เสียงพิณหวานปนเศร้าดังขึ้นในวินาทีนั้น
เมื่อคนเป็นนักดนตรีบรรเลงเพลงได้สักพัก อัยน์นาก็สังเกตเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตค่อยๆ ผุดพรายบนใบหน้า เธลม่า แกรนเทรนท์ ทั้งๆ ที่ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองคนนี้ มักฉาบเครื่องสำอางเอาไว้อย่างแน่นหนา
ดูท่า ท่านผู้หญิงเองก็คงเคยได้ยินนิทานเพลงเรื่องนี้มาก่อน
‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย...
มารดานางตายจากแต่ยังเยาว์’
“หยุดนะ” เสียงสั่งจากภรรยาเจ้าบ้าน ทำเอานักแสดงทั้งสองหยุดชะงัก
แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่การแสดงหยุดลง ขุนนางสูงวัยก็ออกคำสั่งให้รีบแสดงต่อทันที
“เอาใหม่ ร้องให้จบ” ท่านเจ้ากรมการเมืองสั่งเสียงเข้ม
‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย
มารดานางชิงตายจากแต่ยังเยาว์
บิดามากภาระฝากแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้า
เรื่องน่าเศร้าจึงเกิดขึ้นกับโฉมตรู’
“นี่มันอะไรกันคะ ริชาร์ด คุณเรียกกวีสกปรกนี่มาทำไม?” ท่านผู้หญิงแกรนเทรนท์กำมือแน่น ท่าทางจะโกรธจัด แต่ยังพยายามรักษาสมบัติผู้ดี
“ฟังต่อให้จบ” ขุนนางสูงวัยสั่งเสียงเข้ม สีหน้าเครียด ดูเคร่งขรึม “นิทานเรื่องนี้กำลังเป็นที่นิยมเชียวล่ะ” เขาจ้องลึกลงในแววตาตื่นตระหนกของเธลม่าและลูกสาวคนโตกับคนรอง “รู้ไหม ตอนนี้พวกกวี นักขับลำนำ ตั้งแต่ในรั้วในวังยันย่านร้านค้า เขาพากันแต่งทำนองออกมาขับร้องกันให้วุ่น” ท่านเจ้ากรมการเมืองแค่นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยต่อไป “แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ยังร้องเพลงนี้ได้ด้วยซ้ำ”
“นิทานเกี่ยวกับอะไรหรือคะ คุณท่าน” อัยน์นาถามหน้าซื่อ เธอใช้ดวงตาใสแจ๋วดั่งทารกจ้องมองตาบิดาสลับกับท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองและพี่สาวต่างมารดาทั้งสอง
แล้วพริสซิลล่าก็สะบัดหน้าปรกปอยผมหยิกหยักศกสีทองส่องประกาย สีเดียวกับมารดาและน้องสาว หันมาแหวใส่เธอเป็นคนแรก
“นิทานโกหกพกลมน่ะสิ ยัยขี้เถ้า!”
พอเห็นพี่สาวเอ็ดขึ้นมา แอนนาเบลก็ทำท่าจะอ้าปากพูดเสริม แต่โดนท่านเจ้ากรมการเมืองขัดขึ้นเสียก่อน
“เงียบ แล้วฟัง”
‘นังขี้เถ้า นังขี้เถ้า นังขี้เถ้า!
