“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” ความคาใจ ขับให้อัยน์นาออกปากถามอย่างตรงไปตรงมา
“เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าเรื่องนี้จริงเท็จสักแค่ไหน บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความหวาดระแวงของพวกมนุษย์ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่โบราณมา ดินแดนหลังแนวภูเขาถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าป่าดึกดำบรรพ์ที่คั่นระหว่างดินแดนเร้นลับที่ว่านี้กับอาณาจักรอัสกันด์เสียอีก คนโบราณเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา การที่ความเชื่อเก่าแก่ถูกแทนที่ด้วยเรื่องพรรค์นี้รวดเร็วชนิดไฟลามทุ่งแบบนี้...มันออกจะผิดปกติ”
“คุณพ่อหมายถึงการสร้างกระแสความหวาดกลัวเพื่อให้ทุกคนคล้อยตามโดยไม่ปริปากถาม กับการสร้างความชอบธรรมที่จะทำสงครามกับพวกอสุรกายพวกปีศาจน่ะเหรอคะ...แต่ถ้าเรื่องมันไม่ร้ายแรงอะไร พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรเราจะอยากเอาอาณาจักรตัวเองไปเสี่ยงทำไม?”
ท่านเจ้ากรมการเมืองจ้องลึกลงในตาลูกสาวคนสุดท้อง คล้ายจะอ่านความคิดบางอย่าง
ชายสูงวัยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถาม
“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ นอกเสียจากว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง” อัยน์นาตอบตรงไปตรงมาจนตัวเองแปลกใจ “ถ้ามีใครในหมู่ชนชั้นสูงลอบจับมือกับอาเรนทร์ พยายามสร้างข่าวตีกระแสให้อาณาจักรเราทำสงครามกวาดล้างปีศาจกับอสุรกายที่มีเลือดเนื้อเพื่อทำให้อาณาจักรเราอ่อนแอลง เรื่องนี้ก็คงเป็นไปได้ ใช่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นนี่คะ” เธอลุกเดินไปหยิบตำรา ‘ว่าด้วยพิชัยสงคราม’ ที่เขียนโดย นายพลวิลเลียม วิลส์ตัน บิดาของเจ้ากรมการคลังคนปัจจุบันมาส่งให้คนเป็นพ่อ พลางเอ่ย “ในนี้ก็บอกไว้นี่คะ ‘ไม่ว่าจะทำการใด ความชอบธรรมเป็นสิ่งพื้นฐาน’ กับ ‘จะรบทัพจับศึก ต้องตัดกำลังข้าศึก’ ”
“ตำราเล่มแรกที่ตระกูลวิลส์ตันทุกคนต้องท่อง...” ท่านเจ้ากรมการเมืองพึมพำ แววตาครุ่นคิด “ว่ากันตามตรง พ่อคิดว่าสงครามครั้งนี้ไม่ดีเลย เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัดๆ”
“พวกที่สนับสนุนสงครามอาจจะแค่อยากกำจัดภัยคุกคามก็ได้ค่ะ”
หรือไม่ ก็อาจจะมีเหตุผลมากกว่านั้นอย่างที่ว่า...
ไม่ทันที่อัยน์นาหรือท่านเจ้ากรมการเมืองจะได้พูดคุยกันมากกว่านี้ คนรับใช้ชายก็เข้ามาแจ้งให้รู้ว่าญาติท่านผู้หญิงเพิ่งเดินทางมาถึง อัยน์นาจึงขอปลีกตัวหลบฉากออกมาอย่างรู้หน้าที่
จะทำสงครามกับเผ่าพันธุ์โบราณที่คาดเดาไม่ออกว่าเก่งกาจน่าหวาดกลัวแค่ไหนรึ?
ชนชั้นอภิสิทธิ์อาณาจักรนี้ เบื่อหนายความสงบสุขกันแล้วหรือไง?
