“คุณอีธาน”
“ว่ายังไงเจ้าสัวอิทธิ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะระหว่างคนสองคนที่จ้องตากันผ่านหน้าจอโทรศัพท์กล้องวิดีโอคอล
ฝ่ายที่ถูกเรียกชื่อก่อนคืออีธาน อีธานเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือเรียกอีกอย่างคือหัวหน้าการก่ออาชญากรรมเป็นบอสใหญ่ขององค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติรวมถึงสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษเพื่อไปขยายธุรกิจมืดที่นั่น
ชายหนุ่มอีธานกำลังคุยโทรศัพท์กับเจ้าสัวอิทธินายหน้าองค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติทางตอนเหนือรายใหญ่ของประเทศไทย เดิมทีทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันค่อนข้างมากเพราะเจ้าสัวอิทธิจะเป็นฝ่ายจัดหาสินค้ามีชีวิตส่งไปให้อีธานเสมอทั้งสองจึงพูดคุยกันด้วยดีเสมอมา
แต่ตอนนี้เจ้าสัวอิทธิไม่สามารถส่งสินค้าให้กับอีธานมาแล้วหลายครั้ง ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ไปอย่างมหาศาล ดังนั้นบรรยากาศการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ของคนทั้งคู่จึงไม่ดีนัก
ส่วนเจ้าสัวอิทธิ คือผู้มีอิทธิพลค่อนข้างมากในจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทย และเป็นผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลลำดับต้น ๆ ของประเทศ เนื่องจากเจ้าสัวอิทธิชอบบริจาคเงินช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้าหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอยู่เสมอ ผู้คนจึงรู้จักเขาในชื่อ เจ้าสัวนักบุญ
“คุณดูไม่เดือดร้อนเลยนะครับ” เจ้าสัวอิทธิว่า อีกฝ่ายยิ้มแล้วจึงพูดตอบกลับ
“เดือดร้อนสิ นั่นผลประโยชน์ของผมทั้งนั้นนะ ไหนจะลูกน้องผมที่เสียไปอีก ฝีมือดี ๆ ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าที่ผมดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่ควรจะเป็นนั่นก็เป็นเพราะ...”
“...”
“เพราะว่าผมกำลังคิดว่าประเทศไทยมันเหมาะสมแล้วเหรอที่จะทำธุรกิจนี้ต่อไป หรือว่าจริง ๆ แล้วมันเหมาะสม แต่คนที่ดูแลไม่เหมาะสมเอง อืม... หรือว่าผมควรจะเปลี่ยนนายหน้าจัดหารายใหญ่ใหม่ดีนะ”
“นี่คุณหมายความว่า!” เจ้าสัวอิทธิพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ เขารู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังถูกตัดหางปล่อยวัด
“หึหึหึ ตอนนี้ยังหรอก มันยังเป็นเพียงความคิดเท่านั้น แต่เจ้าสัว... คุณต้องคิดให้ดีนะครับว่าผมเสียผลประโยชน์ไปแล้วตั้งเท่าไหร่ กี่ครั้งแล้วที่คุณส่งสินค้าให้ผมไม่ได้ จนผมต้องขอโทษลูกค้าและต้องเสียเงินเพื่อรักษามิตรภาพเหล่านั้นไว้อีก แน่นอนว่ามันไม่ใช่เงินน้อย ๆ”
“...”