นางแม่เลี้ยงย้อมกุหลาบด้วยขี้เถ้า
เช้าใช้งานเย็นโยนเข้าห้องรูหนู
จะเจ็บป่วยอย่างไรไม่ชายตาดู
นางรู้แต่จะรัก แต่ลูกนาง
ท่านหญิงขี้เถ้ามีพี่สาวอยู่สองศรี
มีข้อดีที่งดงามดังเทพสร้าง
แต่จิตใจอัปลักษณ์ทั้งสองนาง
คอยกลั่นแกล้งถากถางกุหลาบงาม’
นักขับลำนำยังคงเล่าเรื่องราวต่อไป แม้ดูเหมือนไม่มีผู้ฟังรายไหนชื่นชอบ
โดยเฉพาะท่านหญิงพริสซิลล่า นางถึงขั้นสบถบ่นอย่างลืมตัวบ่อยครั้ง ทำเอาบิดาต้องเหลียวมองตาเขียวเป็นระยะ
กว่าเรื่องเล่าที่นักขับลำนำของ เจ้ากรมการเมือง พกพามาจะจบลง ภรรยาและลูกสาวคนโตกับคนรองก็แทบจะประคองร่างให้นั่งตัวตรงไม่ไหว
“แม่ขี้เถ้า มาพัดให้ฉัน” คุณผู้หญิงของบ้านเผลอเรียกชื่อเล่นที่นางและลูกๆ ตั้งให้อัยน์นาอย่างลืมตัว พอนึกได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไปต่อหน้าสามีและคนนอก ก็รีบแก้ตัวอย่างหัวเสีย “โอ้ย! ตาย! ขอโทษเถอะอัยน์นา ฉันคงไม่สบาย เลยเบลอจนเอาชื่อเรียกในนิทานนั่นมาเรียกเธอ” นางโบกพัดในมือกวาดลมใส่หน้าเสียเอง “ใช่ว่าจะอยากเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนในเรื่องเล่าหรอกนะ ฉันรึ ออกจะรักลูกเท่ากัน” นางแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ท่านผู้หญิงอยากให้อัยน์นาไปตามท่านหมอไหมคะ” คนเป็นลูกเลี้ยงถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงยิ่ง ทำเอานักขับลำนำกับนักดนตรีเผลอยิ้มเศร้า เหมือนเอ็นดูปนสงสาร
“ท่านผู้หญิงไม่เป็นอะไรนักหรอก” ท่านเจ้ากรมการเมืองบอกปัด ความขุ่นข้องหมองใจอัดแน่นในน้ำเสียง
ชายสูงวัยกวาดสายตามองภรรยาและลูกสาวทั้งสามแล้วทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย
“ขอบใจที่มาวันนี้” เขาหันไปบอกนักขับลำนำกับสหายนักดนตรี “ข้างนอกมีทหารรออยู่ พวกเขาจะเอารถม้าออกไปส่งให้จนถึงที่พัก”
ขุนนางสูงวัยรอจนคนนอกครอบครัวออกไปจนหมด จึงเริ่มพูดเรื่องน่าหนักใจ
“ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า แอนนาเบล ได้ยินนิทานเพลงนั่นชัดแล้วใช่ไหม ฟังเรื่องเล่านั่นแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง”
แอนนาเบลส่ายหน้าสะบัดผมสีทองเหยียดตรงไปมาอย่างไม่ยี่หระ แล้วโพล่งออกมาทันควัน “ก็ไม่รู้สึกยังไงนี่คะ แค่นิทานไร้สาระ”
“ไร้สาระหรือ...” ท่านเจ้ากรมการเมืองเอ่ยอย่างสะกดอารมณ์ “ลูกฟังแล้วไม่รู้สึกคุ้นหูบ้างรึ?”
“คุณพ่ออยากจะพูดอะไรกันแน่” พริสซิลล่าเชิดหน้าใส่บิดา เหมือนท้าทายให้เอ่ยออกมาตรงๆ
“เลิกใจร้ายกับอัยน์นาได้แล้ว”
“ฉันกับลูกไม่เคยใจร้ายกับเด็กนี่” เธลม่าเถียงทันควัน “ไอ้พวกชั้นต่ำมันเล่าลือกันไปเอง ทุเรศนัก เที่ยวหยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปใส่สีตีไข่กันให้วุ่น!”
“ฉันเหมือนคนหูหนวกตาบอดรึ?” ท่านเจ้ากรมการเมืองถามภรรยาสีหน้าถมึงทึง “ที่ผ่านมา ฉันก็พอรู้ ว่าเธอกับลูกไม่ชอบใจอัยน์นานัก แต่ฉันก็เคยบอกแล้วไม่ใช่รึ เด็กคนนี้ไม่ผิดที่ไม่ได้เกิดเป็นลูกท่านผู้หญิง มันเป็นสิ่งที่อัยน์นาเลือกไม่ได้”
“อ๋อ ใช่สิ” นางแหวใส่สามีทันที “เพราะคนที่เลือกทำให้มันเกิดก็คือคุณ คนที่เลี้ยงมันไว้ในคฤหาสน์ก็คือคุณ คนที่มีสัมพันธ์กับนางทาสเชลยก็คือคุณ!”