อัยน์นาคิดพลางสาวเท้าเดินลงบันไดหินตัด ตั้งใจว่าจะหลบไปออกกำลังกายในสวนรกครึ้มด้านหลังคฤหาสน์เพื่อรีดเหงื่อ ขับไล่อาการป่วย
นับตั้งแต่แปดขวบ เธอก็ตระหนักว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ช่วยเหลือตัวเองได้ จึงมักแอบออกกำลังกายเลียนแบบทหารในสังกัดบิดา เพราะไม่อยากร่างกายอ่อนแอเหมือนพวกเหยื่อ
ก่อนหน้านี้เธอมักจะออกกำลังกายในห้องส่วนตัวที่เรือนคนรับใช้ แต่พอตอนนี้ได้ย้ายขึ้นเรือนใหญ่ มีสาวใช้คอยดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา การออกกำลังกายในห้องจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้อีกต่อไป
“ถ้าที่นั่นเงียบสงบไม่มีคนเดินผ่านเหมือนอย่างที่คิดก็คงดี...” คนอยากออกกำลังกายพึมพำ
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็โดนแอนนาเบลเดินกึ่งวิ่งตามมาคว้าแขนไว้เสียก่อน
“จะไปไหน นังตัวดี!”
“ท่านหญิงแอนนาเบล” อัยน์นามองข้อมือที่โดนแอนนาเบลจิกเล็บใส่ ด้วยความไม่พอใจ
“มานี่!” พี่สาวคนรองฉุดแขน ดึงให้เธอเดินตามโดยไม่อธิบายอะไร
ทันทีที่แอนนาเบลพาเธอไปจนถึงห้องนั่งเล่นห้องใหญ่ ท่านหญิงพริสซิลล่าก็ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มชวนขนลุก
“น้องสาวที่รัก เธอมาก็ดีแล้ว” พริสซิลล่าใช้สายตาสั่งให้แอนนาเบลลากตัวอัยน์นาออกไปที่ด้านนอกระเบียงกว้าง
เจ้าหล่อนรอให้ทุกอย่างได้ดั่งใจแล้วค่อยออกปากถาม
“พวกเราเป็นพี่น้องกันใช่ไหม พี่น้องต้องช่วยเหลือกัน ถูกหรือเปล่า?”
“ท่านหญิงมีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” อัยน์นาถามเสียงเรียบ
“แหมแหม ทำไมทำเสียงแข็งอย่างงั้นล่ะจ๊ะ” พริสซิลล่ายกขาขึ้นไขว่ห้าง ยิ้มเยาะ “หรือเจ็บแขน”
“ตายจริง เล็บพี่สาวคงยาวไปหน่อย ขอโทษนะจ๊ะ” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่แอนนาเบลกลับเพิ่มแรงจิกเล็บ แสดงออกชัดเจนว่าจงใจ
เป็นจังหวะเดียวกับที่สาวใช้สองคนยกชุดน้ำชาเข้ามา
“คุณพี่...” อัยน์นาเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ น้ำเสียงที่ใช้ ฟังดูอ่อนลงจนน่าสงสาร “มีอะไรให้อัยน์นารับใช้คะ”
“คุณ...” เธอพยายามคุมน้ำเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลเหมือนปกติ ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนขัดคอเพราะประโยคนั้น “หลงทางเหรอคะ”“ไซรัสครับ”“ค่ะ...ใครใครก็เรียกคุณว่าไซรัส ดิฉันจำได้” ปากตอบด้วยท่าทีสงบ แต่สายตาอยู่ไม่สุขกลับเผลอจ้องริมฝีปากเขาแล้วนึกถึงเรื่องในสระน้ำขึ้นมา “มาธากับเพื่อนๆ บอกว่าคุณอาจจะมาตรวจสอบความพึงพอใจลูกค้าด้วยตัวเอง...แล้วคุณก็มาจริงๆ”“ครับ” เขารับคำสั้นๆ พลางเดินตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ ยากจะคาดเดา “แผลนั่นดูดีขึ้นมากเลยนะครับ โชคดีจริงๆ ที่กิ่งไม้ไม่บาดลึกกว่านี้”เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน อัยน์นาจึงเลือกคลี่ยิ้มน้อยๆ แทนการตอบ“พบคุณก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่พอดี” แขกของคฤหาสน์สบตาเธอด้วยแววตาเปี่ยมประกายเอาจริงเอาจังเจิดจ้าทว่ามีสัดส่วนของความยวนเย้าอย่างเปลวไฟ อัยน์นาจึงเลือกตอบกลับปฏิกิริยานั้นด้วยการจ้องลึกลงในตาเขาด้วยแววตาบริสุทธิ์เหมือนน้ำใสสะท้อนแสงดาวสุกสกาวก็เอาสิ ถ้าผู้ชายคนนี้อยากเล่นเกมจ้องตากับเธอ วันน