“ถ้าคุณไม่อยากเสียหน้าที่และรายได้ตรงส่วนนี้ไป คุณก็ควรที่จะทำอะไรที่มันจริงจังและเด็ดขาดสักทีนะครับ แค่นี้นะครับเจ้าสัวผมมีประชุม” พูดจบอีธานก็วางสายไปทันที
เจ้าสัวอิทธิมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ หัวสมองพาลขบคิดไปถึงกลุ่มคนที่บุกเข้าทลายโกดังเก็บสินค้าของเขา ยิ่งคิดมือทั้งสองยิ่งกำเข้าหากันแน่น
“ไอ้พวกหาที่ตาย!” เจ้าสัวอิทธิสบถออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา!” ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่เจ้าสัวจึงกระชากเสียงบอกคนข้างนอกให้เข้ามา
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่าไง รู้หรือยังว่าใคร” เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใครเจ้าสัวจึงเอ่ยปากถามทันที ส่วนคนที่เข้ามาในห้องคือนายองอาจ ลูกน้องคนสนิทของเจ้าสัวอิทธิ
“รู้แล้วครับเป็นหน่วยปราบปรามพิเศษของกองกำลังตำรวจและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน นำโดยผู้กองเพลิงและผู้กองปราบครับท่าน”
“หึ! เป็นพวกมันอีกแล้ว”
ที่เจ้าสัวอิทธิพูดออกมาแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้สองสามครั้ง คนที่เข้าจับกุมและไปทลายโกดังสินค้าของเขาคือผู้กองทั้งสองคนทั้งนั้น
“แล้วหัวหน้าของพวกมันล่ะเป็นใคร”
“ว่าไง” เมื่อไม่เห็นว่าลูกน้องคนสนิทจะพูดออกมา เจ้าสัวอิทธิจึงได้ถามออกมาอีกครั้ง
“ขออภัยครับท่าน เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครกันแน่คือหัวหน้าของ
ผู้กองทั้งสอง แต่คนที่น่าสงสัยและเข้าข่ายที่สุดคือผู้การณรงค์ครับ” ได้ฟังคำตอบของลูกน้องคนสนิท คิ้วเข้มของเจ้าสัวอิทธิก็ขมวดมุ่น แววตาครุ่นคิดแล้วพูดว่า“ผู้การณรงค์ ใช่นายพลณรงค์ เดชอนันต์หรือเปล่า”
“ใช่ครับท่าน”
“เหอะ อยู่ดีไม่ว่าดี แส่ไม่เข้าเรื่องหาเรื่องตายจริง ๆ” เจ้าสัวอิทธิสบถออกมา
“แต่ก็เอาเถอะในเมื่อยังไม่แน่ใจ งั้นก็จับตาดูผู้การคนนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ผู้การคนนี้มีลูกสาวคนสวยด้วยใช่ไหม” เจ้าสัวอิทธิถามอย่างสนใจ
“ครับ ชื่อณิชญารีย์ เดชอนันต์ หรือ หนูนิดครับท่าน อายุยี่สิบสองปี” นายองอาจบอกกล่าวข้อมูลที่เขาได้ทำการสืบหามาแล้วอย่างดีให้ผู้เป็นนายได้ฟัง
“น่าเสียดาย” ได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย นายองอาจก็ขมวดคิ้วและมองเจ้าสัวอิทธิด้วยความสงสัย
“หึ! ที่บอกว่าน่าเสียดายเพราะฉันไม่มีลูกไม่มีครอบครัว ไม่อย่างนั้นหนูนิดคนนั้นฉันคงให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวของผู้การณรงค์ไปแล้ว มาคิด ๆ ดูตำแหน่งและอำนาจของผู้การคนนี้ก็ไม่เลวเลย น่าเสียดายจริง ๆ”
นายองอาจครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาจนเจ้าสัวอิทธิหัวเราะร่า
“หากเสียดาย ทำไมเจ้าสัวอิทธิไม่เปลี่ยนสถานะตัวเองให้เป็นลูกเขยของผู้การณรงค์ซะเองล่ะครับ”
“วะฮะฮะฮะ องอาจ! นายนี่สมกับเป็นลูกน้องฉันจริง ๆ นั่นสินะทำไมฉันถึงคิดไม่ได้กัน สวยก็สวยอายุก็กำลังพอดี หากว่าได้เธอมาอยู่ใต้ร่างคงทำให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าดีไม่เบา”
เจ้าสัวอิทธิพูดพร้อมกับมองหน้านายองอาจด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งลูกน้องที่ดีที่สุดก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกัน
“เอาละ เรื่องนี้ยังสามารถรอได้ เรามาจัดการสองผู้กองนี่ก่อนดีกว่า”