“เธลม่า!” ขุนนางสูงวัยเอ็ดเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาพริสซิลล่ากับแอนนาเบลสะดุ้งเฮือก
“ปกป้องมันเหรอคะ” คนโดนเอ็ดลุกขึ้นยืนท้าทาย “อย่าลืมนะคะ ว่าที่คุณสุขสบายอยู่อย่างทุกวันนี้น่ะ เป็นเพราะใคร!”
“ฉันพูดก็เพื่อเธอกับลูก!” ท่านเจ้ากรมการเมืองตวาดเสียงดังลั่น “เปิดหูเปิดตาดูเสียมั่งสิ ผู้คนเขามองพวกเธอยังไงบ้าง! พริสซิลล่ากับแอนนาเบลไม่ได้อัปลักษณ์ อายุทั้งคู่ออกเรือนได้นานแล้ว แต่กลับไม่มีชายหนุ่มที่ไหนอยากสู่ขอ! ส่วนเธอ เธลม่า เธอเป็นถึงท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองแต่กลับถูกคนซุบซิบนินทาเป็นที่สนุกปาก ชอบรึ! หึ! แม่เลี้ยงใจยักษ์ กับพี่สาวชั่วร้าย งามหน้าไหมล่ะ!”
“ก็ใครใช้ให้แม่นี่สำออยนัก!” นางหันมาแหวใส่อัยน์นาผู้ได้แต่ยืนนิ่งอย่างไร้ปากเสียง
นั่นทำให้ความอดทนท่านเจ้ากรมการเมืองถึงขีดสุด
“ยังจะโทษคนอื่นอีกรึ! พอมีเรื่องขึ้นมาก็ดีแต่โทษคนอื่น ไม่รู้จักย้อนดูตัวเอง!” พริสซิลล่าจะเถียงแทนแม่ แต่ท่านเจ้ากรมการเมืองทุบโต๊ะดังปึง ดักคอไว้ “ฟัง! นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเธอสามคนต้องดีต่ออัยน์นาให้มากกว่านี้ ที่ผ่านมาฉันอาจจะไม่เคยปรามอย่างจริงจัง เป็นความผิดฉันเอง แต่นับจากวินาทีนี้ นับจากตอนนี้ ถ้ามีใครปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”
“ข่มขู่กันเหรอคะ” เธลม่าถามเสียงสั่น ใบหน้าฉาบเครื่องสำอางขึ้นสี ไม่รู้ว่าโกรธหรืออับอายมากกว่ากัน
“ฉัน ทำ เพื่อ พวก เธอ” ขุนนางสูงวัยเอ่ยเน้นถ้อยเน้นคำ “ต่อไปนี้ เธอต้องปฏิบัติเหมือนอัยน์นาเป็นลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่ง พริสซิลล่ากับแอนนาเบลต้องทำตัวดีให้สมกับที่เป็นพี่สาว พวกเราจะพาเด็กคนนี้ออกงานสังคม กอบกู้ชื่อเสียงเธอกับลูกสาวเรา”
“จะให้ยกย่องมันออกหน้าออกตาเหรอคะ”
“หรือเธออยากให้ผู้คนเขาชิงชังหยามหยันตระกูลเราอยู่แบบนี้” คำถามนั้นทำเอา ‘ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมือง’ เถียงไม่ออก
“ก็ได้...” นางยอมแพ้ในที่สุด “เราจะพาเด็กนี่ไปเปิดตัวเพื่อแก้ข่าว” นายหญิงของคฤหาสน์กัดริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ย “ขอแสดงความยินดีด้วย อัยน์นา นับจากนี้ เธอจะได้ไปงานเลี้ยงทุกงานที่พวกเราไปจนกว่าเรื่องนี้จะซาลง เริ่มจากงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ท่านเจ้ากรมการคลังในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้านี่ล่ะ”
“ไม่ได้นะคะ!” พริสซิลล่ากับแอนนาเบลแหวใส่มารดาอย่างพร้อมเพรียง
“ลูกได้ข่าวว่า ไซรัส พ่อค้ารูปงามจากต่างแดนอาจไปร่วมงาน” พริสซิลล่าบอกเสียงแหลม
