หลังจากคำสารภาพที่จริงใจและอบอุ่น ริมฝีปากของเคลและรินค่อย ๆ เข้าหากัน ราวกับวินาทีนั้นโลกทั้งใบได้หยุดหมุน ในความคิดของเคล ความอบอุ่นของรินคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันถึง เสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากแตะกัน เขารู้สึกเหมือนพลังงานบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้กำลังหลั่งไหลผ่านเข้ามา เคลสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากริน ความละมุนละไมที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์และความรัก
“ริน…ผมรู้แล้วว่าความหมายของชีวิตคือการได้อยู่เคียงข้างคุณ” เขาคิดขณะที่ปล่อยให้ริมฝีปากกำลังประทับกัน
ในความคิดของริน เขารับรู้ถึงน้ำหนักของจูบนี้ น้ำหนักของคำสัญญาและความรู้สึกทั้งหมดที่เคลมอบให้ รินรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นไหวน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความอบอุ่นที่เคลมอบให้ ริมฝีปากของเคลเปรียบเสมือนเปลวไฟอ่อน ๆ ที่หลอมละลายความหนาวเหน็บในหัวใจเขา
“เคล…คุณไม่ใช่เพียงอัศวิน แต่คุณคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร” รินคิดในขณะที่ปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
การจูบของพวกเขาไม่ใช่แค่การสัมผัสทางกาย มันคือการแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความหวัง และคำมั่นสัญญา ในใจของเคล จูบนี้คือสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต มันแสดงถึงความเป็นเจ้าของ ความรัก และความปรารถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เขาค่อย ๆ โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย ปล่อยให้ริมฝีปากของตนประทับลงบนริมฝีปากของรินด้วยความอ่อนโยนและมั่นคง
รินรู้สึกอบอุ่นใจ จูบนี้เหมือนกระแสที่ลบล้างความโดดเดี่ยวที่เคยประสบในอดีต จูบนี้คือคำตอบของทุกคำถามในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นความหวัง ความกลัว หรือความลังเล ทุกอย่างจางหายไปเมื่อรู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป
ริมฝีปากของพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างกลมกลืน ความอ่อนโยนและความปรารถนาประสานกันอย่างลงตัว เคลใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มของรินแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าความฝันนี้จะจางหายไป สัมผัสนั้นทำให้รินหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในวังวนของความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“ริน…” เคลกระซิบเมื่อจูบค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แต่ยังคงสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความหวงแหน “ผมจะดูแลคุณ ไม่ใช่เพราะคุณเป็นเจ้าชาย แต่เพราะคุณเป็นเจ้าของหัวใจของผม”
“เคล…” รินรู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า ริมฝีปากยังคงสั่นไหวจากสัมผัสเมื่อครู่ “ผมก็รักคุณ ไม่ใช่เพราะคุณเป็นอัศวิน แต่เพราะคุณคือคนที่ทำให้ผมได้รู้ว่าผมสำคัญ”
เมื่อจูบจบลง เคลค่อย ๆ อุ้มรินไว้ในอ้อมแขนราวกับรินเป็นสิ่งล้ำค่าที่เขาไม่อาจปล่อยมือ ดวงตาของเขาจับจ้องรินด้วยความอ่อนโยนและความตั้งใจ
“คุณคือโลกทั้งใบของผม ผมจะปกป้องคุณไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะผมไม่อาจทนมองคุณเจ็บปวดได้”
“เคล…ผมรู้แล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะผมได้รู้จักคุณ” รินยิ้ม น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาด้วยความสุข
สายตาของเคลเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับกำลังมองอัญมณีที่ล้ำค่าที่สุดในโลก รินที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเปรียบเสมือนดอกไม้แรกแย้มที่ต้องการการดูแลอย่างพิถีพิถัน เมื่อเคลโน้มตัวลง แสงจันทร์ลอดผ่านใบไม้ ตกกระทบผิวของริน ทำให้เขาดูราวกับเทพนิยายที่มีชีวิต
การสัมผัสเริ่มต้นด้วยความอ่อนโยน มือของเคลประคองใบหน้าของริน นิ้วหัวแม่มือไล้เบา ๆ บนแก้ม ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นเหมือนเป็นการปลอบประโลมโลกที่เคยเหน็บหนาวของริน รินหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับปลดปล่อยหัวใจจากพันธนาการที่เคยรัดตรึง
ริมฝีปากของพวกเขาแตะกันอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพื่อแสดงความรัก แต่เพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณ ความหอมหวานผสมผสานกับพลังอันหนักแน่น จนรินเผลอครางเบา ๆ ในลำคอ สายตาของเขามองเคลด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ มันคือความรักที่เต็มไปด้วยการยอมรับและการไว้วางใจ
“ริน...คุณคือความงดงามเดียวที่ผมมองเห็นในชีวิต ผมสาบานว่าจะไม่ปล่อยคุณไป ไม่ว่าฟ้าหรือดินจะขวางกั้น” เคลกดจูบลึกซึ้งยิ่งขึ้น ราวกับว่าเขาต้องการจารึกความรักนี้ไว้ตลอดกาล
“และผมจะไม่หนีอีกต่อไป” รินเอื้อมมือขึ้น แตะที่แก้มของเคล ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง
มือของเคลเลื่อนลงเบา ๆ ผ่านลำคอของริน หยุดที่ไหล่ ก่อนจะค่อย ๆ ลากไปตามเอว ราวกับกำลังเขียนบทกวีแห่งความรักลงบนผิวของเนียน รินตอบรับด้วยการกระชับอ้อมกอด สัมผัสของเขาเปี่ยมไปด้วยความรักและการยอมรับที่ไม่มีเงื่อนไข
ดวงตาของพวกเขาสบกัน ความเงียบสงบในค่ำคืนสะท้อนผ่านแววตา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความปรารถนา และคำสัญญาที่ไม่มีวันสั่นคลอน
เคลโน้มตัวลง ประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากของริน น้ำหนักการจูบของเขาเบาแต่หนักแน่น เสียงลมหายใจของรินสั่นเครือ มือของเขายกขึ้นแตะที่หน้าอกของเคล ใจที่เต้นรัวตอบรับความรู้สึกนั้น
จูบของพวกเขาดำเนินต่อไปอย่างลึกซึ้งอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา ความรักที่พวกเขามอบให้กันคือคำมั่นสัญญาในค่ำคืนที่ดวงจันทร์และดวงดาวเป็นพยาน ดอกไม้ในสวนบานสะพรั่ง กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ราวกับโลกกำลังร่วมเฉลิมฉลองความรักนิรันดร์ของพวกเขาในค่ำคืนที่สวยงามเหนือคำบรรยาย
การร่วมรักของพวกเขาเป็นการสำรวจร่างกายของกันและกันอย่างอ่อนโยน เป็นการเฉลิมฉลองความรักและสายสัมพันธ์ที่พวกเขามี มันเหมือนกับพวกเขากำลังปลูกเมล็ดพันธุ์ของอนาคตที่งดงามร่วมกัน เอาใจใส่และดูแลกันและกันด้วยการสัมผัสและจูบทุกครั้ง ริมฝีปากของเคลลูบไล้ลงมาตามคอของริน
มือของเคลสำรวจร่างกายของริน ค้นหาจุดที่ไวต่อการสัมผัส และทำให้รินครางด้วยความสุข เคลค่อย ๆ เตรียมรินให้พร้อมตอบรับความรักอันท่วมท้นของตน เมื่อเวลาผ่านไป เสียงอันอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งของรินดังขึ้น
“เคล ที่รัก...ผมไม่ไหวแล้ว เคล ได้โปรด ช่วยผมด้วย” เหมือนมีระฆังดังก้องในหัวของเคล คล้ายนักโทษที่ได้รับอภัยโทษ เคลไม่รอช้า จัดการแทรกตัวตนเข้าไปในช่องทางอุ่นร้อน เสียงของรินที่เปล่งออกมา ผสมผสานระหว่างความสุขและความต้องการ
“เคล...อืม” เขาหอบหายใจ พลางจิกเข้าที่ไหล่ของเคล “มากกว่านี้...ได้โปรด”
เคลยิ้ม หายใจหอบด้วยความปรารถนา “อะไรก็ได้สำหรับคุณ ที่รัก” เขาเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ ก่อน เมื่อเสียงรินเริ่มหวานขึ้น เคลก็เพิ่มความเร็วเหมือนเสียงครางของรินกระตุ้นเขา ทุกการเข้า-ออกของเคลทำให้รินสั่นและครางเสียงดัง “ใช่ ที่นั่นแหละ” รินหอบ “อย่าหยุด”
ร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวเข้ากันอย่างลงตัว ทุกการขยับทำให้พวกเขาใกล้ถึงจุดสุดยอด มือและริมฝีปากของเคลไม่หยุดสำรวจ ลูบไล้ผิวหนังของรินด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนแต่มั่นคง ทุกที่ที่ริมฝีปากของเคลเลื่อนผ่าน จะมีรอยเล็กๆ ทิ้งไว้เสมอ ราวกับดอกซากุระที่แบ่งบานร่วงหล่นลงพื้นหิมะที่ขาวโพน เสียงการร่วมรักของพวกเขาดังไปทั่วสวนรัตติกาล เป็นเสียงซิมโฟนีแห่งความรักและความปรารถนาที่ก้องกังวานสอดประสานกับเสียงแมลงเป็นค่ำคืนที่งดงามยิ่งนัก
เมื่อถึงจุดสูงสุดของความรัก สวนดูเหมือนจะมีชีวิต เวทมนตร์ตอบสนองต่อการหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวของพวกเขา โอบล้อมพวกเขาด้วยความอบอุ่น ดอกไม้ที่รายรอบชูช่ออย่างสดใส กลีบดอกระยิบระยับด้วยน้ำค้าง
หลังจากทุกอย่างสิ้นสุดลง พวกเขานอนกอดกันด้วยความเหนื่อยล้าแต่สุขใจ สวนที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์อ่อน ๆ ดูเหมือนจะส่องแสงสว่างยิ่งขึ้น ราวกับว่ากำลังเฉลิมฉลองความรักที่ได้ถูกสารภาพและความรักที่ได้รับการตอบสนอง
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่