ชายผิวสีบอกตัวเองซ้ำๆ แล้วพยายามรวบรวมกำลังตวัดดาบใส่ดาบไม้ เจตนาตัดดาบในมือคนเป็นนายเพื่อยุติการประลองที่บ้าคลั่งนี้
นึกไม่ถึงว่า ‘นายท่าน’ จะใช้วิธีโอนอ่อนผ่อนตาม
ทันทีที่ราจีฟฟาดดาบลงมา เขาก็บิดข้อมือวาดดาบไม้ตามแรงเหวี่ยง ไม่แข็งขืนฝืนปะทะ ทำเอาราจีฟเสียหลักซวนเซ
แล้วในจังหวะที่คู่มือไม่ทันตั้งตัว ไซรัสก็เรียกรอยยิ้มที่มุมปากอารีด้วยการตวัดดาบไม้ไปที่คอราจีฟ มอบรอยขูดที่ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะเลือดซิบ
“ฮ...เฮ้ย!” ราจีฟกลืนน้ำลายลงคอ รู้ดีว่าถ้านี่เป็นดาบจริง ตัวเองคงตายไปแล้ว
โชคดีชะมัด ที่ไซรัสไม่บ้าจี้ใช้ดาบจริงอย่างที่กล้าขอ!
“ไม่ต้องรีบร้อน ราจีฟ ข้ามีเวลาให้พวกเจ้าทั้งวัน”
ได้ยินเท่านั้น คู่มือรายแรกก็รู้ตัวทันที ว่าไอ้การตวัดดาบเมื่อครู่นี้น่ะ เป็นรางวัลที่ ‘ลูกศิษย์’ กล้าคิดปิดฉากการต่อสู้ ทั้งๆ ที่การประเมินครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น
โว้ย...! โหดชะมัด!!!
“ซ...ไซรัส! ” ราจีฟเอ่ยละล่ำละลัก “นี่ท่านเป็นใคร มาจากไหนกันแน่วะ!”
“มีสมาธิ” เจ้าของกิจการหนุ่มเตือนคู่มือเสียงขรึมพลางรุกไล่ไม่ยั้ง ราจีฟจึงต้องหยุดความคิดทั้งมวลเพื่อทุ่มเทสมาธิทั้งหมดป้องปัดฝีดาบจากคนเป็นนาย
จนถึงตอนนี้ ไม่เพียงภาพการต่อสู้ตรงหน้าจะทำให้บรรดาผู้ติดตามทั้งหลายตื่นตาตื่นใจ สิ่งที่เห็นยังทำให้แต่ละคนนึกถึงเรื่องราวตอนพบชายคนนี้ครั้งแรกขึ้นมา
แต่ละคนมองภาพราจีฟผู้กำลังเอาจริงเอี้ยวตัวหลบคมดาบไม้อย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ก็ต่างอดคิดไม่ได้...
น่าขนลุก น่าขนลุกนัก!
ท่ามกลางเสียงดาบไม้ฟาดร่างพี่น้องต่างสายเลือดตนดังปึกปัก เหล่าผู้ติดตามได้แต่เหลียวสบตากันไปมา
ต่อให้ไม่มีใครพูด แต่ละคนก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยากพูดว่าอะไร...
‘โชคดี...โชคดีเป็นบ้า โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีไอ้บ้าหน้าไหนเลือกเป็นศัตรูกับไซรัส!’
