รุ่งอรุณของสวนรัตติกาลถูกแต่งแต้มด้วยความหอมหวานที่อบอวลในอากาศ รินและเคลนั่งอยู่ใกล้กันใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาของทั้งคู่สะท้อนแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ใบหน้าของรินระเรื่อเล็กน้อยเมื่อนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา แต่เขาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเคลยื่นมือมาสัมผัสแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา
“เมื่อคืน...คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุดในโลก” รินพูดเบา ๆ สายตาสองคู่ประสานกัน ความอบอุ่นในคำพูดทำให้หัวใจของเคลเต้นรัว
“ใช่เพราะคุณเป็นจริงๆ ริน ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ” เคลยิ้มอ่อนโยน พลางลูบแก้มรินด้วยปลายนิ้ว
“คุณรู้ไหมว่าคุณพูดแบบนี้แล้วผมจะไม่อยากลุกไปไหนเลย คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” รินหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับพิงไหล่ของเคล
“งั้นเราจะนั่งตรงนี้ทั้งวันก็ได้” เคลแซวกลับพร้อมหัวเราะ รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ
“นี่คุณทำให้ผมกลายเป็นคนติดหวานไปแล้ว คุณคิดว่ามันจะดีเหรอ?” รินมองหน้าเคลแล้วยิ้มขำ ๆ
“งั้นเราก็ข้ามข้าวเช้าไปเลยดีไหม?” เคลยักคิ้วแกล้ง แต่คำพูดนั้นก็ทำให้รินหัวเราะจนตัวโยก
“เคล! ผมพูดจริง ๆ นะ!” รินอดที่จะยิ้มไม่ได้ พลางตีแขนเคลเบา ๆ
“โอเค งั้นเราก็ไปหาอะไรกินกันก่อน แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าทุกคำพูดที่ผมพูดกับคุณ มันมาจากหัวใจ” เคลหัวเราะพร้อมจับมือรินมากุมอีกครั้ง
“ผมรู้ และผมก็รู้ว่าผมโชคดีแค่ไหนที่มีคุณ” รินมองหน้าเคลแล้วพยักหน้าน้อย ๆ
ทั้งคู่ยืนขึ้นพร้อมกัน แต่ก่อนจะก้าวเดิน รินยื่นมือไปจับมือของเคลอีกครั้ง “คุณต้องสัญญานะ ว่าคุณจะอยู่กับผมแบบนี้ตลอดไป”
“ผมสัญญา ริน ไม่ว่าชีวิตจะพาเราไปเจออะไร ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ” เคลยิ้มพร้อมกุมมือรินไว้แน่น
บทสนทนาที่อบอวลไปด้วยความรักของทั้งคู่ถูกหยุดชั่วคราว เมื่อเสียงขำของเอร่าดังขึ้นจากด้านหลัง
“พระเจ้า นี่ผมพลาดไปกี่ฉากแล้วเนี่ย? หรือเราควรเปลี่ยนชื่อสวนนี้เป็น 'สวนแห่งความรัก' ดี?”
เอร่าที่เพิ่งกลับมาพร้อมจินเจอร์ ยืนพิงต้นไม้ข้าง ๆ พร้อมทำท่ากอดอก จินเจอร์ที่นั่งอยู่ข้างเท้าชายหนุ่มมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่เหมือนจะพูดว่า ไหวไหมเนี่ย?
ทั้งรินและเคลหันไปมองพร้อมรอยยิ้มเขินอาย เอร่าที่เดินมากับจินเจอร์ยังคงหัวเราะต่อไม่หยุด “ว่าแต่ ไปหาอะไรกินเถอะ ผมว่าคุณสองคนควรเพิ่มสารอาหารอย่างอื่นเข้าไปในชีวิตแทนที่จะกินของหวานจากกันและกัน!”
“แต่ว่าริน คุณช่วยบอกแฟนคุณหน่อยว่า อย่ามองผมเหมือนจะกินผมเป็นอาหารเช้าแทนได้ไหม?”