“ครับ เจ้าสัวเชิญสั่ง”
จากนั้นการวางแผนการกำจัดสองผู้กองจึงได้เริ่มขึ้น เจ้าสัวอิทธิไม่คิดให้โอกาสให้ทั้งสองได้มีชีวิตรอด จึงมีคำสั่งลงไปให้กำจัดทิ้งทันที มือปืนที่ดีที่สุดในสังกัดของเจ้าสัวอิทธิจึงได้รับหน้าที่นี้ไปด้วยใบหน้า
แย้มยิ้ม“องอาจ นายว่าฉันควรไปทำความรู้จักกับคุณนิตยาว่าที่แม่ยายหน่อยดีไหม”
“ดีครับท่าน จากที่ผมสืบมาได้ตอนนี้คุณนิตยากำลังมองหาว่าที่ลูกเขยให้คุณหนูนิดอยู่ครับ”
“อืม... ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะ ด้วยความที่ฉันดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้อายุจริงจะสี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพกลับเหมือนคนอายุสามสิบ ไหนจะเป็นเจ้าสัวผู้ใจบุญอีก ฉันคิดว่าคงเข้าทางคุณนิตยาได้ไม่ยาก”
“ครับท่าน วันพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นคุณนิตยาจะไปงานเลี้ยงการกุศลหนึ่งของโรงแรมในตัวจังหวัดครับ ผมว่าท่านควรไปปรากฏตัวในงานนั้น”
“ขอบคุณมากองอาจ หึ! งั้นก็ให้คนจัดเตรียมชุดให้ฉันหน่อยแล้วกัน แล้วก็อย่าลืมเตรียมของกำนัลไว้ด้วยล่ะ”
“ครับท่าน”
“อีกอย่าง... ติดต่อนายอำเภอห่างไกลนั่นด้วย ให้เริ่มแผนการที่ได้วางไว้ได้แล้ว”
“ครับ ผมจะรีบดำเนินการ”
“อืม... นายไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบคุณครับ”
คล้อยหลังลูกน้องคนสนิทอย่างองอาจ เจ้าสัวอิทธิก็นั่งมองรูปของหนูนิดด้วยรอยยิ้มพึงใจ ในความคิดเริ่มวาดฝันถึงการได้บดขยี้ร่างแน่งน้อยนี้ยากจะพรรณนา
2 เดือนต่อมางานแต่งงานของร้อยตำรวจเอกเพลิง พงศ์พิริยะ และนางสาวณิชญารีย์ เดชอนันต์ ได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดแขกเหรื่อมากหน้าหลายตามากมายมาแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างเหนื่อยกับการต้อนรับไปหมด แต่ว่าหน้ายังคงฉีกยิ้มเพราะตอนนี้ทั้งคู่กำลังมีความสุขมากเมื่อได้แต่งงานกันสักทีพิธีการถูกดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามกำหนด จนมาถึงพิธีการสำคัญนั่นคือการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและเพื่อนสนิทของทั้งสองจึงได้ขึ้นไปส่งยังห้องที่ทางโรงแรมเตรียมไว้พร้อมกับค่อย ๆ อวยพรให้ทั้งสองทีละคน“แม่ขอให้ลูกทั้งสองรักกันนาน ๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันนะลูกนะ” คุณนิตยาพูดพร้อมกับจับมือบ่าวสาวไว้“พ่อฝากน้องด้วยนะเพลิงจากนี้ดูแลน้องแทนพ่อด้วย รักกันนาน ๆ นะลูก” ผู้การณรงค์พูดบ้าง“พ่อขอให้เพลิงคิดอ่านสิ่งใดด้วยความรอบคอบ ตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว แต่มีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแล ดังนั้นถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาพ่อกับแม่ได้เสมอ ลูกก็เหมือนกันนะหนูนิด พ่อดีใจที่ได้เราเป็นลูกสะใภ้” ผู้พันพีระพูดด้วยรอยยิ้ม“แม่ขอให้ลูกทั้งสองคนมีแต่ความรักและความ
