Mag-log in“คุณ...” เธอพยายามคุมน้ำเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลเหมือนปกติ ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนขัดคอเพราะประโยคนั้น “หลงทางเหรอคะ”
“ไซรัสครับ”
“ค่ะ...ใครใครก็เรียกคุณว่าไซรัส ดิฉันจำได้” ปากตอบด้วยท่าทีสงบ แต่สายตาอยู่ไม่สุขกลับเผลอจ้องริมฝีปากเขาแล้วนึกถึงเรื่องในสระน้ำขึ้นมา “มาธากับเพื่อนๆ บอกว่าคุณอาจจะมาตรวจสอบความพึงพอใจลูกค้าด้วยตัวเอง...แล้วคุณก็มาจริงๆ”
“ครับ” เขารับคำสั้นๆ พลางเดินตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ ยากจะคาดเดา “แผลนั่นดูดีขึ้นมากเลยนะครับ โชคดีจริงๆ ที่กิ่งไม้ไม่บาดลึกกว่านี้”
เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน อัยน์นาจึงเลือกคลี่ยิ้มน้อยๆ แทนการตอบ
“พบคุณก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่พอดี” แขกของคฤหาสน์สบตาเธอด้วยแววตาเปี่ยมประกายเอาจริงเอาจังเจิดจ้าทว่ามีสัดส่วนของความยวนเย้าอย่างเปลวไฟ อัยน์นาจึงเลือกตอบกลับปฏิกิริยานั้นด้วยการจ้องลึกลงในตาเขาด้วยแววตาบริสุทธิ์เหมือนน้ำใสสะท้อนแสงดาวสุกสกาว
ก็เอาสิ ถ้าผู้ชายคนนี้อยากเล่นเกมจ้องตากับเธอ วันนี้เธอก็จะเล่นเกมจ้องตากับเขา ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายเสียสมาธิจนเผยความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาก่อนกัน
“เรื่องบางเรื่องควรหยุดตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ถลำลึกนะครับ” เขายังคงเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง อัยน์นาจึงแกล้งเปล่งเสียงสั้นๆ เป็นเชิงถาม
น้ำเสียงที่เธอใช้ ฟังดูงุนงง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เจ้าตัวไม่ได้งุนงงอะไร
“คะ?”
“ครั้งหนึ่งผมเคยเดินทางไปยังดินแดนแห่งทุ่งหญ้าไร้เจ้าของเหนืออัสกันด์ ที่นั่นมีดอกไม้มากมายผลิดอกเบียดเสียดกัน มองดูเผินๆ ก็งดงามดี แต่พอก้มดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ ว่าดอกที่คอยแต่จะเบียดเสียดกันล้วนบอบช้ำ เน่าเสีย”
เธอยังคงสบตาเขาแบบเดิม เพื่อแสดงออกว่ากำลังฟังอย่างตั้งใจ และไม่รู้ไม่เข้าใจความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ในประโยคบอกเล่า ทั้งๆ ที่ภายในใจขุ่นเคืองไม่น้อย
ฟังแค่นี้อัยน์นาก็เดาออกแล้ว ว่าคนคนนี้ตั้งใจจะอบรมสั่งสอนเธอ
ปากชายคนนี้พูดถึงดอกไม้ แต่ใจจริงอยากพูดเรื่องเธอกับพี่สาวทั้งสองต่างหาก
“น่าสงสารนะคะ” ปากพูดว่าสงสาร แววตาเธอก็ดูสงสารจริงๆ “น่าเสียดาย ที่เราคงทำอะไรไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ” เขาถามน้ำเสียงสงบนิ่งเหมือนเคย
