ่อ...”
“ผมชื่อเพลิง”
“พี่เพลิงรับหนูนิดทำงานได้ไหมคะ”
“หืม” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเรียกเขาว่าพี่
“ก็ดูแล้วพี่แก่กว่าหนูนิดนี่ ก็ต้องเรียกพี่สิ หรือจะให้หนูนิดเรียกลุงกัน” จบคำพูดของหนูนิด ผู้กองเพลิงรู้สึกว่าขมับทั้งสองข้างบีบรัดอย่างรุนแรง ใบหน้าเขียวคล้ำเพราะคำว่าแก่จากปากของหญิงสาว
“เอ่อ... ขอโทษค่ะ แต่พี่เพลิงรับหนูนิดทำงานเถอะนะคะ ไม่งั้นหนูนิดไม่มีที่ไปแน่”
“แล้วทำไมไม่กลับบ้าน”
“ไม่ได้! เอ่อ... คือหนูนิดหมายถึงถ้าหนูนิดกลับ ที่บ้านจะเอาเงินไหนใช้ แล้วพ่อกับแม่ก็ต้องทุกข์ใจ หนูนิดไม่ต้องการแบบนั้น”
“...”
“พี่เพลิงรับหนูนิดทำงานเถอะนะคะ หนูนิดสัญญาว่าจะไม่วุ่นวายเด็ดขาด ทั้งยังจะทำงานให้สุดความสามารถเลย” ผู้กองเพลิงมองคนตรงหน้า ที่ตอนนี้กระโดดเกาะแขนเขาไว้แน่น มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนเหมือนแมวอ้อนเจ้าของ ใจที่เคยแกร่งก็รู้สึกอ่อนยวบลงไปทันตา
“นะคะ นะค้า... นะคะพี่เพลิง รับหนูนิดทำงานเถอะนะคะ” หนูนิดพูดกับชายหนุ่มพร้อมทั้งลงทุนออดอ้อนผู้ชายตรงหน้าสุดฤทธิ์
“เอาละ ๆ จะรับไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าอยากกลับเมื่อไหร่ให้บอกทันทีเข้าใจไหม จะได้ไปส่ง”
“จริงนะคะ”
“อืม”
“เย่! ขอบคุณพี่เพลิงมาก ๆ ค่ะ” พูดจบหนูนิดก็เดินหิ้วกระเป๋าขึ้นรถของผู้กองหนุ่มทันที
ผู้กองเพลิงมองตามร่างเล็กของหญิงสาวก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วจึงตามเธอขึ้นรถก่อนจะขับรถออกไป
2 เดือนต่อมางานแต่งงานของร้อยตำรวจเอกเพลิง พงศ์พิริยะ และนางสาวณิชญารีย์ เดชอนันต์ ได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดแขกเหรื่อมากหน้าหลายตามากมายมาแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างเหนื่อยกับการต้อนรับไปหมด แต่ว่าหน้ายังคงฉีกยิ้มเพราะตอนนี้ทั้งคู่กำลังมีความสุขมากเมื่อได้แต่งงานกันสักทีพิธีการถูกดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามกำหนด จนมาถึงพิธีการสำคัญนั่นคือการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและเพื่อนสนิทของทั้งสองจึงได้ขึ้นไปส่งยังห้องที่ทางโรงแรมเตรียมไว้พร้อมกับค่อย ๆ อวยพรให้ทั้งสองทีละคน“แม่ขอให้ลูกทั้งสองรักกันนาน ๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันนะลูกนะ” คุณนิตยาพูดพร้อมกับจับมือบ่าวสาวไว้“พ่อฝากน้องด้วยนะเพลิงจากนี้ดูแลน้องแทนพ่อด้วย รักกันนาน ๆ นะลูก” ผู้การณรงค์พูดบ้าง“พ่อขอให้เพลิงคิดอ่านสิ่งใดด้วยความรอบคอบ ตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว แต่มีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแล ดังนั้นถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาพ่อกับแม่ได้เสมอ ลูกก็เหมือนกันนะหนูนิด พ่อดีใจที่ได้เราเป็นลูกสะใภ้” ผู้พันพีระพูดด้วยรอยยิ้ม“แม่ขอให้ลูกทั้งสองคนมีแต่ความรักและความ