เช้าวันต่อมารถยนต์คันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากบ้านพงศ์พิริยะตรงไปที่บ้านเดชอนันต์ ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงก็เดินทางมาถึง แม้จะไม่ไกลมากแต่ท้องถนนการจราจรติดขัดจึงไม่สามารถขับรถเร็วกว่านี้ได้ เมื่อมาถึงประตูรั้วบ้านพงศ์พิริยะก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว“สวัสดีครับผู้พันพีระ คุณพิมพ์พิมล เชิญด้านในครับ”“ขอบคุณครับผู้การณรงค์” ผู้พันพีระพูดเดินตามพลตำรวจที่ยศน้อยกว่าตนด้วยรอยยิ้ม โดยมีคุณพิมพ์พิมลผู้เป็นภรรยาเดินยิ้มอยู่ข้าง ๆ และที่ยิ้มมากที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้กองเพลิง!“มากันแล้วเหรอคะคุณ ยายพิมพ์!” คุณนิตยาที่ไปเตรียมน้ำมาต้อนรับแขกด้วยตัวเองเมื่อเห็นแขกเดินเข้ามาในบ้านแล้วจึงถามผู้เป็นสามี ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเพื่อนสมัยประถมยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ชายวัยกลางคน และอีกหนึ่งหนุ่มที่เธอรู้จัก“ว่าไงยายนิดตกใจเลยล่ะสิ”“ใช่ แล้วนี่เธอมาทำไม แล้ว?” คุณนิตยาเอ่ยถามด้วยความสับสนงุนงง คุณพิมพ์พิมลเห็นท่าทางแบบนั้นจึงได้แนะนำลูกชายและสามีให้อีกฝ่ายได้รู้จัก คุณนิตยาเธอเป็นเพื่อนกับคุณพิมพ์พิมลจริง และมีความคิดที่จะให้ลูกสาวเธอและลูกชายเพื่อนคนนี้ได้รู้จักกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเจอกันอีกครั้งในวันนี้
“สวัสดีค่ะเมื่อวานนี้เวลาสิบนาฬิกาได้มีการบุกเข้าจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ศาลพิจารณาให้เป็นคดีอาชญากรรม ซึ่งถ้าพูดถึงผู้ร้ายหรือที่ศาลเรียกว่านักโทษอาชญากรรายใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศไทยไม่คิดเลยนะคะว่าจะเป็นเจ้าสัวในคราบนักบุญ หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในนาม เจ้าสัวใจบุญ อย่างเจ้าสัวอิทธินั่นเองค่ะ”“ผลการจับกุมครั้งนี้ปรากฏว่าเมื่อทำการสืบสาวและไต่สวนกลับพบว่าเบื้องหลังกลับมีคนใหญ่คนโตเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวอิทธิที่ตายคาที่ระหว่างจับกุม อีกคนคือนายอำเภอบุญ ที่มีข่าวว่าใจดีชอบช่วยเหลือผู้คนก็เกี่ยวข้องในคดีนี้เช่นกัน ทั้งนี้ลูกสาวของนายอำเภอบุญยังตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกยิงอาการสาหัสนอนอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีตำรวจคอยเฝ้าระวังด้วย และนอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ ในคดีนี้อีกด้วย แต่ว่าศาลขอปิดเป็นความลับเนื่องจากเกี่ยวข้องกับรูปคดี” “อย่างไรก็ตามการจับกุมในครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งใหญ่จึงได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้รวมตัวกันเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามการปฏิบัติภารกิจหน้าที่จับกุมคนร้ายอาชญากรในครั้งนี้นำทีมโดยผู
ร้อยตำรวจเอกเพลิงได้วางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่จะจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติและสิ่งผิดกฎหมายในอีกสองวันข้างหน้าไว้เป็นอย่างดีแล้วทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพทั้งหลักฐานและพยานบุคคลต่าง ๆ รวมถึงด้านกำลังคนและเจ้าหน้าที่ทั้งกองกำลังพิเศษทางตำรวจและทหาร ไหนจะเจ้าหน้าที่สากลที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ด้วยเนื่องจากนี่เป็นการจับกุมครั้งยิ่งใหญ่เพราะผู้ร้ายอาชญากรเหล่านี้ก่อคดีอาชญากรรมมีการทำงานเป็นลูกโซ่หลายต่อ ดังนั้นเมื่อต้องการจับกุมและทำลายองค์กรใหญ่พวกนี้ ข้าราชการและเอกชนหลายหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกันเพื่อจับกุมและทำลายกลุ่มคนเหล่านี้นั่นเองทางด้านเจ้าสัวอิทธิตอนนี้ได้เดินทางมายังบ้านนายอำเภอบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อมาดูสินค้าที่นายอำเภอบุญได้จัดเก็บไว้ รวมถึงวางแผนจะจัดการผู้กองเพลิงอีกด้วยก่อนหน้านี้ที่เขาได้ให้ลูกน้องฝีมือดีมาเก็บผู้กองเพลิง กลับพบว่าพวกมันทำงานพลาดทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย สุดท้ายเจ้าสัวหนุ่มใหญ่จึงต้องรีบเปลี่ยนแผนการทั้งหมดใหม่คืนนั้นเจ้าสัวได้นอนพักที่บ้านของนายอำเภอบุญ กลางดึกของคืนนั้นเองที่มีสิ่งไม่สมควรเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งไม่ดี เพราะสิ่งที่เก
“เด็กดีกลับบ้านไปก่อนนะครับ” ผู้กองหนุ่มเอ่ยบอกคนที่นั่งบนหน้าตักซุกหน้าที่ซอกคอมือกอดเอวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยเช้าวันนี้ผู้กองเพลิงถูกหนูนิดออดอ้อนครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งที่เขารู้สึกอยากใจอ่อนให้เธออยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อ แต่เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของหญิงสาวระหว่างที่เขาไปทำภารกิจจับกุมคนร้าย บางทีระหว่างนั้นอาจมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ ยิ่งช่วงนี้มีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มยิ่งระวังตัวเป็นเท่าตัว“หนูนิดไม่อยากกลับ พี่เพลิงให้หนูนิดอยู่ด้วยนะคะ หนูนิดสัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่ซน” หนูนิดพูดพร้อมทั้งกระชับกอดให้แน่นขึ้น“ไม่ได้ครับ”“เพราะพี่เพลิงได้หนูนิดแล้วใช่ไหมพี่เพลิงถึงได้เป็นแบบนี้ พี่เพลิงผลักไสไล่ส่งหนูนิด พอหนูนิดกลับบ้านพี่เพลิงก็จะไปหาผู้หญิงคนอื่น”“เหลวไหล! ใจพี่มีเพียงหนูนิด พี่จะไปมีคนอื่นได้ยังไง” ผู้กองเพลิงรีบแย้งเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ แล้วเร่งอธิบายต่อว่า“พี่จะไปทำภารกิจ ดังนั้นถ้าหนูนิดอยู่ที่นี่ถึงจะอยู่ในบ้านพี่ก็ไม่สบายใจ พี่กลัวว่าจะโดนคนพวกนั้นตลบหลังและมาเล่นงานหนูนิดแทน ถ้าไม่ใช่อย่างที่พี่คิดมันก็ดีไป แต่ถ้าใช่ล่ะ
“ตื่นแล้วเหรอครับเด็กดี”ผู้กองเพลิงพูดทักทาย เมื่อเขาเห็นว่ารางเล็กของหนูนิดเริ่มขยับไปมา แล้วมือเจ้าตัวก็ยกขึ้นปิดตาก่อนจะกะพริบตาไปมาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง“อย่าขยี้ตาครับ เดี๋ยวตาแดง”ผู้กองเพลิงรีบเอ่ยห้ามและจับมือหนูนิดไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเธอยกมือหมายจะขยี้ตาหนูนิดมองสบตาคมดุที่มองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างหงุดหงิดที่ถูกห้าม แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนใบหน้าสวยก็เห่อแดงขึ้นมาแล้วรีบหยิบผ้าห่มมาคลุมหน้าไว้ ริมฝีปากของเธอขบกันแน่น ในหัวสับสนวุ่นวายไม่สามารถจัดเรียงความคิดได้ อาการของหญิงสาวตรงข้ามกับผู้กองเพลิงลิบลับ ชายหนุ่มยกยิ้มขำและเอ็นดูเด็กดื้อของเขาคนนี้เหลือเกิน ร่างใหญ่นั่งลงบนเตียงนอนส่งผลให้ร่างเล็กตัวแข็งทื่อ ทว่าหญิงสาวเกร็งตัวได้ไม่นานก็ต้องดีดตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา“ถ้าหนูนิดยังไม่ยอมลุกขึ้นมาดี ๆ พี่จะปลุกหนูนิดด้วยการเอาน้องชายไปทักทายน้องสาวดีไหมครับ”“อ้าว ไม่นอนห่มผ้าต่อแล้วเหรอครับ” ผู้กองเพลิงเอ่ยปากถาม ทั้งยังยิ้มล้อเลียนหญิงสาวจนได้รับค้อนวงโตจากเธอ“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ ห้ามยิ้มด้วย”“ไม่ยิ้มได้ไง