“แล้วท่านคาร์ล ญาติผู้น้องที่เพิ่งย้ายมาจากต่างแดนของท่านเจ้ากรมการคลังก็ต้องมาร่วมงานด้วยแน่” แอนนาเบลกล่าวเสริม
“รู้อะไรไหม พ่อของลูกพูดถูก ปัญหาของลูกทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา ในเมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ ต่อให้พาแม่นี่ไปด้วยแล้วจะทำไม”
“แต่...” พริสซิลล่าทำท่าจะขัด แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“เอาตามนี้แหละ” เธลม่าทิ้งตัวลงนั่ง วางท่าเป็นคุณผู้หญิง “แต่งตัวให้มิดชิด ห้ามเที่ยวหว่านเสน่ห์ไปทั่วเด็ดขาด” นางกำชับลูกเลี้ยงเสียงดุ “จำไว้ให้ดีเชียว ถึงฉันจะยอมให้หล่อนไปออกงานสังคมด้วยกัน ก็ใช่ว่าฉันจะยอมให้หล่อนเป็นแกรนเทรนท์ด้วยหรอกนะ” ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองตวัดหางตาคมกริบไปที่สามี “อย่าลืมเชียวล่ะ เคยลั่นวาจาไว้แล้วนะคะ ว่าเด็กนี่จะไม่มีวันเทียมเท่าพริสซิลล่ากับแอนนาเบล มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น ที่ดิฉันจะไม่ยอมลดราวาศอกเด็ดขาด”
แต่เพียงเท่านั้น อัยน์นาก็พอใจ
หญิงสาวซ่อนความรู้สึกนั้น ก่อนออกปากถามบิดา
“จะดีเหรอคะคุณท่าน”
“ดีต่อทุกคนที่สุดแล้ว” ตอบแล้วท่านเจ้ากรมการเมืองก็ถอนหายใจยาว แววตาเขายามจ้องมองเธอ มีส่วนผสมของความเวทนาสงสารและความรักใคร่อยู่ในนั้น
“แต่...ดิฉันไม่มีเครื่องแต่งกายที่เหมาะสม” เธอบอกอย่างเศร้าสร้อย
“ท่านผู้หญิงจะช่วยดูแลเธอเอง”
“เรื่องจะให้ตัดเสื้อผ้าใหม่คงไม่ทัน” นายหญิงของคฤหาสน์บอกเสียงเรียบ “พริสซิลล่ากับแอนนาเบลมีเสื้อผ้าเหลือใช้เป็นกุรุส แต่ละชุดเคยใช้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เธอใส่ชุดไหนได้ก็ไปเลือกมาใส่ก็แล้วกัน”
“คราวหน้าเราจะจัดหาเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมให้เธอ” ขุนนางสูงวัยเอ่ยคล้ายต้องการปลอบใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันเป็นแค่ผู้ติดตาม ได้ใช้เสื้อผ้าสวยๆ ของท่านหญิงพริสซิลล่า กับท่านหญิงแอนนาเบลก็นับว่าดีมากแล้ว”
“ไม่สั่งให้จัดหาเครื่องประดับให้แม่นี่ซะด้วยเลยล่ะคะ” พริสซิลล่ากระแทกเสียงใส่อย่างหมั่นไส้ ว่าจบบุตรสาวคนโตของคฤหาสน์ ก็ดึงมือแอนนาเบลให้ลุกจากที่นั่ง “ถ้าคุณพ่อไม่มีธุระอื่นแล้ว ลูกกับน้องสาวก็ขอตัว” เจ้าหล่อนจิกตาใส่น้องต่างมารดาทิ้งท้าย
แม้จะรู้ดีว่าหลังจากนี้ พริสซิลล่า แอนนาเบล และเธลม่า แกรนเทรนท์ อาจหาเรื่องเสียดสีกลั่นแกล้งเธอ แต่อัยน์นากลับพึงพอใจมากกว่าหวาดกลัวหรือขุ่นเคือง
คนตื้นเขินก็คิดได้แต่เรื่องตื้นเขิน อยากทำร้ายคนอื่นแต่กลับทำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว...
ต่อให้เธอไม่ทำอะไรเลย คนทั้งสามก็จะทำลายชื่อเสียงตัวเองจนย่อยยับอยู่ดี
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”