สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวัง
รินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร
“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาป
เขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…
โครม!
ท่อนไม้ขนาดใหญ่พังลงมาจากหลังคาที่เสียหาย แล้วกระแทกเข้ากับศีรษะของเขาอย่างแรง รินล้มลงกับพื้น ร่างเล็ก ๆ จมอยู่ในโคลน หยาดเลือดจากบาดแผลบนหัวไหลลงมาผสมกับสายฝน
ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีเสียงใด ๆ นอกจากเสียงฝนและเสียงสะอื้นไกล ๆ ของผู้คนในเมือง ทุกคนต่างจมอยู่ในความทุกข์ของตัวเอง บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็หมดสิ้นซึ่งกำลังใจ
ในความมืดมิด ความอบอุ่นอันแผ่วเบาก็เริ่มกระจายไปทั่วร่างของเด็กน้อย พลังที่โรซาลีหลงเหลือไว้เพื่อปกป้องลูกชายของเธอเริ่มทำงาน แสงสีขาวนวลเล็ก ๆ เปล่งประกายออกมาจากตัวของริน แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความอบอุ่นนั้นช่วยประคองชีวิตของเขาไว้
ไม่นานนัก รินค่อย ๆ ได้สติ แม้ยังคงมึนงงและเจ็บปวดอย่างหนัก แต่สัญชาตญาณในตัวบอกให้เขาลุกขึ้น ความหวาดกลัวและเสียงของแม่ที่ดังในหัวทำให้เขาฮึดขึ้นมาวิ่งต่อ
“หนีไป… ไปให้ไกล…”
ร่างเล็ก ๆ ที่เปียกชุ่มด้วยฝนและเปื้อนโคลนลุกขึ้นยืน สองขาสั่นสะท้าน แต่ยามนี้ไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องหนี รินวิ่งต่อไปทั้งที่ยังมึนงง เลือดจากบาดแผลยังคงไหลลงมาเป็นทาง แต่เขาไม่สนใจ ไม่มีเวลามาหยุดพัก ไม่มีเวลามองกลับหลัง
เขาวิ่งจนมาถึงตรอกเล็ก ๆ ที่มืดและแคบ แสงไฟริบหรี่จากโคมไฟข้างถนนแทบจะส่องมาไม่ถึง รินทรุดตัวลงพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ หัวเข่าของเขาชันขึ้น มือเล็ก ๆ โอบกอดตัวเองไว้แน่น
สายฝนยังคงตกอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำขังอยู่ตามพื้นเปื้อนโคลน รินเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและเปื้อนฝนจนหนาวตัวสั่น ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำตาสะท้อนความสิ้นหวังและความโดดเดี่ยว
“แม่…ผมขอโทษ…” เขาพึมพำอีกครั้ง เสียงแผ่วเบาราวกับสายลม เขากอดตัวเองแน่นขึ้น หวังว่ามันจะช่วยปลอบโยนความเจ็บปวดในใจ
ดวงตาของเขาหนักอึ้งจนแทบจะปิด แต่เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในตรอกเล็ก ๆ ทำให้ต้องสะดุ้ง รินเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว และนั่นคือช่วงเวลาที่เขาได้พบกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในเงามืด…
เสียงฝีเท้าหนักแน่นทำให้รินสะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยเงามืด แสงจากโคมไฟข้างถนนสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่แข็งกร้าวและดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด
“เด็กน้อย…” เสียงของชายคนนั้นดังก้องในตรอก น้ำเสียงทุ้มลึกแฝงไปด้วยความเยือกเย็น “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
รินไม่ตอบ เพียงมองขึ้นไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและหวาดกลัว
ชายคนนั้นคุกเข่าลงจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกับริน ดวงตาของเขาสบกับรินอย่างแน่วแน่ และในวินาทีนั้นเอง ความสนใจที่แท้จริงก็ปรากฏในสายตา เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในตัวเด็กชายคนนี้ กลิ่นอายแห่งเวทมนตร์ที่ห่อหุ้มรินไว้ แม้เด็กชายจะดูอ่อนแอและอับจนหนทาง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในตัวเด็กคนนี้
