ในยามเช้าของสวนรัตติกาล แสงอาทิตย์แรกแย้มอาบไล้ไปตามพื้นดิน เคลยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าหลุมศพสองหลุม หลุมหนึ่งคือหลุมของราชินีโรซาลี และอีกหลุมคือพ่อของเขา อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นทั้งผู้นำและผู้เสียสละชีวิตเพื่อหน้าที่
เขาก้มมองแผ่นจารึกของราชินีโรซาลี แผ่นจารึกที่บันทึกความรัก ความเสียสละ และความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมเลือน สายตาของเคลเต็มไปด้วยความเศร้า
“ฝ่าบาท...” เขากระซิบเสียงเบา ราวกับไม่ต้องการให้เสียงนั้นรบกวนความสงบของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “ผมทำทุกอย่างเพื่อสวน เพื่อเจ้าชาย แต่ตอนนี้...ผมไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำถูกไหม”
เขาหันไปมองหลุมศพของพ่อ ราวกับจะขอคำตอบจากใครสักคน “พ่อ...ท่านเคยบอกผมว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเสียสละ แต่ตอนนี้ผมสงสัย...ว่ามันคือการเสียสละทุกอย่างจริงหรือ? แล้วผมจะเสียสละหัวใจตัวเองเพื่อหน้าที่นี้ได้จริงหรือ?”
เคลเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าสางเป็นทองแดง ความทรงจำในวัยเด็กหมุนวนในหัว ราวกับคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่ง เขาจำได้ถึงดวงตาสีสดใสของรินในวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เด็กชายตัวเล็กที่วิ่งเล่นในสวน ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
แต่เขาก็จำได้ชัดเจนถึงวันที่ฝ่าบาททรงจากไป วันที่สวนกลายเป็นเงามืด เขายังจำได้ถึงคำพูดสุดท้ายของพ่อที่กำชับเขาให้ปกป้องสวนและตามหาเจ้าชาย
“เคล เจ้าคือดาบของสวน จงเป็นผู้ปกป้องสวนและเจ้าชายคนที่จะนำสวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
ตอนนี้ รินคือคนคนนั้น คนที่เขาต้องปกป้อง แต่รินก็ไม่ใช่แค่เจ้าชายสำหรับเขาอีกต่อไป เคลรู้สึกหนักอึ้งในใจ ความคิดวิ่งวุ่นยุ่งเหยิง
“ฝ่าบาท...พ่อ...” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมทำได้ดีหรือยัง? ผมทำตามหน้าที่ที่ได้รับมาแล้วหรือยัง? แต่ถ้าผมบอกว่าผมรักริน ไม่ใช่แค่ในฐานะคนที่ต้องปกป้อง แต่ในฐานะคนคนหนึ่งที่หัวใจของผมอยากปกป้องไปตลอดชีวิต...มันผิดไหม?”
เขาหลับตาแน่น ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาในใจราวกับหนามแหลมแทงเข้า “ผมไม่อยากเป็นแค่ผู้พิทักษ์ ผมอยากเป็นคนที่รินสามารถพึ่งพาได้ ผมอยากเป็นคนที่รินรักเหมือนที่ผมรักเขา”
เย็นวันนั้น สวนรัตติกาลที่กำลังสะท้อนกับแสงสีทองอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า เอร่าก้าวเข้ามาในลานสวนที่เคลกำลังจัดระเบียบอาวุธของเขา ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่เขาใช้หลีกเลี่ยงสายตาของริน
“เคล” เอร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจและจริงจัง ผิดจากปกติที่มักจะล้อเลียนอยู่เสมอ “นายมีอะไรในใจหรือเปล่า?”
เคลชะงักเล็กน้อย มือที่กำลังขัดดาบหยุดชั่วคราว แต่เขายังไม่เงยหน้าขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก”
“อย่ามาโกหก!” เอร่ากล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ “ตั้งแต่รินได้ความทรงจำกลับคืน นายก็ไม่เหมือนเดิม นายหลบหน้าเขา นายเว้นระยะห่าง และตอนนี้รินเองก็เริ่มรู้สึกแล้ว นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
เคลถอนหายใจเฮือกใหญ่ วางดาบลงช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท “ฉันแค่...มันซับซ้อน เอร่า ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไงดี”
“ซับซ้อนยังไง? เพราะรินเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ? หรือเพราะนายคิดว่าหน้าที่ของนายมันขัดกับความรู้สึกในหัวใจ?” เอร่าขมวดคิ้วแน่น
เคลเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ใช่...เพราะเขาเป็นเจ้าชาย และฉันเป็นแค่อัศวิน คนที่ต้องปกป้องเขา ไม่ใช่รักเขาแบบนี้ ฉันกลัวว่าถ้าฉันทำตามหัวใจ ทุกอย่างที่ฉันสัญญาไว้กับพ่อ กับฝ่าบาท...มันจะกลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว”
เอร่าหัวเราะเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ปนด้วยความหงุดหงิด “เห็นแก่ตัว? เคล นายฟังตัวเองพูดไหม? นายกำลังใช้เหตุผลพวกนั้นเพื่อหนีจากความรู้สึกของตัวเอง นายรักรินไหม?”
เคลมองเอร่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง “ฉันรักเขา...รักมากจนไม่รู้ว่าความรักนี้จะทำร้ายเขาหรือเปล่า”
เอร่าส่ายหน้า เดินไปวางมือบนไหล่ของเคล “นายมันโง่จริง ๆ เคล รินไม่ได้ต้องการแค่การปกป้องจากนาย เขาต้องการนายในฐานะคนที่อยู่เคียงข้างเขา ในฐานะคนที่เขาไว้ใจได้ นายรู้ไหมว่าตอนนี้เขากำลังเจ็บปวด เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงเปลี่ยนไป”
เอร่าหายใจลึกก่อนจะพูดต่อ “เคล ถ้านายยังมัวแต่คิดแบบนี้ นายอาจจะเสียรินไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักนาย แต่เพราะนายผลักเขาออกไปเอง ฉันไม่รู้หรอกว่าความรักที่นายมีให้เขามันจะไปไกลแค่ไหน แต่นายต้องเริ่มจากการไม่ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว นั่นคือสิ่งที่นายควรทำ”
เคลมองหน้าเอร่า คำพูดของเพื่อนดังสะท้อนในหัว ราวกับเป็นระฆังที่ปลุกให้เขาตื่นจากความคิดที่วุ่นวาย
“ฉัน...” เคลเริ่มพูด แต่เอร่าชูมือขึ้นสื่อความว่าให้หยุด
“ฉันไม่ได้ขอให้นายเปลี่ยนทันที เคล แต่ฉันขอให้นายลองมองในมุมของริน ถ้าเขาไม่ใช่เจ้าชาย ถ้าเขาเป็นแค่รินคนเดิม นายจะปฏิเสธความรู้สึกตัวเองหรือเปล่า?”
คำถามนั้นกระแทกใจเคลอย่างแรง เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก และเมื่อเปิดตาขึ้นมา ดวงตาของเขามีประกายแห่งความมุ่งมั่น
“นายพูดถูก เอร่า ฉันมันโง่เองที่คิดมากไปแบบนั้น” เคลพูดเสียงต่ำแต่หนักแน่น “รินสำคัญสำหรับฉันมากกว่าแค่หน้าที่ ถ้าฉันทำให้เขาเจ็บปวด ฉันจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง”
เอร่าตบไหล่เพื่อนด้วยรอยยิ้ม “ดีแล้วเคล แต่ขออย่างเดียว ถ้านายคิดจะบอกความในใจ อย่าทำเป็นพิธีการเหมือนขอเจ้าชายในนิทาน บอกเขาด้วยหัวใจของนาย”
“ฉันจะลองดู เอร่า...ขอบใจนะ” เคลหัวเราะเบา ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
เอร่ายิ้มแซว “เลิกคิดมาก แล้วทำตามใจตัวเองซะ ฉันอยากมีเพื่อนเป็นราชินีเร็ว ๆ”
“ฉันไม่รู้ว่าจะต้องขอบคุณหรือโกรธนายดี เอร่า” เคลหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า
“ขอบคุณสิ เพราะนายคงคิดไม่ได้เองหรอก” เอร่ายิ้มขี้เล่นก่อนจะตบไหล่เคลเบา ๆ อีกครั้ง “ไปเถอะ นายมีคนที่รอให้นายเลิกทำตัวโง่อยู่”
หลังจากเอร่าจากไป เคลยืนอยู่เพียงลำพังในสวน เขาหันไปมองทิศทางที่รินอยู่ ใบหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าเดิม รอยยิ้มบาง ๆ พลันปรากฏขึ้น
“ฝ่าบาท...” เคลกระซิบเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ผมจะปกป้องริน ไม่ใช่แค่ในฐานะเจ้าชาย แต่ในฐานะคนที่ผมรัก...ผมสัญญา”
สวนดูเหมือนจะตอบรับคำสัญญานั้นด้วยสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่าน ดอกไม้แบ่งบานขึ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับสนับสนุนการตัดสินใจของเขา
เคลหันหลังเดินกลับไปพร้อมกับหัวใจที่เบาขึ้น แต่ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน...พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
ในยามเช้าของสวนรัตติกาล แสงอาทิตย์แรกแย้มอาบไล้ไปตามพื้นดิน เคลยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าหลุมศพสองหลุม หลุมหนึ่งคือหลุมของราชินีโรซาลี และอีกหลุมคือพ่อของเขา อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นทั้งผู้นำและผู้เสียสละชีวิตเพื่อหน้าที่เขาก้มมองแผ่นจารึกของราชินีโรซาลี แผ่นจารึกที่บันทึกความรัก ความเสียสละ และความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมเลือน สายตาของเคลเต็มไปด้วยความเศร้า“ฝ่าบาท...” เขากระซิบเสียงเบา ราวกับไม่ต้องการให้เสียงนั้นรบกวนความสงบของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “ผมทำทุกอย่างเพื่อสวน เพื่อเจ้าชาย แต่ตอนนี้...ผมไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำถูกไหม”เขาหันไปมองหลุมศพของพ่อ ราวกับจะขอคำตอบจากใครสักคน “พ่อ...ท่านเคยบอกผมว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเสียสละ แต่ตอนนี้ผมสงสัย...ว่ามันคือการเสียสละทุกอย่างจริงหรือ? แล้วผมจะเสียสละหัวใจตัวเองเพื่อหน้าที่นี้ได้จริงหรือ?”เคลเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าสางเป็นทองแดง ความทรงจำในวัยเด็กหมุนวนในหัว ราวกับคลื่นทะเลซัดเข้าหา
รุ่งเช้าวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม รินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศของดอกไม้และต้นไม้ภายในสวนรัตติกาล ดอกไม้หลากสีแบ่งบานอยู่รอบ ๆ ส่งกลิ่นหอมอบอวล อากาศที่สดชื่นจากสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเปิดกว้าง เขานอนอยู่บนเตียงอันแสนอบอุ่น สัมผัสนุ่มของผ้าห่มโอบล้อมร่างกาย เหมือนปกป้องเขาจากความหนาวเหน็บในอดีตจินเจอร์ แมวตัวโปรดขนฟูที่เหมือนเมฆสีส้ม นอนขดตัวอยู่ที่ปลายเตียง มันเงยหน้ามองเขาพร้อมส่งเสียง “เมี้ยว” เบา ๆ ราวกับทักทาย เขายิ้มให้มันก่อนจะทอดสายตามองเพดาน ดวงตาอ่อนล้ากับความทรงจำที่พุ่งเข้ามา“ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย” รินพึมพำเสียงแหบพร่ากับตัวเองเขาปิดตาลง ความเงียบในห้องกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนของอดีตที่ไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาวิ่งหนีออกจากสวนในวัยเด็กปรากฏขึ้นในหัว เสียงฝีเท้าของเขาที่สะท้อนในความเงียบยามค่ำคืน เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ ใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมเย็นยะเยือก ทุกอย่างกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง ความสิ้นหวังที่กัดกินหัวใจในตอนนั้นยังคงฝังแน่นใน
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังมาจากนอกโกดัง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะเป็นความช่วยเหลือ กลับเป็นสัญญาณของบางสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิม มาร์คัสยืนอยู่บนที่สูง มือขวายกขึ้นส่งสัญญาณ ลูกน้องของเขาที่เหลือถอยฉากอย่างรวดเร็ว ไอเดนมองความเคลื่อนไหวนั้นอย่างสับสน‘จะทำอะไรอีก?’ เขาคิดด้วยความระแวดระวังความเงียบที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้น กลิ่นไหม้ของดินระเบิดลอยมาในอากาศ สัญชาตญาณเตือนภัยดังขึ้นในใจของไอเดน“ระเบิด! ทุกคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้!” ไอเดนตะโกนสุดเสียง เสียงสะท้อนนั้นดังไปทั่วโกดังพ่อของเคลเงยหน้าขึ้น เสียงของดินระเบิดที่ถูกจุดทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง“พวกมันกำลังวางระเบิด! หนีไป ริน! ท่านไม่มีเวลามากนัก!” เขาตะโกนออกมาพร้อมผลักไอเดนไปทางประตูที่ยังเปิดอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ขยับ ร่างของพ่อเคลก็พุ่งเข้ามาปกป้องไอเดน ขณะที่แรงระเบิดระเบิดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่นแรงระเบิดกระแทกเข้ามา
เสียงฝีเท้าอันน่าเกรงขามของมาร์คัสดังก้องภายในโกดังร้างพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ใบหน้าของมาร์คัสเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจที่เขาไม่อาจเก็บซ่อน“แกสองคนไม่รู้เลยใช่ไหมว่ากำลังอยู่ในกับดักของฉัน” มาร์คัสเอ่ยขึ้น ขณะเดินออกมาจากเงามืด เขาโบกมือให้กลุ่มลูกน้องที่ติดอาวุธหนักเข้ามาล้อมวงไอเดนและพ่อของเคลอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีไอเดนที่ยังคงบาดเจ็บจากการปะทะกับพ่อของเคลมองมาร์คัสด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและโกรธ “นี่นายกำลังทำอะไร มาร์คัส?”มาร์คัสหัวเราะลั่น “ฉันกำลังทำในสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว ฉันจะกำจัดแก ไอ้เด็กกำพร้าจอมแสแสร้ง และแก อัศวินเฒ่าจอมอวดดี พวกแกไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่!”มาร์คัสยืนเด่นเป็นสง่า ราวกับนักแสดงหลักบนเวทีที่มีแสงสปอร์ตไลต์ส่องลงมา เขายกมือขึ้นเบา ๆ ราวกับเชิญชวนให้ทุกสายตาในโกดังนี้จับจ้องมาที่เขา ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เสียงรองเท้าบูตกระทบพื้นซีเมนต์อย่างจงใจ ท่วงท่าของเขาราวกับราชาผู้กำลังกล่าวสุนทรพจน์ในวาระสำคัญ
ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่
แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