ログイン“แหม แขนคุณถลอกนี่คะ” พริสซิลล่าเปลี่ยนเรื่องคุยทั้งอย่างนั้น เจ้าหล่อนขยับเข้าจับแขนเขา พลิกดู แล้วสั่งน้องสาวด้วยท่าทีสุภาพใจเย็นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แอนนาเบลจ๊ะ ไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมาให้พี่ที สาวใช้พวกนี้ใช้การไม่ได้ แค่ตกใจเข้าหน่อยก็หนีหายออกไปมุงดูกันหมด”
แอนนาเบลจะเดินผละออกไป แต่ไซรัสรีบชิงปฎิเสธ
“อย่าลำบากเลยครับ แค่รอยถลอกเท่านี้”
“ทำไมคะ หรือกลัวอยู่ในห้องด้วยกันสองคนนานๆ แล้วผู้คนจะนินทา”
ไซรัสเลือกจะไม่ต่อปากต่อคำ เพียงคุยด้วยไม่เท่าไหร่ เขาก็เดาออกแล้ว ว่าพริสซิลล่าดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน
พอเห็นเขาไม่ตอบอะไร เจ้าหล่อนก็อ้าปากพูดเพิ่ม
“หรืออยากรีบไปดูใจอัยน์นาเหมือนสาวใช้สองคนล่าสุดที่เข้ามาในห้องนี้” คุณหนูคนโตช้อนตา มองค้อน แล้วเบือนหน้าหนี วางท่าเหมือนตั้งใจงอนให้ง้อ
ตอนนั้นเอง แอนนาเบลก็ชิงเดินหลบออกจากห้องไปเงียบๆ ทั้งห้องจึงเหลือพ่อค้าหนุ่มกับท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์เพียงสองคนเท่านั้น
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
“ผมต้องรอพบท่านเจ้ากรมการเมืองครับ บางทีตอนนี้ท่านเจ้ากรมอาจรอผมอยู่ก็ได้” ไซรัสรีบบอกอย่างสุภาพ “ผมมาทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดหมายแต่ท่านก็ยังมีน้ำใจต้อนรับ เกรงว่าการปล่อยให้ท่านรอจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสมเท่าไหร่นัก”
“คุณพ่อยังติดธุระค่ะ คงอีกนานกว่าท่านจะว่าง” เธอหันกลับมาสบตาเขา “ถ้าไม่รังเกียจเพราะเรื่องโกหกในนิทานเพลงหรือกลัวตกเป็นข่าวลือแปลกๆ ร่วมกัน ถ้ายังไงให้ดิฉันพาเดินชมคฤหาสน์คั่นเวลา ตอบแทนที่คุณช่วยเก็บผ้าผืนนี้ให้ ดีไหมคะ?”
“ท่านหญิงมีน้ำใจมาก” ประโยคนั้นจากริมฝีปากเขาทำให้ท่านหญิงผมทองยิ้มกว้าง ก่อนต้องหุบยิ้มเพราะประโยคถัดมา “แต่ผมเกรงว่าถ้าเราสองคนเดินชมคฤหาสน์โดยไม่มีผู้ติดตาม ท่านหญิงอาจเสื่อมเสีย”
“แหม ห่วงดิฉันหรือห่วงตัวเองกันคะ” เธอแขวะซึ่งๆ หน้า
ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักสงวนคำเสียบ้างเลย
“ห่วงท่านหญิงครับ” แม้ความจริงจะไม่ใช่แบบนั้น แต่ไซรัสก็รู้สึกว่าอาจดูเสียมารยาทถ้าพูดความจริง
“ถ้าอย่างงั้น แค่มีคนติดตามก็พอแล้วใช่ไหมคะ”
แววตารั้นๆ ตรงหน้าทำให้ไซรัสรู้ว่าคงปฏิเสธลำบาก
อันที่จริงเขาเองก็อยากตรวจดูวิธีการจัดการทุกสิ่งภายในบ้านให้รู้ชัด ว่าท่านเจ้ากรมการเมืองปกครองบ้านด้วยวิธีไหน มีนิสัยใจคออย่างไร มีทัศนคติเกี่ยวกับบางเรื่องตรงอย่างที่เขาคิดไว้หรือไม่ ทั้งยังต้องการตรวจดู ว่าทรัพย์สินทั้งหมดมีที่มาที่ไปอย่างไร ขาวสะอาดหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าชายสูงวัยเป็นคนสัตย์ซื่อเชื่อถือได้สมกับที่ผู้คนทั้งอาณาจักรยกย่อง
บางทีโอกาสที่พริสซิลล่าหยิบยื่นให้ อาจเป็นโอกาสดีที่มีน้อยครั้ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แล้วแต่ท่านหญิงจะกรุณา” หน้ากากรอยยิ้มดูอ่อนโยนมากขึ้นในวินาทีนั้น
วูบหนึ่งในช่วงที่นั่งรอให้ทหารยืนยามไปตามสาวใช้ตามคำสั่งท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์ ไซรัสเกิดนึกถึงสตรีผมหยักศกอีกรายขึ้นมา
แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ควรไขว้เขว แต่บุตรีนอกสมรสผู้วางตัวจนผู้คนล้วนรักใคร่และเล่าลือเรื่องเธอไปทั่วอาณาจักร ก็ทำให้ไซรัสอดสงสัยไม่ได้ ว่าเธอใช้ชีวิตมาอย่างไร
...บางทีการเดินชมคฤหาสน์หนนี้ อาจช่วยไขความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีนิลส่องประกายแปลกประหลาดคู่นั้น...