“ไม่รู้สิคะ ดิฉันไม่รู้ว่าเราควรจะโทษอะไรดีก็เลยไม่แน่ใจว่าเราควรช่วยเหลือดอกไม้พวกนั้นยังไง จะโทษโชคชะตาดินฟ้า หรือธรรมชาติของดอกไม้ ก็ใช่ที่ ถึงดูเหมือนมันจะเป็นสาเหตุหลักๆ ก็เถอะ...” นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่อัยน์นาเผลอตอกกลับคนอื่นอย่างลืมตัว
ใช่ว่าเธอไม่ชอบโดนตำหนิ เธอไม่ชอบที่โดนคนเพิ่งรู้จักกันมาพูดจา มาวางท่าเหมือนรู้จักเธอดี แถมยังพูดจาอบรมสั่งสอนด้วยน้ำเสียงและท่าทีน่าหมั่นไส้...ไหนจะสายตาสีเทาลึกล้ำคู่นั้น ที่ชวนให้หนาวๆ ร้อนๆ จนน่าขัดใจอีกล่ะ
ไม่นึกว่าผู้ชายคนนี้จะเออออไปกับเธอ
“นั่นสิครับ คงจะดีถ้าดอกไม้มีสติ มีความคิดความอ่าน มีหัวใจ เลือกคิดเลือกทำอะไรได้เหมือนมนุษย์”
เขากำลังเปรียบเทียบว่าเธอแตกต่างจากดอกไม้ ใยต้องทำตัวไร้สติ ไร้ความคิด ไร้หัวใจ
อัยน์นาเข้าใจคำตำหนิที่แฝงอยู่ในประโยคนั้นดี แต่แสร้งคลี่ยิ้มอ่อนโยน เหมือนเห็นด้วยเสียเต็มประดา
“จริงสิ...” เธอจงใจเว้นระยะ หลอกให้เขาเข้าใจว่าเธอเห็นด้วย
แต่ก่อนที่ไซรัสจะขยับริมฝีปากพูดอะไร เธอก็รีบเอ่ยประโยคถัดไปออกมา เป็นการบอกกรายๆ ว่าไม่ได้เก็บเรื่องที่เขาพูดมาใส่ใจเลยสักนิด
“คุณรอพบคุณพ่อใช่ไหมคะ” อัยน์นาชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงของสตรีที่เรียบร้อยสงบเสงี่ยม ยากจะหาใครเหมือน “เห็นว่าแขกของคุณพ่อเพิ่งกลับออกไปเมื่อครู่ อีกเดี๋ยวคุณพ่อก็คงจะลงมาพบคุณแล้ว รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเรียกคนมาช่วยนำทาง...”
“อย่าเลยครับ ดูทุกคนมีงานให้ทำกันทั้งนั้น” เจ้าของชื่อไซรัสตัดบทอย่างสุภาพ แต่แววตาสีเทาฉายแววรู้ทันกับความหมายซ่อนเร้นที่เธอจับได้จากประโยคนั้น กลับทำให้อัยน์นาไม่รู้สึกว่าเขาสุภาพ
แววตาเขามันบ่งบอก ว่าจงใจยกเรื่องที่ทุกคนกำลังทำงานมาสะกิดใจคนที่ผู้คนเล่าลือว่าโดนใช้งานหนักเยี่ยงทาสแต่กลับว่างมาเดินเล่นในสวนอย่างเธอ
ตาบ้านี่...เล่นไม่เลิกเลยสินะ
ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนโดนผู้ชายมาดดี รูปร่างหน้าตาสะท้านใจหญิงคนนี้ ท้าตีท้าต่อยอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อค้าอัญมณีและแพรพรรณหน้าใหม่ก็ชิงถามหาความช่วยเหลือหน้าตาย
“ผมไม่อยากให้ท่านเจ้ากรมการเมืองรอนานเกินไป ในเมื่อคุณหนูดูจะไม่รีบร้อนอะไร ไหนไหนเราก็บังเอิญมาพบกันแบบนี้แล้ว...ถือเสียว่าช่วยผมสักครั้ง ช่วยพาผมไปพบขุนนางท่านหน่อยได้ไหมครับ?”
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”







