“จริงสิ จดหมายที่หลินหว่านส่งมาให้ข้าเมื่อเช้าอยู่ไหนหรือ” เมื่อเช้ายังไม่ทันจะได้เปิดจดหมายของสหายอ่าน ท่านย่าดันเดินมาเห็นกิริยาไม่งามของนางเข้า จึงเป็นเหตุให้ถูกเคี่ยวกรำเพิ่งจะได้กลับมาพักนี่แหละ
“เดี๋ยวข้าหยิบมาให้เจ้าค่ะคุณหนู” หลิงอิงเดินไปหยิบจดหมายของคุณหนูจวนหลินมาส่งให้เว่ยซือหง
“ขอบใจเจ้าค่ะ” มือเล็กค่อนข้างอวบยื่นไปรับมาพร้อมคลี่จดหมายออกอ่าน เนื้อความบนกระดาษไม่มีอันใดมาก นอกจากการพร่ำบ่นของสหายที่ถูกครอบครัวเคี่ยวกรำให้เรียนและประพฤติตนตามหลักสตรีชนชั้นสูง
ซือหง ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่ ส่วนข้าไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ด้วยถูกท่านย่าเคี่ยวกรำศาตร์ศิลป์ทั้งสี่ ช่วงนี้ถูกบังคับให้เรียนฉินหนักมาก เจ็บนิ้วปวดแขนไปหมด ข้าไม่ชอบเลย ขอออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ กล่าวว่าสตรีในห้องหอไม่ควรเยี่ยมหน้าออกไปนอกจวนบ่อยนัก โธ่เอ๊ย ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ข้าไม่ได้ทำอันใดเสียหายสักหน่อย เจ้าบอกข้าเองไม่ใช่หรือ ว่าวัยอย่างพวกเราควรเล่นและกินให้เต็มที่ โตกว่านี้ก็ทำเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่เจ้าดูข้าสิ ข้าสิบขวบเองนะ สิบขวบ!
ซือหงเจ้าเห็นใจสหายอย่างข้าใช่หรือไม่ เจ้าไม่คิดว่าข้าน่าสงสารหรือ ข้ารู้สึกเหมือนปลาขาดน้ำเลย ข้ากำลังจะตาย สหายรักได้โปรดช่วยข้าด้วย เขียนจดหมายส่งเทียบเชิญนัดข้าไปเที่ยวสักวัน ไม่เช่นนั้นข้าตายจริง ๆ แน่ อย่าลืมเล่าซือหง ข้าจะรอ
หลินหว่าน
ทันทีที่อ่านเนื้อความในจดหมายจบ มุมปากได้รูปพลันยกยิ้ม ดูเหมือนจะไม่ใช่นางคนเดียวที่ถูกท่านย่าฝึกสอน เช่นนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
เว่ยซือหงค่อย ๆ พับจดหมายของสหายเก็บเข้ากล่องอย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งหยิบกระดาษแผ่นใหม่และหมึกขึ้นมาฝน ฝนจนได้ที่พู่กันขนาดเหมาะมือพลันจรดลงบนแผ่นกระดาษว่างเปล่า ตามความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของ
เขียนเนื้อความตอบกลับสหายเสร็จรอจนหมึกแห้งดีก็พับจดหมายแล้วยื่นให้หลิงอิง
“ข้ารบกวนพี่หลิงอิงนำไปส่งให้หลินหว่านทีนะเจ้าคะ”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“พี่หลิงจูประเดี๋ยวเตรียมชุดไปเดินตลาดไว้ให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะไปเที่ยวเล่นกับสหายสักหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูมีชุดที่ต้องการพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าขอสีเขียวอ่อนแล้วกันนะ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากตอบจดหมายของสหายแล้ว เว่ยซือหงไปพักผ่อนยังศาลากลางสวนที่ตอนนี้มีพรรณไม้ดอกไม้ประดับปลูกเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็จรรโลงตา เหลียวมองสระน้ำจำลองขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ภายในสระมีปลาหลีสีแดงและสีทองเวียนว่ายไปมาดูมีชีวิตชีวายิ่ง
สระน้ำจำลองนี้ตระกูลเว่ยสร้างขึ้นมาภายหลังตามความต้องการของทายาทหญิงเพียงคนเดียว หลังสร้างเสร็จแต่เดิมที่เว่ยซือหงชอบไปนั่งพักผ่อนที่หลังเรือนตัวเองเพราะผักปราณเขียวชอุ่มเรียกความสดชื่น ก็กลายมาเป็นว่าชอบศาลากลางสวนยิ่งกว่า เพียงมองปลาหลีแหวกว่ายนางก็มีความสุขแล้ว ยิ่งตอนพวกมันกระโดดเพราะนางนำน้ำพลังปราณหยดลงไปในสระยิ่งมีความสุขมาก
ไม่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ชอบพักผ่อนยังศาลานี้ คนอื่น ๆ ในจวนต่างได้รับอิทธิพลความชื่นชอบของนางไปไม่น้อยเช่นกัน
“ฟานสือหลิวเจ้าค่ะคุณหนู” หลิงจูเอ่ยขัดบรรยากาศเงียบสงบของเจ้านาย นางมาพร้อมจานฝรั่งผลไม้ปราณชนิดล่าสุดที่ไร่ตระกูลเว่ยเพิ่งได้พันธุ์มาเพาะปลูก และวางจำหน่ายไปไม่นานมานี้
“ขอบคุณพี่หลิงจู กินด้วยกันสิเจ้าคะ”
ดูเอาเถอะจะมีเจ้านายจวนใดใจดีใจกว้างกับบ่าวไพร่ได้มากถึงเพียงนี้ ผักผลไม้ปราณที่ว่าแพงหาได้ยาก บรรดาเจ้านายยังยินดีแบ่งปันให้คนในจวน บ่าวทาสตลอดบนลงล่างพลอยได้รับอานิสงส์อย่างถ้วนทั่ว หลิงจูยิ่งคิดยิ่งภูมิใจที่ได้รับใช้คุณหนูตัวน้อยและตระกูลเว่ย
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู แต่ของบ่าวมีอยู่แล้ว เชิญคุณหนูตามสบายเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยซือหงเพียงยิ้มพร้อมหยิบฝรั่งที่ถูกปอกและหั่นชิ้นพอดีคำเข้าปาก ไม่นานหลิงอิงก็กลับมาจากการส่งจดหมาย
“พวกพี่ทั้งสองมีพลังปราณอยู่ในระดับแม่ทัพขั้นสูงแล้วสินะเจ้าคะ อีกไม่นานคงเลื่อนขั้นข้ามระดับเดิมได้แล้ว ยินดีกับพวกพี่ทั้งสองล่วงหน้าแล้ว” เอ่ยขึ้นหลังประเมินพลังของคนสนิททั้งสองแล้ว
“ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคุณหนูและนายท่านนายหญิงทุกคนนั่นแหละเจ้าค่ะ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกท่าน ไหนเลยบ่าวอย่างพวกข้าจะมีโอกาสเป็นผู้ฝึกปราณ และมีระดับพลังสูงถึงเพียงนี้” หลิงอิงเป็นคนเอ่ย นางซาบซึ้งในพระคุณของตระกูลเว่ยทุกคนยิ่งนัก ไม่เพียงไม่กดขี่บ่าวทาสในจวนแล้วยังให้การสนับสนุนทุกคนที่มีความสนใจฝึกปราณอีก ความเป็นอยู่ก็ดีเสียยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไป ไม่รู้พวกตนเคยกู้ชาติมาหรืออย่างไร ชาตินี้จึงได้พบเจอเจ้านายที่มีเมตตาเช่นนี้
“พี่หลิงอิงพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวขอบคุณคุณหนูมากนะเจ้าคะ ที่เลือกให้พวกข้าพี่น้องเป็นคนสนิท”
สายตาไม่พอใจถูกส่งไปยังคนสนิททั้งสอง เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน “ข้าบอกแล้วเช่นไรว่าเวลาพูดกับข้าไม่ให้แทนตนเองว่าบ่าว ข้านับถือพวกพี่สองคนเหมือนดั่งพี่น้อง แล้วอีกอย่างพวกท่านอยู่กับข้าตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อถึงเวลาเลือกผู้ติดตามข้าจะไม่เลือกพวกท่านได้เช่นไร”
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู ข้าทั้งสองจะไม่ลืมอีกแล้ว”
“ช่างเถอะ จะข้าจะบ่าวความรู้สึกข้าที่มีต่อพวกท่านก็ไม่เปลี่ยน อยากจะเรียกอย่างไรก็เรียก ตามแต่ใจต้องการเลย”
“คุณหนู”
“ไม่ต้องมาโอดครวญ ถึงมันจะขัดใจอยู่บ้างแต่ข้าก็ไม่ได้โกรธเสียหน่อย”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงส่ายหน้าพลางยิ้มบาง ๆ ทว่าก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ น้ำเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมาตลอดหกเดือนพลันแทรกขึ้นมา
“แกล้งอะไรสาวใช้ทั้งสองอีกเจ้าตัวแสบ”
“พี่ใหญ่พี่รอง!” ร้องเรียกพี่ชายทั้งสองเสียงดังทั้งยังผุดลุกยืนวิ่งออกไปจับมือทั้งสองเข้ามายังศาลาอย่างรวดเร็ว
แววตาเว่ยซือหงเปล่งประกายทั้งตื่นเต้นยินดี นางมองสำรวจพี่ชายทั้งสองอย่างช้า ๆ เมื่อไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บค่อยโล่งใจ ไม่ลืมสำรวจพลังของพวกเขาอีกด้วย ก่อนสีหน้าภาคภูมิใจจะปรากฏบนใบหน้าของนาง
“เจ้าเด็กแก่แดด มัวคิดอะไรอยู่ทำไมไม่ตอบพี่รอง” เว่ยซือเหลียงที่แม้จะเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาพยัคฆ์ทมิฬเหมือนพี่ชายไปแล้วสามปี ปัจจุบันมีอายุ 17 ปี ก็ยังคงความร่าเริงและขี้แกล้งเช่นเดิม เขายีหัวน้องสาวจนผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด
“ปล่อยอาหงเดี๋ยวนี้นะพี่รอง”
“เรื่องอะไรพี่จะปล่อยเด็กแสบเช่นเจ้า ว่าอย่างไรแกล้งอะไรหลิงจูกับหลิงอิงอีก”
“อาหงไม่ได้แกล้งสักหน่อย พี่รองจะปล่อยหรือไม่” เว่ยซือเหลียงดึงหน้ายียวนน้องสาว เว่ยซือหงสะบัดหน้าใส่พี่ชายคนรองหันไปออดอ้อนพี่ชายคนโต
“พี่ใหญ่ดูพี่รองสิเจ้าคะ พี่รองรังแกอาหง”
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