รินหัวเราะลั่น พร้อมเดินไปคว้ามือเคล “ไปกันเถอะ ก่อนที่เอร่าจะบ่นจนเราหมดแรง”
ทั้งสามเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมจินเจอร์ที่เดินตามต้อย ๆ ความอบอุ่นในเช้าวันนั้นเติมเต็มสวนรัตติกาล ราวกับจะเป็นพยานให้กับความรักและมิตรภาพที่แข็งแกร่งของพวกเขา
เอร่านั่งลงที่โต๊ะอาหาร สายตามองข้ามไปยังเคลและรินที่กำลังนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่แลกเปลี่ยนรอยยิ้มหวานให้กันจนบรรยากาศรอบ ๆ ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
“เมี้ยว” จินเจอร์ที่นั่งอยู่บนตักของเขาร้องเบา ๆ เหมือนจะเห็นด้วยกับความหวานที่อบอวลอยู่รอบตัว
“เอาจริงนะ จินเจอร์” เอร่าเอ่ยขึ้นขณะตักข้าวเข้าปาก “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าวจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วขนาดนี้”
จินเจอร์ร้องเหมียวตอบกลับอีกครั้ง ขยับตัวเหมือนจะพยักหน้าเห็นด้วย เอร่าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาใหม่ ตักแกงกะหรี่บนจานแล้วพูดต่อ
“นี่มันหวานเกินไปแล้ว ฉันว่าความหวานพวกนี้มันกำลังทำให้ฉันเป็นโรคเบาหวานแบบไม่รู้ตัว ค่าน้ำตาลในเลือดของฉันคงพุ่งกระฉูดตั้งแต่นาทีแรกที่พวกเขานั่งลงแล้ว”
“ดูนั่นสิ จินเจอร์ เขาส่งช้อนให้กันเหมือนว่าอีกคนเป็นเด็กเล็กที่ต้องป้อนข้าวเอง รินก็ยิ้มราวกับว่าการกินข้าวครั้งนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต” เขาชี้ไปที่เคลที่กำลังคอยปรนนิบัติริน
จินเจอร์กระโดดลงจากตักของเอร่า แล้วเดินไปถูขาโต๊ะ เหมือนกับจะประท้วงว่าแมวตัวเล็ก ๆ อย่างมันไม่ควรต้องทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เอร่ายิ้มกว้าง ยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน “ใช่ ฉันก็คิดเหมือนกัน บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ข้าวมื้อนี้หวานเกินไปจริง ๆ”
แล้วเอร่าก็หันไปตะโกนข้ามโต๊ะ “เฮ้! เคล ริน ถ้าพวกนายจะหวานกันขนาดนี้ ฉันว่าคงต้องเพิ่มเมนูอะไรเปรี้ยว ๆ มาเบรกหน่อยละ! หรือไม่ก็ชวนจินเจอร์กับฉันไปร่วมด้วยสักหน่อย จะได้ไม่รู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่ในโลกคนละใบ”
เคลเหลือบตามามอง พลางหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายก็ชอบแซวอยู่แบบนี้แหละ ฉันว่าถ้าไม่ไหวก็กินของหวานเพิ่ม เผื่อจะได้ตัดขาไปเลย”
“ถ้าฉันกินขนมเพิ่มเข้าไปจริง ๆ ฉันคงต้องเตรียมอินซูลินไว้ข้างตัวด้วยแน่ ๆ” เอร่ากลอกตา
ทั้งเคลและรินหัวเราะพร้อมกัน ขณะที่เอร่าส่ายหน้าอย่างปลงตก
“ชีวิตฉันจะทนกับความหวานขนาดนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันเนี่ย” เขาพูดพลางลูบจินเจอร์ที่มองดูเจ้านายของมันด้วยความงุนงง ทั้งห้องอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศอบอุ่น ถึงจะบ่นแต่เอร่าเองก็แอบยิ้มอยู่ในใจ
หลังจากมื้อเช้าที่อบอวลด้วยความหวานจบลง เอร่าอาสาพาจินเจอร์ไปเดินเล่นรอบสวน ขณะที่เคลและรินกำลังตรวจสอบแปลงดอกไม้ใหม่ที่กำลังจะปลูก ทว่าท่ามกลางบรรยากาศสงบสุขนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เริ่มก่อตัวขึ้น
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ แว่วมาจากทางเดินด้านนอก เอร่าที่กำลังเดินเล่นกับจินเจอร์ชะงัก จินเจอร์ที่เดินเคียงข้างร้องขู่เบา ๆ ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันจับจ้องไปยังเงาเคลื่อนไหวในพุ่มไม้ เอร่าเพ่งมอง และสิ่งที่เห็นคือชายคนหนึ่งที่มีท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ กำลังพยายามหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง
“ใครน่ะ?” เอร่าตะโกนออกไป น้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าปกติ ชายคนนั้นหยุดกึก หันมามองด้วยแววตาเหนื่อยล้าและดูระมัดระวัง
“ผมไม่ได้มาทำร้าย” ชายคนนั้นพูดพร้อมยกมือขึ้น “ผมแค่...ตามหาคน”
“หาใคร? และคิดยังไงถึงเข้ามาที่นี่แบบนี้?” เอร่าก้าวเข้าไปใกล้ เสียงกังวานของเขาทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น
จินเจอร์กระโดดเข้าไปใกล้ พร้อมส่งเสียงร้องขู่ชายแปลกหน้าที่ก้าวถอยหลังเล็กน้อย เขายังไม่ตอบแต่กลับชูบางสิ่งที่อยู่ในมือขึ้น ภาพวาดเล็ก ๆ ที่ดูเก่าคร่ำคร่า แต่ใบหน้าบนกระดาษนั้นกลับดึงสายตาของเอร่าให้หยุดนิ่ง
“คุณได้สิ่งนี้มาจากไหน?” เอร่าถามเสียงแข็งกว่าเดิม ขณะที่ชายคนนั้นรีบพูดต่อ
“ได้โปรด ฟังผมก่อน ผมไม่ได้มาทำร้ายใคร ผมกำลังตามหาเขา ไอเดน เขาเป็นน้องชายของผม”
“น้องชาย? คุณคิดว่าผมจะเชื่อแค่คำพูดง่าย ๆ แบบนี้หรือไง?” เอร่าไม่เชื่อใจง่าย ๆ แม้ว่าคำพูดของชายคนนี้จะฟังดูจริงใจ
เอร่ากระชากแขนชายแปลกหน้าเพื่อพาไปหาเคล เสียงขู่ฟ่อจากจินเจอร์ทำให้สถานการณ์ดูเหมือนจะดุเดือดขึ้น ชายคนนั้นสะบัดแขนเล็กน้อย พยายามอธิบาย
“ได้โปรด ผมไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
“นั่นน่ะไม่สำคัญ!” เอร่าตะคอกกลับ ก่อนจะหยิกแขนเขาแรง ๆ แบบไม่จริงจังนัก “คุณกล้าบุกรุกพื้นที่นี้ แถมยังใช้ข้ออ้างที่ฟังดูเหมือนนิทานก่อนนอน ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง!”