...นายท่านของพวกเขานี่ช่างยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ
ไซรัสใช้เวลาตลอดช่วงเช้าตรู่ ไปกับการประเมินพื้นฐานการต่อสู้ของผู้ติดตามสี่คนและเด็กในความดูแลอย่างโทมัสอีกหนึ่งราย ทันทีที่รู้ว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนตรงไหน เขาก็แนะนำให้ทุกคนฝึกพิเศษเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ กัน จากนั้นก็แยกตัวออกไปหาลูคัสที่โถงด้านล่าง ปล่อยให้ทุกคนลงกลอนประตูห้องแล้วเดินหน้าฝึกการต่อสู้ต่อไป
“วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” เขาถามผู้ติดตามรายที่กึ่งๆ จะกลายเป็นผู้ดูแลร้านค้าทันทีที่เห็นหน้า และลูคัสก็ส่งเอกสารบัญชีรายวันให้เขาตรวจสอบอย่างรู้งาน
ทั้งๆ ที่บัญชีดูสมเหตุสมผล ทุกอย่างดูราบรื่นดี แต่วันนี้สีหน้าลูคัสกลับเคร่งเครียดผิดปกติ
“กิจการมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เจ้าของกิจการถามทันที
“พวกพ่อค้ารายอื่นคงตั้งใจรุมเรา” ลูคัสบอกอย่างเสียไม่ได้ “จากที่ลองคุยกับลูกค้าหลายราย รู้สึกว่าพวกพ่อค้ารายอื่นๆ จะพากันลดราคาสินค้า หันไปตั้งราคาไล่เลี่ยกัน ตัดราคาร้านเรา”
“ปล่อยไป” ไซรัสบอกอย่างไม่ยี่หระ “แข่งขันด้วยวิธีนั้นไม่ใช่วิธีที่ฉลาด ทุนหายกำไรหดกันพอดี ถ้าสินค้ากับบริการร้านเราดีกว่า ลูกค้าก็จะมาซื้อสินค้าที่เราอยู่วันยังค่ำ” เจ้าของกิจการหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยต่อไป “ก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสนี้โฆษณาไปเสียเลย ว่าร้านเราเป็นร้านมีระดับ คุณภาพสินค้าและบริการเป็นอันดับหนึ่ง สินค้าร้านเราก็เลยแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย”
“จะดีรึ? แบบนี้ลูกค้าเราจะน้อยลงหรือเปล่า?”
“จะดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ได้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ”
ใบหน้าลูคัสค่อยคลายความกังวลเมื่อได้ยิน
“ข้าจะให้คนไปกระจายข่าวตามนั้น”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องให้ใครที่ไหนไปปล่อยข่าว แค่บริการลูกค้าให้ดีและคอยย้ำเตือนให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันเรื่องนี้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น” แผนการที่เรียบง่ายนี้ ทำให้พ่อค้าหนุ่มนึกถึงผู้หญิงที่ทำให้เขาทั้งเปียกปอนและร้อนรุ่มในคืนเดียวกันขึ้นมา...
ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้ากรมการเมือง...ขุนนางใหญ่ที่นอกจากจะทรงอิทธิพลในแง่ของการเป็นขุนนางที่ชาวเมืองทั้งรักทั้งบูชาแล้ว ยังเป็นคนที่ทั้งชนชั้นสูงและชนชั้นล่างต่างยกย่องเรื่องความซื่อสัตย์
“จำได้ว่าคฤหาสน์แกรนเทรนท์เพิ่งซื้อแพรพรรณมากมายแถมยังเรียกใช้บริการตัดเสื้อจากช่างประจำร้านเราใช่ไหม?” ไซรัสถามพลางไล่สายตาไปตามรายชื่อลูกค้าในรายการ “มีนัดกับช่างตัดเสื้อร้านเราวันนี้ด้วยรึ?”
“ครับ นัดช่วงบ่าย” ลูคัสปรับสำนวนการพูดการจาเสียใหม่ เพราะเห็น โรเบิร์ต เมอร์สัน นายทหารจากจวนเจ้ากรมการคลัง เปิดประตูร้านเดินเข้ามา
แม้ไม่ทันเห็นอย่างที่ลูคัสเห็น แต่เขาก็พอจะเดาได้ ว่าคงมีแขกคนสำคัญคนหนึ่งคนใดมาขัดจังหวะการสนทนา
ไซรัสเหลียวมองเงาสะท้อนบนแจกันเงินผิวมันเงาใบใหญ่ที่ตั้งประดับไว้ใจกลางร้าน เมื่อรู้ว่าแขกรายนั้นเป็นใคร ก็รีบตัดบทสั่งลูคัสเสียงดังฟังชัด เหมือนจงใจให้นายพลร่างท้วมได้ยิน
“ถ้าช่างตัดเสื้อที่จะไปคฤหาสน์แกรนเทรนท์มาถึงเมื่อไหร่ บอกให้เขาไปรอที่ห้องทำงาน” บอกเพียงเท่านั้น เจ้าของกิจการก็เดินไปต้อนรับนายทหารคนสนิทของเจ้ากรมการคลังด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้มดังเช่นทุกครั้ง
“เชิญครับ ผมกำลังนึกถึงคุณอยู่พอดี...”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”