เช้าวันต่อมารถยนต์คันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากบ้านพงศ์พิริยะตรงไปที่บ้านเดชอนันต์ ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงก็เดินทางมาถึง แม้จะไม่ไกลมากแต่ท้องถนนการจราจรติดขัดจึงไม่สามารถขับรถเร็วกว่านี้ได้ เมื่อมาถึงประตูรั้วบ้านพงศ์พิริยะก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว“สวัสดีครับผู้พันพีระ คุณพิมพ์พิมล เชิญด้านในครับ”“ขอบคุณครับผู้การณรงค์” ผู้พันพีระพูดเดินตามพลตำรวจที่ยศน้อยกว่าตนด้วยรอยยิ้ม โดยมีคุณพิมพ์พิมลผู้เป็นภรรยาเดินยิ้มอยู่ข้าง ๆ และที่ยิ้มมากที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้กองเพลิง!“มากันแล้วเหรอคะคุณ ยายพิมพ์!” คุณนิตยาที่ไปเตรียมน้ำมาต้อนรับแขกด้วยตัวเองเมื่อเห็นแขกเดินเข้ามาในบ้านแล้วจึงถามผู้เป็นสามี ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเพื่อนสมัยประถมยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ชายวัยกลางคน และอีกหนึ่งหนุ่มที่เธอรู้จัก“ว่าไงยายนิดตกใจเลยล่ะสิ”“ใช่ แล้วนี่เธอมาทำไม แล้ว?” คุณนิตยาเอ่ยถามด้วยความสับสนงุนงง คุณพิมพ์พิมลเห็นท่าทางแบบนั้นจึงได้แนะนำลูกชายและสามีให้อีกฝ่ายได้รู้จัก คุณนิตยาเธอเป็นเพื่อนกับคุณพิมพ์พิมลจริง และมีความคิดที่จะให้ลูกสาวเธอและลูกชายเพื่อนคนนี้ได้รู้จักกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเจอกันอีกครั้งในวันนี้
“สวัสดีค่ะเมื่อวานนี้เวลาสิบนาฬิกาได้มีการบุกเข้าจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ศาลพิจารณาให้เป็นคดีอาชญากรรม ซึ่งถ้าพูดถึงผู้ร้ายหรือที่ศาลเรียกว่านักโทษอาชญากรรายใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศไทยไม่คิดเลยนะคะว่าจะเป็นเจ้าสัวในคราบนักบุญ หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในนาม เจ้าสัวใจบุญ อย่างเจ้าสัวอิทธินั่นเองค่ะ”“ผลการจับกุมครั้งนี้ปรากฏว่าเมื่อทำการสืบสาวและไต่สวนกลับพบว่าเบื้องหลังกลับมีคนใหญ่คนโตเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวอิทธิที่ตายคาที่ระหว่างจับกุม อีกคนคือนายอำเภอบุญ ที่มีข่าวว่าใจดีชอบช่วยเหลือผู้คนก็เกี่ยวข้องในคดีนี้เช่นกัน ทั้งนี้ลูกสาวของนายอำเภอบุญยังตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกยิงอาการสาหัสนอนอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีตำรวจคอยเฝ้าระวังด้วย และนอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ ในคดีนี้อีกด้วย แต่ว่าศาลขอปิดเป็นความลับเนื่องจากเกี่ยวข้องกับรูปคดี” “อย่างไรก็ตามการจับกุมในครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งใหญ่จึงได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้รวมตัวกันเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามการปฏิบัติภารกิจหน้าที่จับกุมคนร้ายอาชญากรในครั้งนี้นำทีมโดยผู
ร้อยตำรวจเอกเพลิงได้วางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่จะจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติและสิ่งผิดกฎหมายในอีกสองวันข้างหน้าไว้เป็นอย่างดีแล้วทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพทั้งหลักฐานและพยานบุคคลต่าง ๆ รวมถึงด้านกำลังคนและเจ้าหน้าที่ทั้งกองกำลังพิเศษทางตำรวจและทหาร ไหนจะเจ้าหน้าที่สากลที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ด้วยเนื่องจากนี่เป็นการจับกุมครั้งยิ่งใหญ่เพราะผู้ร้ายอาชญากรเหล่านี้ก่อคดีอาชญากรรมมีการทำงานเป็นลูกโซ่หลายต่อ ดังนั้นเมื่อต้องการจับกุมและทำลายองค์กรใหญ่พวกนี้ ข้าราชการและเอกชนหลายหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกันเพื่อจับกุมและทำลายกลุ่มคนเหล่านี้นั่นเองทางด้านเจ้าสัวอิทธิตอนนี้ได้เดินทางมายังบ้านนายอำเภอบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อมาดูสินค้าที่นายอำเภอบุญได้จัดเก็บไว้ รวมถึงวางแผนจะจัดการผู้กองเพลิงอีกด้วยก่อนหน้านี้ที่เขาได้ให้ลูกน้องฝีมือดีมาเก็บผู้กองเพลิง กลับพบว่าพวกมันทำงานพลาดทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย สุดท้ายเจ้าสัวหนุ่มใหญ่จึงต้องรีบเปลี่ยนแผนการทั้งหมดใหม่คืนนั้นเจ้าสัวได้นอนพักที่บ้านของนายอำเภอบุญ กลางดึกของคืนนั้นเองที่มีสิ่งไม่สมควรเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งไม่ดี เพราะสิ่งที่เก
“เด็กดีกลับบ้านไปก่อนนะครับ” ผู้กองหนุ่มเอ่ยบอกคนที่นั่งบนหน้าตักซุกหน้าที่ซอกคอมือกอดเอวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยเช้าวันนี้ผู้กองเพลิงถูกหนูนิดออดอ้อนครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งที่เขารู้สึกอยากใจอ่อนให้เธออยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อ แต่เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของหญิงสาวระหว่างที่เขาไปทำภารกิจจับกุมคนร้าย บางทีระหว่างนั้นอาจมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ ยิ่งช่วงนี้มีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มยิ่งระวังตัวเป็นเท่าตัว“หนูนิดไม่อยากกลับ พี่เพลิงให้หนูนิดอยู่ด้วยนะคะ หนูนิดสัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่ซน” หนูนิดพูดพร้อมทั้งกระชับกอดให้แน่นขึ้น“ไม่ได้ครับ”“เพราะพี่เพลิงได้หนูนิดแล้วใช่ไหมพี่เพลิงถึงได้เป็นแบบนี้ พี่เพลิงผลักไสไล่ส่งหนูนิด พอหนูนิดกลับบ้านพี่เพลิงก็จะไปหาผู้หญิงคนอื่น”“เหลวไหล! ใจพี่มีเพียงหนูนิด พี่จะไปมีคนอื่นได้ยังไง” ผู้กองเพลิงรีบแย้งเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ แล้วเร่งอธิบายต่อว่า“พี่จะไปทำภารกิจ ดังนั้นถ้าหนูนิดอยู่ที่นี่ถึงจะอยู่ในบ้านพี่ก็ไม่สบายใจ พี่กลัวว่าจะโดนคนพวกนั้นตลบหลังและมาเล่นงานหนูนิดแทน ถ้าไม่ใช่อย่างที่พี่คิดมันก็ดีไป แต่ถ้าใช่ล่ะ
“ตื่นแล้วเหรอครับเด็กดี”ผู้กองเพลิงพูดทักทาย เมื่อเขาเห็นว่ารางเล็กของหนูนิดเริ่มขยับไปมา แล้วมือเจ้าตัวก็ยกขึ้นปิดตาก่อนจะกะพริบตาไปมาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง“อย่าขยี้ตาครับ เดี๋ยวตาแดง”ผู้กองเพลิงรีบเอ่ยห้ามและจับมือหนูนิดไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเธอยกมือหมายจะขยี้ตาหนูนิดมองสบตาคมดุที่มองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างหงุดหงิดที่ถูกห้าม แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนใบหน้าสวยก็เห่อแดงขึ้นมาแล้วรีบหยิบผ้าห่มมาคลุมหน้าไว้ ริมฝีปากของเธอขบกันแน่น ในหัวสับสนวุ่นวายไม่สามารถจัดเรียงความคิดได้ อาการของหญิงสาวตรงข้ามกับผู้กองเพลิงลิบลับ ชายหนุ่มยกยิ้มขำและเอ็นดูเด็กดื้อของเขาคนนี้เหลือเกิน ร่างใหญ่นั่งลงบนเตียงนอนส่งผลให้ร่างเล็กตัวแข็งทื่อ ทว่าหญิงสาวเกร็งตัวได้ไม่นานก็ต้องดีดตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา“ถ้าหนูนิดยังไม่ยอมลุกขึ้นมาดี ๆ พี่จะปลุกหนูนิดด้วยการเอาน้องชายไปทักทายน้องสาวดีไหมครับ”“อ้าว ไม่นอนห่มผ้าต่อแล้วเหรอครับ” ผู้กองเพลิงเอ่ยปากถาม ทั้งยังยิ้มล้อเลียนหญิงสาวจนได้รับค้อนวงโตจากเธอ“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ ห้ามยิ้มด้วย”“ไม่ยิ้มได้ไง