“แหม แขนคุณถลอกนี่คะ” พริสซิลล่าเปลี่ยนเรื่องคุยทั้งอย่างนั้น เจ้าหล่อนขยับเข้าจับแขนเขา พลิกดู แล้วสั่งน้องสาวด้วยท่าทีสุภาพใจเย็นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แอนนาเบลจ๊ะ ไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมาให้พี่ที สาวใช้พวกนี้ใช้การไม่ได้ แค่ตกใจเข้าหน่อยก็หนีหายออกไปมุงดูกันหมด”แอนนาเบลจะเดินผละออกไป แต่ไซรัสรีบชิงปฎิเสธ“อย่าลำบากเลยครับ แค่รอยถลอกเท่านี้”“ทำไมคะ หรือกลัวอยู่ในห้องด้วยกันสองคนนานๆ แล้วผู้คนจะนินทา”ไซรัสเลือกจะไม่ต่อปากต่อคำ เพียงคุยด้วยไม่เท่าไหร่ เขาก็เดาออกแล้ว ว่าพริสซิลล่าดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหนพอเห็นเขาไม่ตอบอะไร เจ้าหล่อนก็อ้าปากพูดเพิ่ม“หรืออยากรีบไปดูใจอัยน์นาเหมือนสาวใช้สองคนล่าสุดที่เข้ามาในห้องนี้” คุณหนูคนโตช้อนตา มองค้อน แล้วเบือนหน้าหนี วางท่าเหมือนตั้งใจงอนให้ง้อตอนนั้นเอง แอนนาเบลก็ชิงเดินหลบออกจากห้องไปเงียบๆ ทั้งห้องจึงเหลือพ่อค้าหนุ่มกับท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์เพียงสองคนเท่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง&ldquo
กว่าจะรู้ตัวอีกที สองมือแกร่งก็ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ากอดแนบอก ก่อนเสียหลักล้มลงนอนหงาย กลายเป็นเบาะให้เธอ“คุณ...” หญิงสาวอ่อนเยาว์เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าตกใจที่เห็นหน้าเขาหรือตกใจเพราะพลัดตกลงมาเธอแข็งขืนเหมือนพยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขายังกอดร่างเธอไว้แน่น การกระทำนั้น เลยกลายเป็นการขยับตัวให้เส้นผมกรุ่นกลิ่นกุหลาบจางๆ คล้อยลงไล้แก้มเขาอย่างไม่ตั้งใจความอ่อนนุ่มที่ขยุกขยิกอยู่บนตัวเขา...กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน...ดวงตาตื่นๆ คู่ที่เคยตรึงสายตาและเชิญชวนให้เขาทำเรื่องผิดบาป สามอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปในวินาทีนั้นเธออยู่ตรงนี้ อยู่บนตัวเขา อย่างแนบชิดไซรัสระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการประคองร่างบอบบางในอ้อมแขนลุกขึ้นยืน แล้วสอบถามอย่างมีอารยะ“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”“ไม่...ไม่ค่ะ” ทั้งๆ ที่เธอตอบแบบนั้น แต่เขากลับสังเกตเห็นรอยบาดที่ฝ่ามือมันอาจจะเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบาดแผลส่วนใหญ่ที่เขาพบเห็นมาใน
นับตั้งแต่นาทีแรกที่รถม้าเคลื่อนผ่านประตูรั้วกว้างขวาง ไซรัสก็รู้สึกถึงความเงียบสงบอันหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงคฤหาสน์แกรนเทรนท์ที่ปรากฏแก่สายตาเขาในยามนี้ ไม่ใช่คฤหาสน์หลังโต รูปทรงโก้หรู เหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ ในเมืองหลวงแห่งนี้โดยรวมแล้ว อาจจะพูดได้ว่า คฤหาสน์แกรนเทรนท์เป็นคฤหาสน์เก่าคร่ำคร่า รูปทรงโดยรวมดูเรียบเกินกว่าจะบอกว่าสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมของยุคสมัย ตัวสิ่งปลูกสร้างรายรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ประเมินจากรูปทรงภายนอกตัวอาคารแล้ว พอเดาได้ว่ามีชั้นปกติสามชั้น และมีชั้นซึ่งเป็นห้องใต้หลังคาอีกหนึ่งชั้น รวมทั้งหมดเป็นสี่ชั้น ตัวตึกไม่ได้สร้างและตกแต่งด้วยอิฐสีหรือหินอ่อนเหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ แต่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยหินตัดและปูน ดูแล้วชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่โบราณพวกอนุรักษ์นิยม...