หลังเดินดูนั่นชมนี่ตามแต่ที่พริสซิลล่าอยากจะนำเสนอไปจนสุดเขตคฤหาสน์ฝั่งตะวันตก แม้จะไม่มีใครกระซิบบอก แต่ไซรัสก็รู้สึกได้ว่าผู้คนในคฤหาสน์ล้วนรักใคร่และเห็นใจท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองกับลูกสาวทั้งสองจนไม่ค่อยจะเต็มใจรับใช้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เขาพบว่าท่านเจ้ากรมการเมืองเป็นคนไม่มีนอกไม่มีใน ซื่อตรง ไว้ใจได้...อย่างน้อยๆ ไซรัสก็บอกตัวเองแบบนั้น
“คิดอะไรอยู่คะ นิ่งไปอีกแล้ว” พริสซิลล่าพยายามชวนคุยดังเช่นทุกครั้ง
“ผมอดชื่นชมไม่ได้” ไซรัสเลือกยกยอปอปั้นตามธรรมเนียมแทนการเอ่ยความจริง “คฤหาสน์ทรงโบราณเด่นตระหง่านที่รักษารูปลักษณ์แบบเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม...ยากนักจะพบเห็นในเมือง”
“เพราะคุณพ่อมองว่าการตกแต่งปรับปรุงเป็นเรื่องสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุน่ะค่ะ แย่ที่สุด”
“ท่านหญิงอยากให้ท่านเจ้ากรมปรับปรุงที่นี่งั้นหรือ?”
“แหม ตกแต่งบ้างสักนิดก็ดีไม่ใช่เหรอคะ” พริสซิลล่าบอกน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
เจ้าหล่อนทำท่าจะขยับเข้าใกล้ แต่โดนสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“คุณท่านให้มาแจ้งว่าท่านคุยธุระเสร็จแล้วค่ะ อีกเดี๋ยวจะลงมาที่สวนด้านหลังคฤหาสน์” สาวใช้บอกอย่างคล่องแคล่ว
“ตายจริง ดิฉันก็พาคุณเดินเสียทั่วคฤหาสน์” คุณหนูคนโตของคฤหาสน์ไล่สาวใช้ด้วยสายตา จากนั้นก็เสนอตัวเข้าช่วยอย่างเป็นธรรมชาติ “เดี๋ยวดิฉันนำทางกลับไปที่เก่าให้ค่ะ”
ไซรัสเกือบจะตอบตกลงตามมารยาท แต่หางตาพลันสังเกตเห็นคุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์เข้าเสียก่อน
“อย่าลำบากเลยครับ ผมพอจำทางได้” เขารีบตัดบทเพราะเรียนรู้แล้วว่าท่านหญิงผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจเพียงใด
พริสซิลล่าทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง และไซรัสก็ฉลาดพอที่จะไม่รอฟัง
“ขอตัวก่อนนะครับ” บอกแล้วคนเป็นแขกของคฤหาสน์ก็เดินจากมาทั้งอย่างนั้น
เขาดูจนแน่ใจว่าท่านหญิงคนโตจะไม่ตามมาวุ่นวาย เมื่อเห็นเจ้าหล่อนออกอาการกระฟัดกระเฟียดใส่ผู้ติดตามก่อนสะบัดก้นเดินหนีไปอีกทาง พ่อค้าหนุ่มก็เบนทิศการเดิน มุ่งหน้าเข้าหาท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายผู้เพิ่งจะแยกจากสาวใช้...
“แย่...” อัยน์นากุมมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บบ่นระบายความอัดอั้นทันทีที่อยู่คนเดียว
เธอพยายามมองโลกในแง่ดี ว่าอย่างน้อยๆ วันนี้ก็ได้รู้ว่าบิดาตัดสินใจแน่วแน่แค่ไหน และแสงตะวันยามบ่าย ก็ยังช่วยให้อากาศตามทางเดินนอกอาคารยามนี้ไม่หนาวเย็นเกินกว่าที่คนเพิ่งฟื้นไข้อย่างเธอจะออกมาเดินเตร็ดเตร่หรือออกกำลังกาย... แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดถึงแต่เรื่องดีๆ แค่ไหน เจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ก็อดเสียความรู้สึกไม่ได้ ที่พี่สาวต่างมารดาทั้งสอง ไม่เพียงอยากทำให้เธออับอายอย่างลึกซึ้ง พวกหล่อนยังอยากจะให้เธอบาดเจ็บเสียด้วย
“แย่ชะมัด” เธอพึมพำ
“ผมไม่เห็นว่าสำหรับ ‘ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย’ จะมีเรื่องไหนย่ำแย่จริงๆ เลยสักข้อ”
ประโยคปริศนาจากด้านหลัง เรียกให้คุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์หันขวับ
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”







