รุ่งเช้าต้นยามเฉิน(07.00-08.59น.) หลังทุกคนรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว จึงมารวมตัวกันที่เรือนหลักในห้องตำราประจำตระกูล
“เอาละ หงเอ๋อร์หลานรู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันที่นี่” เว่ยซือหลิวถามหลานสาว
“เพราะพลังปราณของอาหงเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังฟังชัด
“ถูกต้อง ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือกับการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนด” เจ้าตัวน้อยฟังท่านปู่ของนางอย่างตั้งใจ
“ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อน แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะการที่พลังปราณของเจ้าตื่นก่อนกำหนดปะทุรุนแรงเกินไป ทำให้ตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจรวมถึงราชวงศ์ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว หงเอ๋อร์ รู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้รุนแรงและน่าตื่นตะลึงแค่ไหน”
“อาหงรู้เจ้าค่ะท่านปู่ ในเมื่อพวกเขารู้แล้วเราก็ไม่ต้องปิดหรอกเจ้าค่ะ”
“จริงอยู่ที่ไม่ต้องปิด แต่ลูกรักเจ้าฟังพ่อนะ ถึงพวกเขาจะรู้ว่าพลังปราณของเจ้าตื่นขึ้น ก็ใช่ว่าจะรู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเราต้องปกปิดเอาไว้บ้าง”
“พ่อของลูกพูดถูก ความจริงเราตั้งใจจะเปิดเผยพลังธาตุของลูกแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เราอยากถามความคิดเห็นของลูกก่อน ว่าลูกอยากเปิดเผยพลังธาตุใด เราจึงได้พาลูกมาปรึกษาหารือที่นี่ แต่...”
“แต่อะไรหรือเจ้าคะท่านแม่”
“แต่เพราะว่าเมื่อคืนเจ้าตื่นมาก็มีพลังปราณระดับเริ่มต้นขั้นต่ำ ทำให้เราทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกันว่า จะไม่เปิดเผยเรื่องระดับพลังของเจ้า แค่พลังปราณตื่นก่อนกำหนดก็น่าตกตะลึงมากพอแล้ว หากคนอื่นรู้เข้าว่าเจ้ามีพลังระดับเริ่มต้นขั้นต่ำ ยุทธภพได้วุ่นวายแน่” เว่ยซือหลางพูดกับน้องสาวแทนมารดา
เว่ยซือเหลียงจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “ถูกของพี่ใหญ่ อาหง เรื่องที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนดเช่นเจ้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราไม่รู้ว่าคลื่นใต้น้ำที่หลบในเงามืดมีกี่มากน้อย พวกเราจึงต้องหาทางป้องกันเพื่อให้เจ้าหลีกเลี่ยงกับอันตรายให้มากที่สุด”
“หลานรัก การที่พลังปราณของหลานตื่นก็ดี เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านพลังธาตุก็ดี แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ทุกคนลงความเห็นให้ปกปิดพลังของหลานเอาไว้ ไม่ใช่เพราะอิจฉาหลาน พวกเราทุกคนเป็นห่วงเจ้า ดังนั้นหลานรักของย่า เจ้าอย่าได้น้อยอกน้อยใจไปเลยนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเมื่อหลานรักของนางนิ่งฟังอย่างเงียบ ๆ เร่งอธิบายกลัวเจ้าตัวน้อยจะเข้าใจผิด
แต่พอทุุกคนได้ยินคำตอบของเทพธิดาตัวน้อยประจำจวนพลันยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกและเอ็นดู ดีใจที่เจ้าตัวเข้าใจอะไรได้ง่ายดาย
“อาหงไม่ได้น้อยใจเจ้าค่ะ อาหงแค่กำลังคิดว่าจะเปิดเผยว่าตนเองมีพลังธาตุธาตุใดดี”
“เอาละหลานปู่ เจ้าบอกปู่มาสิว่า เจ้าเลือกจะเปิดเผยธาตุใดเพราะเหตุใด”
เว่ยซือหงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “อาหงจะเปิดเผยสามธาตุเจ้าค่ะ ธาตุไฟ ธาตุพฤกษา และธาตุแสง”
“หนึ่งธาตุธรรมดา สองธาตุพิเศษ เหตุผลเล่า”
“เพราะอาหงต้องการเป็นนักปรุงโอสถและนักอักขระเจ้าค่ะท่านพ่อ รวมถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาหงก็คือ อาหงจะปลูกผัก!”
สมาชิกตระกูลเว่ยต่างตกใจกับความต้องการของนาง ดีใจที่นางรักความก้าวหน้าและแข็งแกร่ง แต่การฝึกฝนที่มากกว่าสองสายไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกคนจึงจะอธิบายให้นางเข้าใจถึงความยากลำบากการฝึกฝนแต่ละสาย แต่ถูกเว่ยซือหงพูดขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ว่าสมาชิกในตระกูลกำลังคิดสิ่งใด
“อาหงรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงเจ้าค่ะ อาหงรู้ว่าการฝึกฝนนั้นยากจะประสบผลสำเร็จโดยง่าย และไม่มีใครฝึกมากกว่าหนึ่งสายมาก่อน ทว่าอาหงอยากให้ทุกคนเชื่อใจว่าอาหงฝึกได้จริง ๆ”
“...”
