ท่ามกลางกระแสความคิดคำนึงถึง เมื่อรถม้าจอดเทียบหน้าอาคาร ไซรัสก็รู้สึกถึงกลิ่นกุหลาบจางๆ
กลิ่นนี้ไม่ได้แรงจัดเหมือนน้ำหอมสตรี ไม่ได้หอมอบอวลเหมือนกลิ่นกุหลาบที่คฤหาสน์เจ้ากรมการคลัง แต่เป็นกลิ่นหอมหวาน ล่องลอยผ่านจมูกเหมือนแตะไล้ หยอกเย้า ชวนให้ซาบซ่านและอบอุ่นใจในคราวเดียวกัน
กระแสกลิ่นหอมมีเอกลักษณ์ ชักจูงให้สายตาคู่คมสบกับเจ้าของใบหน้ารูปหัวใจที่เขาจำได้ดี
ถึงวันนี้เธอจะสวมผ้าคลุมแบบมีฮู้ดปกปิดเรือนผมและหุ่นทรงไว้มิดชิด แต่รัศมีความงามบนใบหน้าและเรือนกายท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายกลับไม่ลดลงเลย ตรงกันข้าม ผ้าคลุมกลับยิ่งขับให้เธอดูลึกลับน่าค้นหาเสียจนใครหลายคนเผลอมองตามจนลืมดูทาง
เขาไม่รู้ว่าเธอมาทำธุระอะไรแถวนี้ รู้เพียงครั้งนี้ ‘คุณหนูอัยน์นา’ ไม่ได้มาคนเดียวเหมือนครั้งก่อน แต่มากับหญิงรับใช้ที่ดูสนิทสนมกันดี รอบตัวเธอในตอนนี้ห้อมล้อมไปด้วยเด็กชาวบ้าน กับหญิงสูงวัยหลายคนที่เขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นเจ้าของร้านขายผลไม้
“เอาเสื้อผ้ามาให้เด็กๆ น่ะ” ประโยคสั้นๆ จากลูคัส อธิบายภาพนั้นได้ทันที
ท่ามกลางสายตาชื่นชมจากใครหลายคน คงมีเพียงเขาที่ข้องใจ
“ทำไมต้องเป็นที่นี่...?”
ผู้ติดตามหนุ่มผู้มายืนรอรับเหลียวมองเขาแล้วยิ้ม “ไม่รู้สิ...รู้แต่ว่าคุณหนูผู้นี้คอยเลียบเคียงถามเรื่องท่าน คนอื่นอาจไม่ทันสังเกต แต่ตอนที่สาวใช้พาคุณหนูอัยน์นาแวะมาที่นี่ ข้ารู้สึกได้”
ประโยคเหล่านั้น เรียกรอยยิ้มยากจะคาดเดาบนริมฝีปากหยักเข้ม
“รุกคืบเสียเลยสิ” ลูคัสยุ “ถึงจะเป็นบุตรสาวนอกสมรส แต่ก็เป็นสุภาพสตรีที่งามพร้อม มีผู้หญิงดีๆ อย่างนี้มาสนใจทั้งที่ ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป ท่านต้องเสียใจแน่”
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก” คนเป็นนายตอบสั้นๆ ก่อนปลีกตัวเข้าอาคาร
เขาย่อมรู้ว่าเธอไม่ได้สนใจเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง อันที่จริงเขายังจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำ ว่ากุหลาบหนามคมดอกนี้ จะมองผู้ชายในฐานะผู้ชายได้อย่างไร
การที่เธอสนใจเรื่องเขา คิดได้เพียงสองอย่างเท่านั้น
มีแผนการอะไรซ่อนอยู่...หรือไม่ก็อยากตรวจสอบพ่อค้าชื่อไซรัส
เขาเป็นผู้ล่ามาตลอด เป็นฝ่ายควบคุมอะไรต่อมิอะไรมานานจนเคยชิน มาครั้งนี้ต้องมาเจอหญิงสาวอ่อนเยาว์หมายหัว
น่าสนุก...น่าสนุกจริงๆ
ไซรัสหัวเราะอย่างที่ไม่ได้หัวเราะมานาน ทำเอาบรรดาผู้ติดตามพากันสงสัย
เหล่าคนไม่เข้าใจต่างคิดไปว่า ที่นายตนหัวเราะได้อย่างนี้ อาจเพราะแก้ไขปัญหายากง่ายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับเจ้ากรมการคลังและเจ้ากรมการเมืองเรียบร้อยแล้ว
มีเพียงคนที่รู้ต้นสายปลายเหตุอยู่บ้างอย่างลูคัส ที่นอกจากจะไม่แปลกใจอะไรแล้ว ยังตัดเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ที่ว่าออกจากใจตั้งแต่วินาทีที่เห็นว่าไซรัสนั่งรถม้าแบบใดกลับมา
ผู้ดูแลร้านค้าหนุ่มค่อนข้างแน่ใจ ว่าหลังจากนี้อาจมีเรื่องสนุกๆ ให้ดู...
แล้ว ‘นายท่าน’ ก็ไม่ทำให้ลูคัสผิดหวัง
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไซรัสก็ชะงักฝีเท้า ออกปากถาม “รถม้าคุณหนูท่านเจ้ากรมการเมืองล่ะ พวกผู้ติดตามเอาไปจอดไว้ที่ไหน”
“ดูเหมือนว่าคุณหนูอัยน์นาจะออกจากคฤหาสน์มาเงียบๆ ไม่ได้ใช้รถม้า ไม่ได้พาผู้ติดตามรายอื่นมาด้วย” ลูคัสให้ข้อมูลตามที่รู้มา “เห็นคุยกับสาวใช้ที่ชื่อมาธา ว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่วันนี้ใครต่อใครต่างต้องใช้รถ อีกอย่าง ถ้าเอารถม้าเข้ามาในย่านนี้ก็จะเอิกเกริก รบกวนผู้คนเปล่าๆ”
ไซรัสนิ่งคิด ก่อนสั่ง
“เตรียมรถม้า”
ไม่ว่าเจ้าของอาคารจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ตอนนี้ลูคัสสังเกตเห็นรอยยิ้มทะนงตนฉายชัดบนใบหน้าคนเป็นนาย
“ข้าจะคุมรถม้าให้ท่าน” ผู้ดูแลร้านเอ่ยคล้ายจะขออนุญาต แต่ไม่ยืนรอฟังคำตอบรับ
เรื่องน่าสนุกอย่างนี้ ใครยอมพลาดก็โง่แล้ว
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”