จินเจอร์ที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี รีบพุ่งตัวไปทางชายคนนั้น มันกระโดดอย่างกล้าหาญตั้งใจจะโจมตีด้วยการ “กระโดดแตะหน้า” ท่าไม้ตายอันทรงพลังของมัน แต่ด้วยพุงกลม ๆ และน้ำหนักที่ไม่เบาเลย การกระโดดของมันดูเหมือนจะเป็นแค่การถลามากกว่า ชายแปลกหน้าจึงยื่นมือรับมันไว้อย่างอัตโนมัติ
“แมว...?” เขามองจินเจอร์ในมือด้วยความงง ก่อนที่มันจะร้องขู่ใส่เขาเบา ๆ พร้อมยกอุ้งเท้าตะปบหน้าเขาแบบไม่ได้เจ็บอะไรจริงจัง
“โอ้! โอเค! ผมยอมแพ้แล้ว!” เขาร้องลั่น
“จินเจอร์! ดีมาก!” เอร่าหัวเราะลั่นพร้อมกับปรบมือ “นายคือตัวช่วยที่ดีที่สุดของฉันเลย! ดูสิ นายทำให้คนแปลกหน้ายอมแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้ดาบด้วยซ้ำ!”
จินเจอร์กระโดดลงมาและวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างเอร่า ร้องเหมียวเหมือนจะยืนยันในความเก่งกาจของตัวเอง เอร่าหันไปยิ้มเยาะชายคนนั้น “ดูสิ แมวของผมยังดูจริงจังกว่านายอีก”
ชายคนนั้นถอนหายใจหนัก พยายามปรับตัวให้สงบก่อนพูดขึ้น “ผมไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน ผมแค่อยากพบไอเดน ผมแค่...ขอคุยกับเขาสักครั้ง”
“แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น นายต้องผ่านฉันก่อน! มาเลย จินเจอร์!” เอร่าหรี่ตามอง ย่อตัวลงเตรียมพร้อมเหมือนจะต่อสู้จริงจัง แต่ในมือเขากลับหยิบดอกไม้แห้งขึ้นมาปาใส่ชายคนนั้นเล่น
“นี่มัน...อะไร?” ชายคนนั้นหลบเล็กน้อยด้วยสีหน้าสับสน
“ผมว่าผมไม่ต้องใช้กำลังจริงจังหรอก ดูเหมือนนายจะเหนื่อยแฮะ และถ้าผมเอาจริงนายก็สู้ไม่ได้แน่นอน! งั้นจะพานายไปหาเคลเลยแล้วกัน!” เอร่าหัวเราะร่า
ไม่รอให้ชายแปลกหน้าพูดอะไร เอร่าก็หยิกแขนเขาเบา ๆ อีกครั้งและพาเดินไปตามทาง ขณะที่จินเจอร์เดินตามไปอย่างสง่าผ่าเผย พุงกลม ๆ ของมันโยกไปมาจนชายคนนั้นเผลอหัวเราะในลำคอ
“เคล! เราได้ผู้บุกรุกที่แปลกที่สุดในประวัติศาสตร์สวนรัตติกาลมาส่งให้นายแล้ว แถมเขายังแพ้จินเจอร์อย่างราบคาบอีกด้วย!” เมื่อมาถึงลานกว้าง เอร่าก็รายงานติดตลก
เคลหันมามองชายคนนั้นด้วยแววตาคมกริบ แม้จะมีบรรยากาศตลกขบขันระหว่างเอร่าและจินเจอร์ แต่เคลกลับไม่ได้คลายความระมัดระวัง
“นายเป็นใคร? และคิดยังไงถึงได้กล้าเข้ามาที่นี่?”
ชายคนนั้นสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมความกล้า “ผมชื่อเคียแรน และผมมาที่นี่เพื่อหา...น้องชายของผม เขาชื่อไอเดน”
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปทันทีจากความสนุกสนานกลายเป็นความเงียบงัน เอร่าหันไปมองเคลและจินเจอร์ร้องเหมียวเบา ๆ เหมือนรับรู้ถึงสิ่งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่