“เธอชื่ออะไร?” ชายคนนั้นถามอีกครั้ง เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
รินส่ายหัวช้า ๆ เมื่อได้ยินคำถามจากชายตรงหน้า เสียงของเขาสั่นเครือและแผ่วเบา ร่างกายของเขาเย็นชืดและเปียกปอนจากสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมา
“ผม…ผมจำไม่ได้…”
เขาพยายามเค้นความทรงจำ พยายามนึกถึงชื่ออันคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า ภาพของสวน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้หญิงคนหนึ่ง และเสียงหัวเราะที่เคยอยู่รอบตัวเขาหายไปเหมือนหมอกจางในสายฝน
“ผมชื่ออะไร...” รินพึมพำกับตัวเอง ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง ปากที่พยายามขยับได้ง่ายตามปกติกลับอ้าค้างไว้ ชื่อนั้น ชื่อที่เขาเคยเปล่งออกมาด้วยความมั่นใจและความสุข กลับติดอยู่ในลำคอเหมือนคำที่ถูกลืมไปแล้ว
เขากำมือแน่น ความสับสนและความกลัวพุ่งเข้ามาในใจ “ทำไมผมถึงจำไม่ได้...ผมคือใคร...”
ดวงตาของเขาเหลือบมองชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่ดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด
คนคนนี้เป็นใคร...’ รินคิดในใจ ‘ทำไมเขาถึงมาที่นี่...ทำไมเขาถึงถามชื่อเรา...’
ชายตรงหน้ามองดูรินที่จมอยู่ในความสับสน ดวงตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ เขาเอื้อมมือไปแตะไหล่ของรินเบา ๆ ราวกับจะดึงเด็กชายออกจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
“เธอไม่จำเป็นต้องนึกถึงอดีตตอนนี้” ชายคนนั้นพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความมั่นคง “เธออาจลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่นั่นไม่สำคัญ...ฉันจะให้เธอเริ่มต้นใหม่”
รินมองชายตรงหน้าด้วยสายตาสงสัยและหวาดกลัว แต่ลึก ๆ ในดวงตาที่หม่นหมองนั้นก็มีแววของความหวัง เขาไม่รู้ว่าความหวังนี้มาจากไหนหรือเพราะอะไร แต่ในวินาทีนั้น เขาตัดสินใจที่จะไม่ขัดขืน
ชายคนนั้นมองเด็กชายตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นกว่าสายฝนที่กำลังตกลงมาเสียอีก ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องเด็กชายอย่างแน่วแน่ ราวกับค้นพบสิ่งที่กำลังตามหา
ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังวิกเตอร์มองเห็นรอยยิ้มนั้นถึงกับสะท้านในใจ พวกเขารู้จักรอยยิ้มแบบนี้ดี มันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความเมตตา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงเจตนาบางอย่างที่ยากจะคาดเดา พวกเขายืนมองเงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“งั้นฉันจะให้ชื่อเธอเอง” วิกเตอร์พูด น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ “ตั้งแต่วันนี้ไป เธอคือไอเดน… ‘เปลวไฟน้อย’”
ริน หรือไอเดนที่เพิ่งได้รับชื่อใหม่มองวิกเตอร์อย่างงุนงง ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าทำให้เขาไม่อาจตอบสนองได้อย่างเต็มที่ เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างว่าง่าย
“ขอบคุณครับ…”
“ตามฉันมา” วิกเตอร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขายื่นมือไปทางรินด้วยท่าทางที่แฝงความมั่นใจ “จากนี้ฉันจะดูแลเธอเอง”
ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมามองภาพนั้นด้วยความไม่สบายใจ เขาขยับเข้าไปใกล้ พลางเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน…เด็กคนนี้…เราไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เขาอาจเป็นปัญหาได้ ผมคิดว่า…”
