แสงสีทองสว่างสวยลอดผ่านกรอบหน้าต่างบานโค้ง ส่องกระทบเปลือกตาบอบบาง ปลุกให้เจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวปักลูกไม้ ลืมตาตื่นขึ้นรับวันใหม่
ในช่วงที่ทุกอย่างยังคงพร่ามัว อัยน์นารู้สึกคล้ายจะมองเห็นภาพม่านสีข่าวโปร่งบาง ไอน้ำ และหญิงสาวชาวซาเมียร์นับสิบในชุดเกาะอกกับกางเกงผ้าเนื้อโปร่งสีเดียวกับผ้าม่าน กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างออกรส
ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น จู่ๆ หญิงซาเมียร์นางหนึ่งก็คว้าพิณรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ขนาดราวครึ่งเมตร ออกมาดีดบรรเลงบทเพลงที่ฟังดูครื้นเครงแต่ให้ความรู้สึกเย็นใจสบายหูอย่างน่าประหลาด
ไม่กี่อึดใจ หญิงสาวโฉมสะคราญอีกนางก็ออกมาร้องเพลง ชวนเพื่อนชาวซาเมียร์คนอื่นๆ ให้ออกมาร้องเล่น เต้นระบำไปพร้อมๆ กัน
ห้องนอนเปลี่ยนเป็นโถงกว้างที่มีสระน้ำกรุหินทรายขนาดใหญ่สร้างไว้กึ่งกลางในวินาทีนั้น ในอากาศเองก็ฟุ้งไปด้วยกลีบดอกไม้ เมื่อรวมกับไอน้ำและผ้าม่านบางเบาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาเธอยามนี้ ดูงดงามราวกับสรวงสวรรค์
ทุกอย่างดูสวยงาม ทุกคนดูสนุกสนาน ทุกการเคลื่อนไหว ทุกรายละเอียดที่เห็น ช่างดูคล้ายภาพคืนวันแห่งความสุขในทะเลทรายที่เธอเฝ้าฝันหา
อัยน์นาอยากจะมองภาพนี้ให้นาน... แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีที่เธอรู้สึกแบบนั้น แสงอาทิตย์ร้อนแรงกลับพวยพุ่งเข้าขับไล่ภาพชวนฝัน
...เพียงเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธออยากยื่นมือไปสัมผัสก็พลันจางหายไปพร้อมหมอกควันอย่างน่าเสียดาย...
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอคะ แย่จริง ดิฉันทำคุณหนูตื่นใช่ไหมคะ” สาวใช้เจ้าของชื่อมาธารีบผละจากผ้าม่านหน้าต่างบานโค้งยาวเกือบจรดเพดานใกล้เตียงนอน แล้วปราดเข้าช่วยประคองเธอลุกขึ้นดื่มน้ำ เหมือนประคองเครื่องแก้วราคาแพง
การกระทำของมาธา ทำให้อัยน์นาตระหนักว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในคฤหาสน์แกรนเทรนท์ ไม่ใช่ดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่ซ่อนตัวอย่างเร้นลับท่ามกลางทะเลทราย...แผ่นดินแม่ของมารดาผู้ล่วงลับ ผู้ตั้งชื่อแปลกหูให้เธอ
“ปวดหัวมากไหมคะ” มาธาถาม น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่ค่ะ...พอไหว” อัยน์นาตอบ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเสียง
ทีแรกหญิงสาวก็แปลกใจทั้งเพราะคำถามนั้นและเพราะอาการของตัวเอง แต่พอสมองหายมึนงง คนร่างเล็กก็นึกขึ้นได้ ว่าเมื่อวานนี้โดนพริสซิลล่ากับแอนนาเบลแกล้งผลักตกสระเลี้ยงเป็ดที่ทั้งสกปรกทั้งเย็นจัดฉลองเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วสั่งให้ควานหาลูกบอลทองสลักลายที่ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองเพิ่งได้มาจากญาติข้างมารดาอยู่ค่อนวัน คนรู้สึกเหมือนจะไม่สบายก็เข้าใจสภาพตัวเองทันที
ดูท่า นอกจากพริสซิลล่าจะเคยช่วยให้เธอได้ขึ้นมาอยู่ร่วมกับครอบครัวแกรนเทรนท์บนตึกหลัก ท่านหญิงคนโตของตระกูลยังร่วมมือกับน้องสาวและมารดามากลั่นแกล้งให้เธอต้องลงไปแช่ตัวอยู่ในน้ำอีกหน จนคราวนี้เธอล้มป่วย ทั้งๆ ที่ถ้าไม่นับเรื่องแกล้งเจ็บออดๆ แอดๆ กับอาการครั่นเนื้อครั่นตัวในช่วงวันสองวันแรกหลังโดนวางยาในงานเลี้ยงจนต้องลงไปแช่น้ำเย็นจัด ก็อาจจะพูดได้ ว่าเธอไม่ได้ล้มป่วยจนถึงขั้นเสียงแหบเสียงแห้งแบบนี้มานานแล้ว
“ขนาดว่าออกกำลังบ่อยๆ ยังเป็นขนาดนี้...” เธอพึมพำ
“คุณหนูว่าอะไรนะคะ?”
“เปล่าค่ะ” อัยน์นาคลี่ยิ้มบางๆ ให้คนถาม แล้วเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ
พอมองดูดีๆ แล้ว คุณหนูคนใหม่ก็พบว่าหญิงรับใช้อีกสองรายกำลังรวบผ้าม่านกับเตรียมอ่างอาบน้ำให้เธอ “เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอถาม น้ำเสียงงุนงง “ทำไมทุกคนถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“พอรู้เรื่องเมื่อวานเข้า คุณท่านคิดว่าคุณหนูอาจมีไข้ค่ะ คุณท่านก็เลยสั่งให้พวกเราขึ้นมาดูแลตั้งแต่เช้าตรู่”
“ตั้งแต่เช้าตรู่...?” อัยน์นาเหลียวมองอ่างทองเหลืองที่มีผ้าเปียกๆ วางอยู่ในนั้นอย่างพิจารณา
เช็ดตัว...? ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ก็สายแล้วสิคะ” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ
“เลยเวลาอาหารเช้ามานานแล้วล่ะค่ะ”
“ตายจริง” หญิงสาวทำท่าจะฝืนลุกจากเตียง แต่ก็เวียนหัวจนต้องกลับทรุดตัวลงนั่ง
“ใจเย็นๆ ค่ะ อย่ารีบร้อน”
“แย่แน่ๆ” อัยน์นาเหลียวมองภาพด้านนอกหน้าต่างแล้วเลื่อนมือขึ้นปิดปากโดยอัตโนมัติ เธอเหลียวสบตามาธา สีหน้าหวาดวิตก “สายมากแล้วนี่คะ ท่านผู้หญิงท่านว่าอะไรไหมคะ”
ถึงท่าทางตกใจจะเกินจริงไปหน่อย และถึงเธอจะเกลียดชังความใจดำและเบื่อหน่ายท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์กับพี่สาวต่างมารดามากแค่ไหน แต่เธอไม่เคยเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ
อัยน์นาไม่เคยนึกอยากอยู่ฟรีกินฟรี ในเมื่อท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์มอบหมายงานให้เธอทำ ที่ผ่านมาเธอก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่
“อย่ากังวลเลยค่ะ ตั้งแต่เตรียมน้ำอุ่น เตรียมชุด ยันเสิร์ฟอาหารเช้าให้คุณผู้หญิงที่เตียง งานทุกอย่างที่ท่านผู้หญิงเคยมอบหมายให้คุณหนูน่ะ...พวกเราช่วยจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ?”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”