หรือไม่ก็พวกประหยัดมัธยัสถ์...ไซรัสประเมินตัวตนเจ้าบ้านจากสภาพคฤหาสน์ยังหรอก...ยังต้องดูให้ถี่ถ้วนกว่านี้ เขาเตือนตัวเองจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มามนุษย์บางคน ก็เก็บซ่อนตัวตนมิดชิด ทำตัวเหมือนน้ำนิ่ง มองภายนอกดูเหมือน
“ต้องแบบนี้สิ” พริสซิลล่าดีดตัวลุกจากที่นั่ง “เห็นนั่นไหมจ๊ะ” เจ้าหล่อนกรีดนิ้วชี้ไปที่ผ้าผืนสวยบนปลายกิ่งต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ ระเบียง“ต้นไม้เหรอคะ” อัยน์นาแกล้งถามพาซื่อ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลยคงเพราะสีหน้าเธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเกินไป คนที่จับข้อมือเธอไว้อย่างแอนนาเบลก็เลยหมั่นไส้จนถึงขั้นออกปากด่า“ฉลาดน้อย!”ท่านหญิงคนรองของคฤหาสน์รีบบุ้ยใบ้ไปยังผ้าคลุมไหล่โปร่งบางปักดิ้นเงินดิ้นทองที่พาดอยู่บนกิ่งไม้“นั่นย่ะ ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่คุณพ่อสั่งทำให้คุณพี่พริสซิลล่าต่างหาก”“ทำไมผ้าคลุมไหล่ถึงไปอยู่บนนั้นได้ล่ะคะ” คนโดนจิกแขนยังคงวางสีหน้าซื่อใส เหมือนไม่เข้าใจอะไรสักนิด“ลมพัดไปน่ะ” พริสซิลล่าตอบพลางชี้นิ้วสั่งให้สาวใช้ยกแก้วชาส่งให้ เจ้าหล่อนสูดกลิ่นหอมจากชา ก่อนถาม “ไหนไหนเราก็เป็นพี่น้องกันนี่เนอะ ถือว่าช่วยพี่สาวอีกสักครั้ง ช่วยปีนขึ้นไปเก็บมาให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”“ปีนเหรอคะ” อัยน์นาถาม สีหน
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” ความคาใจ ขับให้อัยน์นาออกปากถามอย่างตรงไปตรงมา“เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าเรื่องนี้จริงเท็จสักแค่ไหน บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความหวาดระแวงของพวกมนุษย์ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่โบราณมา ดินแดนหลังแนวภูเขาถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าป่าดึกดำบรรพ์ที่คั่นระหว่างดินแดนเร้นลับที่ว่านี้กับอาณาจักรอัสกันด์เสียอีก คนโบราณเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา การที่ความเชื่อเก่าแก่ถูกแทนที่ด้วยเรื่องพรรค์นี้รวดเร็วชนิดไฟลามทุ่งแบบนี้...มันออกจะผิดปกติ”“คุณพ่อหมายถึงการสร้างกระแสความหวาดกลัวเพื่อให้ทุกคนคล้อยตามโดยไม่ปริปากถาม กับการสร้างความชอบธรรมที่จะทำสงครามกับพวกอสุรกายพวกปีศาจน่ะเหรอคะ...แต่ถ้าเรื่องมันไม่ร้ายแรงอะไร พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรเราจะอยากเอาอาณาจักรตัวเองไปเสี่ยงทำไม?”ท่านเจ้ากรมการเมืองจ้องลึกลงในตาลูกสาวคนสุดท้อง คล้ายจะอ่านความคิดบางอย่างชายสูงวัยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถาม“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ”“เป็นไปไม่ไ