“เชื่ออาหงเถอะนะเจ้าคะทุกคน อาหงฝึกได้แน่นอน อาหงอยากแข็งแกร่งด้านพลังยุทธ์เหมือนท่านปู่ท่านพ่อพี่ใหญ่พี่รอง อยากมีคนนับหน้าถือตาเช่นท่านย่าและท่านแม่ในฐานะนักอักขระและนักปรุงยา”
เจ้าตัวน้อยไม่พูดเปล่าแต่ยังแสดงสีหน้าออดอ้อนจนคนอื่น ๆ ใจเหลวไปตาม ๆ กัน อยากกล่าวห้ามก็พูดไม่ออกแล้วตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่พอนึกถึงความพิเศษที่มากด้วยพรสวรรค์ของหลานสาวจึงเก็บวาจาไป
ขนาดร่ำเรียนเขียนอ่านอาหงยังอ่านได้ตั้งแต่สามขวบ หากนางบอกว่าสามารถฝึกมากกว่าหนึ่งสายได้คงได้กระมัง เช่นไรตอนนี้นางก็อายุยังน้อย ให้นางได้เรียนรู้ด้วยตนเองไปก่อน หากนางฝึกไม่ได้จริงค่อยเคี่ยวเข็ญให้นางฝึกสายเดียวที่นางมีพรสวรรค์ที่สุดแล้วกัน เฮ้อ!
ทว่าสามีอย่างผู้เฒ่าเว่ยซือหลิวหาได้คิดเหมือนภรรยาคู่ชีวิตของตนไม่ เขามั่นใจและมีความเชื่อถือในตัวหลานสาวยิ่งว่านางสามารถฝึกฝนได้จริง ๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญมากด้วย
สมาชิกหลักตระกูลเว่ยมีด้วยกันเจ็ดคนรวมเขาด้วย ผู้ชายสี่คนของตระกูลต่างพากันทุ่มเทฝึกยุทธ์กันหมด ภรรยาของเขาเป็นนักอักขระ ลูกสะใภ้เป็นนักปรุงยา หากมีอัจฉริยะเพิ่มขึ้นในตระกูลไม่ว่าจะด้านใด ก็ส่งผลดีต่อตระกูลเว่ยของเขาทั้งนั้น อีกอย่างเจ้าตัวน้อยที่กำลังส่งสายตาวิบวับออดอ้อนก็น่ารักไม่หยอก ไหนเลยจะใจแข็งห้ามนางได้
“เอาละ เช่นนั้นตกลงตามนี้ ปู่จะเอาใจช่วยนะอาหง หลานสามารถมาฝึกพลังยุทธ์กับปู่ พ่อและพี่ใหญ่พี่รองของหลานได้ ส่วนด้านอักขระและโอสถนั้น หากหลานมีข้อสงสัยและไม่เข้าใจ สามารถปรึกษาท่านย่าและแม่ของหลานได้ เข้าใจหรือไม่ ไม่ว่าหลานจะเลือกทางใดพวกเราทุกคนจะสนับสนุนหลานต่อไป” เมื่อผู้เฒ่าเว่ยซือหลิวพูดเช่นนี้จึงไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาอีก ต่างคนต่างใช้ความคิด
คิดหนักหน่อยคงเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ เพราะการจะเป็นนักอักขระและนักปรุงยานั้นล้วนฝึกฝนได้ยากทั้งสิ้น พวกนางอยู่มาเกือบครึ่งค่อนชีวิต ยังเป็นได้แค่นักอักขระขั้นกลางและนักปรุงยาขั้นกลาง
เอาเถอะในเมื่อตัดสินใจแล้วมีแต่ต้องสนับสนุน
“อาหง ถึงหลานจะตัดสินใจเช่นนั้นแต่เราจะยังไม่เปิดเผยเส้นทางฝึกฝนที่หลานเลือกตกลงหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“หงเอ๋อร์ นับจากวันนี้ไปลูกจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน อำนาจทุกฝ่ายจะจับจ้องมาที่เจ้า ดังนั้นหากจะทำอะไรหลานต้องคิดให้รอบคอบ”
“อาหงเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านปู่” เจ้าตัวยิ้มแย้มรับคำ ดีใจที่ทุกคนไม่ห้ามที่นางเลือกฝึกฝนทั้งสามสายวิชา
“อาหงยื่นแหวนมาย่าจะให้กำไลปกปิดระดับพลังเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว ด้วยนักอักขระระดับกลางที่มีลมปราณระดับปราชญ์ขั้นต่ำ นางจึงลงอักขระปกปิดให้หลานสาวด้วยตนเอง
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านย่า” อาหงรับมาแล้วกล่าวสิ่งที่ทำให้สมาชิกตระกูลตกตะลึงอีกครั้ง “หลานจะเก็บรักษากำไลที่ท่านย่าให้ไว้อย่างดี เพราะหลานมีแหวนปกปิดพลังอยู่แล้ว”
สิ้นคำก็อวดแหวนหยกลงอักขระระดับเทพให้ทุกคนดู
“หลานได้มาจากไหน! ย่าจำได้ว่าย่าไม่เคยให้”
“ท่านตาเทพให้มาเจ้าค่ะ”
ถึงจะยังไม่บอกเรื่องมิติเพราะต้องการเก็บเป็นความลับไว้ก่อน เพื่อที่ตัวนางจะได้มีสถานที่สำหรับหลบซ่อนเวลาไม่อยากเรียนศาสตร์ศิลป์สตรีอย่างไรเล่า!
สมาชิกตระกูลเว่ยอยากถามถึงที่มาของแหวนหยกปกปิดพลังมากกว่านี้ แต่ก็จนใจ เพราะเจ้าตัวน้อยที่ชอบทำให้คนอื่นตกอกตกใจจงใจเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากตอบคำถาม
“วันนี้วันเกิดอาหง ทั้งยังเป็นวันเดียวกับเทศกาลหยวนเซียว ขออาหงไปเดินตลาดนะเจ้าคะ”
หลังออดอ้อนและพูดคุยทำความเข้าใจกันอยู่นานทุกคนก็พยักหน้าตกปากรับคำให้นางไปเดินตลาดโดยมีพี่ชายทั้งสองและสาวใช้คนสนิทไปด้วย
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“