คำพูดของเขาชะงักลงทันทีเมื่อดวงตาของวิกเตอร์ตวัดมามอง สายตาคู่นั้นไร้ซึ่งความอ่อนโยน มันเยือกเย็นและเฉียบคมเหมือนดาบที่พร้อมจะตัดทุกสิ่งที่ขวางทาง คนสนิทที่พยายามเตือนถึงกับกลืนน้ำลาย รีบหลบสายตาและก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ทำตามที่ฉันสั่ง” วิกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ทรงพลังจนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
เด็กชายตัวเล็กที่เปียกปอนและเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เลือด และน้ำฝน มองดูเหตุการณ์อย่างเงียบงัน เขาไม่มีแรงแม้แต่จะยืนขึ้นด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ศีรษะและเท้า รวมถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะหมดสติอีกครั้ง
มือใหญ่ของคนสนิทของวิกเตอร์ยื่นมาทางริน ชายผู้นั้นที่เคยพยายามค้านคำสั่ง บัดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม เขาประคองร่างของรินขึ้นมา เด็กชายไม่ได้ปฏิเสธ เขาเพียงมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“ขึ้นรถเถอะ” วิกเตอร์พูดเสียงเรียบ ร่างสูงใหญ่เดินนำไปที่รถยนต์หรูสีดำมันวาวที่จอดอยู่ในมุมมืดของตรอก ลูกน้องพารินไปขึ้นรถ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
ประตูรถถูกเปิดออก เผยให้เห็นเบาะนั่งหนังแท้ที่นุ่มและอบอุ่น กลิ่นของเครื่องปรับอากาศและน้ำหอมอ่อน ๆ ในรถตัดกับกลิ่นโคลนและฝนด้านนอกอย่างสิ้นเชิง รินถูกพาเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กแทบจะจมหายไปในเบาะที่โอบล้อมทุกส่วนของเขา
เสียงปิดประตูดังขึ้น รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากตรอกสู่ถนนที่ยังเปียกชุ่มจากสายฝน แสงไฟจากตึกสูงที่ผ่านไปเป็นช่วง ๆ ทำให้รินรู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้าสู่โลกที่แตกต่างจากเดิม
ร่างกายอันเหนื่อยล้าของรินสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในรถ สายฝนที่กระหน่ำอยู่ข้างนอกค่อย ๆ หายไปจากความคิด ความนุ่มของเบาะที่เอนไปตามการขับเคลื่อนและความเงียบภายในรถทำให้เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง
“นอนพักไปสิ” วิกเตอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำพูดนั้นคล้ายคำสั่งมากกว่าคำแนะนำ “เธออาจต้องการมัน”
รินไม่มีแรงจะตอบโต้หรือสงสัยอีกต่อไป ความเหนื่อยล้าพุ่งเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดลง และในไม่ช้าเสียงลมหายใจของเด็กชายก็สม่ำเสมอ
วิกเตอร์เหลือบมองรินผ่านกระจก ใบหน้าของเด็กชายดูสงบขึ้นเมื่อหลับตาลง แต่เขากลับยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นแฝงความเยือกเย็น แม้แต่ลูกน้องที่นั่งด้านหน้าก็ยังรู้สึกได้
“เด็กคนนี้จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม” วิกเตอร์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง
ลูกน้องที่เหลือบมองผ่านกระจกหลัง ก่อนจะหันกลับมาขับต่อโดยไม่พูดอะไร เขายังคงรู้สึกอึดอัดกับการตัดสินใจของวิกเตอร์ที่จะรับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาด้วย แต่เมื่อคิดถึงดวงตาเยือกเย็นที่เห็นก่อนหน้านี้ เขาก็เลือกที่จะเงียบ
รินหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนในรถที่อบอุ่น ทิ้งค่ำคืนอันแสนโหดร้ายไว้เบื้องหลัง แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อเขาตื่นขึ้นมา โลกใบใหม่ที่เขากำลังก้าวเข้าไป จะไม่ได้อบอุ่นและปลอดภัยเหมือนรถคันนี้ เขาอาจจะอยากกลับไปนั่งในตรอกมืดที่เย็นเฉียบนั้นเสียมากกว่า...
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด