จ๊วบๆๆๆ
“แน่ะ มีเสียงซะด้วย” ธัศไนยหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี มือยังคงโอบอุ้มร่างน้อยไว้ในวงแขนโดยมีประภาพิณคอยถือขวดนมให้
“นี่คุณคะ” เสียงเรียบๆที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไร”
“ฉันทิ้งร้านดอกไม้ไปไม่ได้หรอกนะคะ”
“…” ธัศไนยก้มลงมองเมธากรอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตาใสพร้อมพูดออกมาว่า
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ คุณเปิดร้านตามปกติก็ได้ เดี๋ยวผมกับเจ้าเมไปอยู่ที่ร้านคุณด้วย พอตอนกลางคืนคุณก็มาอยู่ที่บ้านผม เคมะ”
“อะไรนะ” ประภาพิณเบิกตากว้างจนแทบจะถลนอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ในขณะที่ชายหนุ่มทำหน้ายิ้มกริ่ม
“ยังสาวยังแส้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะหูตึง”
“ฉันไม่ได้หูตึง” หญิงสาวตวาดแหว “ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะเสนอความคิดแบบนี้ต่างหาก”
“แล้วทำไมล่ะ ความคิดของผมมันไม่ดีเหรอไง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเป็นเชิงถาม ตาคมมองประภาพิณที่ยกมือข้างที่ว่างมาลูบคางตัวเองไปมาอย่างครุ่นคิด
ถ้าหากว่าเธอยอมทำตามข้อเสนอของเขา เธอก็จะได้เปิดร้านขายดอกไม้ตามปกติ แถมยังได้ใช้หนี้ให้เขาด้วย นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกอีแร้งสองตัวเลยจริงๆ
“ก็ได้ค่ะ” ประภาพิณพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะถามเขาว่า
“แล้วคุณไม่ทำงานทำการเหรอคะ ถึงจะไปอยู่ที่ร้านดอกไม้กับฉันด้วย คุณฝากเด็กไว้ที่ฉันก็ได้ค่ะ”
“ผมไม่ได้ทำงานที่ต้องอยู่กับบริษัทหรอก ผมเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์เด็กม.ปลาย แต่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม แล้วผมเองก็ตัดเกรดเด็กเสร็จแล้ว” เขาบอก ในขณะที่ประภาพิณเบิกตากว้าง
“คุณนี่นะเป็นอาจารย์”
“ทำไม ผมดูไม่เหมือนอาจารย์เหรอไง ทำเหมือนไม่เชื่อกันเลยนะ”
“ดูไม่เหมือนก็ตรงหนวดคุณนี่แหละค่ะ”
“หนวดผมงามล่ะสิ เลี้ยงไว้ตั้งนานกว่ามันจะยาวขนาดนี้” เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ
“ฉันไม่ชอบคนมีหนวดค่ะ”
“ไมอ่ะ” เขาหันมาถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้ค่ะ เป็นความรู้สึกส่วนตัว” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆก่อนจะอมยิ้มออกมาเมื่อเด็กชายหลับไปแล้วเรียบร้อย เธอค่อยๆดึงขวดนมออกก่อนจะเป็นคนอุ้มเมธากรเอาไว้เอง
“ผมยังไม่รู้เลยนะว่าคุณชื่อเล่นว่าอะไร” เขามองเธอวางหลานเขาลงบนเปลเด็กพร้อมกับถามออกมา
“แฟน” หญิงสาวตอบสั้นๆ
“ฮ๊ะ!”
“อะไรล่ะ” เธอหันมาถามพร้อมไกวเปลเบาๆ
“คุณชื่อว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัด”
“แฟน”
“แฟน?”
“ใช่” หญิงสาวพยักหน้ารับ
“คุณชื่อเล่นว่าแฟนเหรอ”
“ค่ะ มีแต่พ่อแม่ฉันนั่นแหละที่เรียกฉันว่าแฟน ส่วนเพื่อนๆหรือคนอื่นๆก็เรียกฉันว่าพิณ มาจากชื่อประภาพิณของฉัน”
“อ๋อ” ธัศไนยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินมาหยุดยืนซ้อนหลังหญิงสาวพร้อมหลุบตาลงมองเมธากรที่หลับปุ๋ยอยู่บนเปลใหญ่ด้วยสายตาระอา
“แล้วคุณล่ะคะ ชื่อเล่นว่าอะไร” ประภาพิณหันมาถามเขาก่อนจะอุทานออกมาเบาๆเมื่อหันมาเจอชายหนุ่มในระยะประชั้นชิดเข้าพอดี
“อุ้ย!” เธออุทานเบาๆอย่างตกใจ ในขณะที่มือใหญ่จับต้นแขนเธอรั้งเอาไว้ ดวงตาคู่คมมีแววประหลาดผ่านเข้ามาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เอ๊ะ แล้วนี่เธอตาฝาดไปหรือเปล่า ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นรอยแดงๆฉาบขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างของเขานะ
“คุณเป็นไข้หรือเปล่าคะ” มือเรียวยกขึ้นมาอังที่หน้าผากเขา เล่นเอาชายหนุ่มรีบผงะถอยหลังพร้อมกับปล่อยมือออกจากต้นแขนเธออย่างรวดเร็ว
“เอ่อ เปล่า ผมสบายดี”
“จริงเหรอคะ ทำไมหน้าคุณแดงๆ” หญิงสาวยังไม่หายสงสัย
“ผมร้อน”
“แต่ฉันว่าในบ้านคุณอากาศเย็นสบายนะ”
“เอ๊ะ ก็ผมเป็นคนขี้ร้อนอ่ะ ขี้ร้อนมากด้วย คุณได้ยินมั้ย” เขาเริ่มขึ้นเสียงดังอย่างหงุดหงิดเหมือนคนที่มีอะไรปิดบังอยู่ในใจ
“เหรออออคะ” ประภาพิณลากเสียงยาวเหมือนไม่เชื่อ ทำเอาธัศไนยฟิวส์ขาด
“คุณทำเสียงแบบนี้แสดงว่าคุณไม่เชื่อผมใช่มั้ย ฮ๊ะ!! ผมบอกแล้วไงว่าร้อนๆๆๆ ร้อนวูบวาบไปหมดแล้วเนี่ย” เขาโวยวายก่อนจะถอดเสื้อยืดออกเพื่อยืนยันกับเธอว่าเขา‘ร้อน’จริงๆ
“ว้าย!” ประภาพิณรีบยกมือขึ้นปิดตาทันทีพร้อมกับพูดเสียงสั่นว่า
“ไม่เห็นจะต้องถอดเสื้อเลยนี่คะ”
“ก็คุณทำเหมือนไม่เชื่อว่าผมร้อนจริงๆ”
“อีตานิสัยประหลาด” หญิงสาวบ่นอุบอิบ ก่อนจะอุทานออกมาอีกครั้งเมื่อมือร้อนๆจับข้อมือเธอออกจากการปิดตา
“ว้าย!”
“คุณ!!” อยู่ๆชายหนุ่มหน้าโหดก็หรี่ตาลงพร้อมกับเรียกเธอเสียงเข้ม ทำเอาประภาพิณสะดุ้งเฮือก
“อะ อะไรคะ”
“ผม…”
“มีอะไรก็พูดมาสิ” หญิงสาวพูดออกมาด้วยเสียงติดจะขัดๆ รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อสายตามองเรื่อยจากลำคอแข็งแรงจนมาถึงบ่ากว้าง แผงอกหนั่นแน่นที่มีไรขนอ่อนๆเห็นเป็นทิวระลงมาจนถึงหน้าท้องและหายลับไปในขอบกางเกง
“อย่าจ้องนมผมนักสิ”
“อีตาทุเรศ ใครจะไปอยากดูนมคุณกัน” ประภาพิณสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง ในขณะที่ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกแล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้ๆเธอขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ
“จะเดินเข้ามาทำไม ออกไปห่างๆเลยนะ” หญิงสาวก้าวถอยหลังหนีเขาจนแผ่นหลังชิดติดกับผนังห้องที่ทาสีฟ้าสดใสผิดกับท่าทางโหดๆของเจ้าของบ้านเสียลิบลับ
“คุณแฟน” เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงกริ่มๆจนหญิงสาวชักจะรู้สึกแปลกๆปนขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก แต่หน้าก็ยังคงเชิดเอาไว้อย่างหยิ่งๆ
“อะไรคะ”
“คือว่าผม”
“มีอะไรก็พูดมาสิ อย่ามัวอ้ำอึ้ง” เธอพูดเสียงสะบัดๆ ในขณะที่แขนแข็งแรงยกขึ้นมาท้าวผนังห้องข้างๆเธอเอาไว้ ใบหน้าคมก้มลงต่ำเรื่อยๆจนลมหายใจร้อนๆเป่าอยู่แถวๆหน้าผากมน
“ผม”
“ผมเป็นรังแคเหรอไง” หญิงสาวพูดติดตลก แค่เขากลับตีหน้าเคร่งอย่างไม่รับมุก
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ ผมไม่มีอารมณ์ขัน”
“คนหน้าโหดๆอย่างคุณจะยิ้มเป็นด้วยเหรอ เมื่อไหร่จะมีอารมณ์ขันล่ะคะ” เธอถามกระเซ้า ทั้งๆที่ใจเต้นโครมครามเพราะอยู่ใกล้ชิดเขาถึงขนาดนี้
“เหนื่อยมั้ยคะ”เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะตอบเสียงเศร้าๆว่า“ไม่เหนื่อยหรอก ไอ้เอกมันติดยาน่ะ”“อะไรนะคะ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ “ทำไมพี่เอกเขาถึงได้…”“เขาสารภาพออกมาหมดแล้วว่าแวววรรณกลับมาขอคืนดีกับเขาแล้วก็ทิ้งเขาไปอีกครั้ง เขาเลยทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง ตอนนั้นมีคนมาเสนอยาบ้าให้เขา เขาเลยลองกินดูเพราะคิดว่าคงไม่ติด แต่ที่ไหนได้…เขาดันติดงอมแงม แล้วเรื่องที่เขามาปล้ำคุณน่ะ เพราะแววจ้างเขาด้วยยาบ้ายี่สิบเม็ดน่ะ”“ตายจริง…ไม่น่าเลยนะ เพราะยาบ้าแท้ๆ” หญิงสาวทำเสียงสลด“ตอนนี้ตำรวจเขาก็ไปจับแววแล้ว เพราะแววเป็นคนบงการ แถมยังมียาบ้าไว้ในครอบครองอีกหลายเม็ด คนรักของแววคนล่าสุดก็ตีตัวออกห่างไปแล้วพอรู้ว่าแววโดนตำรวจจับน่ะ”“เฮ้อ” ประภาพิณถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ ในขณะที่มือใหญ่จับคางเธอให้แหงนหน้าขึ้น“ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมขอจูบทีหนึ่งได้มั้ย” เขาขออนุญาต ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรออกมา ริมฝีปากร้อนๆก็แนบประกบเข้าที่เรียวปากอิ่มอย่างแผ่วเบาและเว้าวอน“แฟนรักคุณนะคะ” เธอบอกเมื่อเขาถอนจุมพิตออก ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วรั้งต้นแขนเธอให้ลุกขึ้นด้วย“พอผมไปแล้ว อย่าลืมลงกลอนให้แน่นหนานะ แล้วพ
เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าสักวันพีระดาจะต้องรักภีรวัทน์ และก็เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆว่าพีระดาคิดจะล้อล่นกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไงล่ะ...ผลสุดท้ายก็ต้องมารักเขาเพราะความใกล้ชิด แต่เธอคิดว่าพีระดากับภีรวัทน์ก็ดูเหมาะสมกันดี ที่สำคัญ..ในวันแต่งงาน เธอดูออกว่าภีรวัทน์แคร์เพื่อนสาวของเธอมากขนาดไหน บางที...ภีรวัทน์อาจจะรู้สึกเดียวกันกับพีระดาในตอนนี้ก็ได้//ฮือๆๆ// พีระดาไม่ตอบ มีแต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วมาทางสายโทรศัพท์จนประภาพิณชักจะเริ่มรู้สึกหนักใจแทน“งั้นอีก1ปีแกก็ต้องเลิกกับเขาน่ะสิ แกควรจะบอกเขาไปตรงๆเลยนะว่าแกรู้สึกยังไงกับเขา อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆไม่งั้นแกอาจจะต้องเสียใจ”//เขาไม่ยอมทำตามสัญญา// พีระดาพูดด้วยเสียงสะอึกๆ เสียงสูดจมูกดังฟืดฟาดชวนให้นึกเวทนา“ห๋า ไม่ทำตามสัญญา”//ใช่ ไม่ทำตามสัญญา เขาฉีกสัญญาทิ้ง บอกว่าจะให้ฉันอยู่กับเขาต่อไป//“งั้นแกก็ควรจะดีใจสิที่เขาอยากอยู่กับแก แกจะมาร้องไห้คร่ำครวญเพื่อ?”//เขาแค่หวงฉัน ไม่ใช่ว่ารักถึงได้หวงนะ แต่เป็นเพราะ...เขาเห็นฉันเป็นแค่ของชิ้นหนึ่ง ไม่อยากให้ฉันไปตกเป็นของคนอื่น ความสำคัญของฉันมีแค่นี้จริงๆ//“เ
โครม!บานประตูห้องนอนถูกถีบออกอย่างแรงก่อนที่คอเสื้อของอเนกจะโดนมือใครคนหนึ่งลากขึ้นมาจากร่างงามที่เขากำลังจะหาความสุขด้วยยังไม่ทันที่อเนกจะได้เห็นหน้าคนที่กล้ามาคว้าคอเสื้อเขา หมัดหนักๆก็ถูกต่อยเข้ามาที่ใบหน้าอย่างแรงจนร่างผอมบางเซแซ่ดๆไปปะทะกับผนังห้อง“คุณธัศ ช่วยแฟนด้วย” ประภาพิณพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังจุกอยู่ที่ท้องน้อยตาคู่คมตวัดมามองประภาพิณชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะยกเข่ากระแทกที่ท้องของอเนกอย่างเดือดดาล พร้อมกับศอกที่กระแทกเข้าที่ศีรษะอเนกอย่างจัง“เมื่อก่อนฉันเห็นนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่มาวันนี้…นายกลับมาปล้ำแฟนฉัน ฉันไม่ปล่อยให้นายรอดแน่ เอก”น้ำเสียงนี้อเนกจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร…ชายหนุ่มค่อยๆทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นในสภาพหมดหนทางต่อสู้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาของอาจารย์วิทยาศาตร์ที่กำลังมองเขาอย่างบูดบึ้ง“อะ ไอ้ธัศ”“เออ ฉันเอง ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ” ธัศไนยถามเสียงตะคอก ก่อนจะหันไปทางประภาพิณที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง“คุณแฟน โทรหาตำรวจ”“แต่ว่าเขาเป็นเพื่อนคุณ”“ผมบอกให้โทรก็โทรไปสิ” ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง เล่นเอาหญิงสาวต้อง
16.42น.“แฟนจ๋า เราจะมีลูกด้วยกันกี่คนดีครับ” ธัศไนยนั่งสวีตหวานอยู่กับประภาพิณในร้าน beautiful flower มือใหญ่จับกุมมือบางแล้วใช้หัวนิ้วโป้งคลึงหลังมือเธอเบาๆ ตาคมหวานเชื่อมมองหญิงสาวอย่างแสนรัก“สองคนดีมั้ยคะ”“จะดีเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เห็นด้วย“ทำไมจะไม่ดีล่ะค่ะ ผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน”“แต่ผมว่ามีลูกสักโหลนึงเลยก็ดีนะครับ” เขารั้งร่างบางมาพิงอกกว้างพร้อมจูบขมับหญิงสาวเบาๆ“โห ตั้งโหลนึงเชียวเหรอคะ เยอะเกินไปหรือเปล่า แฟนไม่ไหวหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าหวือ พูดอู้อี้“แต่ผมทำไหวนะ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เธอต้องเงยหน้าออกจากอกหนาแล้วขว้างค้อนใส่เขาอย่างมีจริต“มีโหลนึง คุณคงจนกันพอดี”“ไม่จนหรอกน่า อย่างน้อยผมก็มีเงินเลี้ยงคุณและลูกให้มีความสุขได้ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีทางปล่อยให้คุณลำบากแน่ๆ” เขาพูดเสียงหนักแน่น“เซี้ยว”“เซี้ยวที่ไหน ผมพูดตามความเป็นจริงนะ แต่ผมจอให้คุณสัญญากับผมสักข้อได้มั้ยครับคุณแฟน” เขาเอ่ยขอเสียงนุ่ม“ขออะไรคะ”“ถ้าแต่งงานกับผมแล้ว คุณห้ามมีสามีน้อยโดยเด็ดขาด”“อีตาบ้า ใครเขาจะมีสามีน้อยกัน” เธอหยิกหน้าอกเขาแรงๆจนชายหนุ่มร้องลั่น ก่อนที่หน้าคมจะตีหน
ทันทีที่อเนกกลับถึงบ้าน เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นรถคันหรูมาจอดอยู่หน้าประตูบ้านของเขา ก่อนที่คนในรถจะเปิดประตูออกมา“แวว…” อเนกเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว มองหน้าสะสวยที่มีแว่นสีดำอันใหญ่ปกปิดอยู่อย่างเจ็บปวด“ใช่ค่ะ ขอบคุณที่ยังจำแววได้” แวววรรณเหยียดปากอย่างเยาะหยัน กวาดตามองอเนกอย่างสมเพซ“ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนี่ครับ จะได้ลืมอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนคุณหรอก พูดอะไรก็ลืม…”“ตายจริง นี่คุณหลอกด่าแววเหรอคะ” แวววรรณยกมือทาบอกอย่างมีจริต“แล้วแววเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าล่ะครับ” ย้อนถามอย่างเจ็บแสบแต่แวววรรณไม่อยากถือสา เพราะ…ความแค้นที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันสำคัญมากกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับอดีตคู่นอนอย่างเขา“วันนี้แววมีเรื่องจะมาคุยกับคุณค่ะ”“นั่นสินะ ถ้าไม่มีธุระ คุณคงไม่มาหาผมหรอก”“คุณเลิกด่าแววสักทีได้มั้ยคะ” แวววรรณเริ่มขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ“ผมไม่ได้ด่า ผมพูดความจริง”“ความจริงของคุณ แววไม่อยากฟัง”“ ถอยไป ผมจะเข้าบ้าน” อเนกผลักร่างอวบอิ่มที่เขาเคยหลงใหลในอดีตให้พ้นทางพร้อมกับไขกุญแจประตูบ้านแล้วเปิดออก“แต่แววมั่นใจว่าคุณจะต้องสนใจในสิ่งที่แววมาเสนอ” แวววรรณเดินตามเขาเข้าไปในบ้า
“ว้าย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะคุณธัศ”“ไม่เอา ผมคิดถึงคุณจะแย่ รู้มั้ย?”“ฉันจะกลับแล้วนะคะ มันมืดแล้ว คุณไม่เห็นเหรอไง”“คุณนอนที่นี่ก็ได้นี่นา” เขาทำเสียงออดอย่างเอาแต่ใจ“ไม่ได้แล้วค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กเหมือนเคย จะให้มาอยู่ที่บ้านคุณได้ไง เห็นฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเหรอคะ”ได้ฟังประโยคนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน“โอเคๆ ผมยอมก็ได้ แต่ว่าคุณต้อง…” เขาเริ่มมีเงื่อนไขเล่นเอาประภาพิณต้องถามกลับอย่างหวาดระแวง“แต่ว่าอะไรคะ” เธอช้อนตาขึ้นมองเขา“แต่ว่า…จูบผมก่อนสิ แล้วจะปล่อย”“ไม่เอาหรอก ตาบ้า” เธอเบือนหน้าไปอีกทางอย่างขัดเขิน“ก็ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่นา แค่จูบเองนะ นะครับ” เขาอ้อนเสียงอ่อน ตาคู่คมพราวระยับจนหญิงสาวใจอ่อนยวบ“ก็ได้ค่ะ” เธอพูดพร้อมโน้มต้นคอเขาให้ก้มลงต่ำมากขึ้นแล้วยกศีรษะขึ้นจุมพิตปากเขาเบาๆแล้วรีบถอยหน้าออกห่าง“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”“เดี๋ยวสิ เรียกตัวเองว่าแฟนก่อน” เขายังมีเงื่อนไขอีกข้อ ทำเอาหญิงสาวตีหน้าบูด“เอาน่า อย่าหน้างอสิครับ น่านะ เรียกตัวเองว่าแฟน ผมว่ามันฟังดูน่ารักดีออกนะ” เขาก้มหน้าลงพูดใกล้ๆเธอโดยไม่สนใจสักนิดว่าร่างบางที่เข