แชร์

บทที่ 7 จุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุด

ผู้เขียน: Snowflake on Cherry Blossom
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-26 13:00:19

สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวัง

รินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร

“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาป

เขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…

โครม!

ท่อนไม้ขนาดใหญ่พังลงมาจากหลังคาที่เสียหาย แล้วกระแทกเข้ากับศีรษะของเขาอย่างแรง รินล้มลงกับพื้น ร่างเล็ก ๆ จมอยู่ในโคลน หยาดเลือดจากบาดแผลบนหัวไหลลงมาผสมกับสายฝน

ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีเสียงใด ๆ นอกจากเสียงฝนและเสียงสะอื้นไกล ๆ ของผู้คนในเมือง ทุกคนต่างจมอยู่ในความทุกข์ของตัวเอง บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็หมดสิ้นซึ่งกำลังใจ

ในความมืดมิด ความอบอุ่นอันแผ่วเบาก็เริ่มกระจายไปทั่วร่างของเด็กน้อย พลังที่โรซาลีหลงเหลือไว้เพื่อปกป้องลูกชายของเธอเริ่มทำงาน แสงสีขาวนวลเล็ก ๆ เปล่งประกายออกมาจากตัวของริน แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความอบอุ่นนั้นช่วยประคองชีวิตของเขาไว้

ไม่นานนัก รินค่อย ๆ ได้สติ แม้ยังคงมึนงงและเจ็บปวดอย่างหนัก แต่สัญชาตญาณในตัวบอกให้เขาลุกขึ้น ความหวาดกลัวและเสียงของแม่ที่ดังในหัวทำให้เขาฮึดขึ้นมาวิ่งต่อ

“หนีไป… ไปให้ไกล…”

ร่างเล็ก ๆ ที่เปียกชุ่มด้วยฝนและเปื้อนโคลนลุกขึ้นยืน สองขาสั่นสะท้าน แต่ยามนี้ไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องหนี รินวิ่งต่อไปทั้งที่ยังมึนงง เลือดจากบาดแผลยังคงไหลลงมาเป็นทาง แต่เขาไม่สนใจ ไม่มีเวลามาหยุดพัก ไม่มีเวลามองกลับหลัง

เขาวิ่งจนมาถึงตรอกเล็ก ๆ ที่มืดและแคบ แสงไฟริบหรี่จากโคมไฟข้างถนนแทบจะส่องมาไม่ถึง รินทรุดตัวลงพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ หัวเข่าของเขาชันขึ้น มือเล็ก ๆ โอบกอดตัวเองไว้แน่น

สายฝนยังคงตกอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำขังอยู่ตามพื้นเปื้อนโคลน รินเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและเปื้อนฝนจนหนาวตัวสั่น ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำตาสะท้อนความสิ้นหวังและความโดดเดี่ยว

“แม่…ผมขอโทษ…” เขาพึมพำอีกครั้ง เสียงแผ่วเบาราวกับสายลม เขากอดตัวเองแน่นขึ้น หวังว่ามันจะช่วยปลอบโยนความเจ็บปวดในใจ

ดวงตาของเขาหนักอึ้งจนแทบจะปิด แต่เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในตรอกเล็ก ๆ ทำให้ต้องสะดุ้ง รินเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว และนั่นคือช่วงเวลาที่เขาได้พบกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในเงามืด…

เสียงฝีเท้าหนักแน่นทำให้รินสะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยเงามืด แสงจากโคมไฟข้างถนนสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่แข็งกร้าวและดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด

“เด็กน้อย…” เสียงของชายคนนั้นดังก้องในตรอก น้ำเสียงทุ้มลึกแฝงไปด้วยความเยือกเย็น “เธอมาทำอะไรที่นี่?”

รินไม่ตอบ เพียงมองขึ้นไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและหวาดกลัว

ชายคนนั้นคุกเข่าลงจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกับริน ดวงตาของเขาสบกับรินอย่างแน่วแน่ และในวินาทีนั้นเอง ความสนใจที่แท้จริงก็ปรากฏในสายตา เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในตัวเด็กชายคนนี้ กลิ่นอายแห่งเวทมนตร์ที่ห่อหุ้มรินไว้ แม้เด็กชายจะดูอ่อนแอและอับจนหนทาง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในตัวเด็กคนนี้

“เธอชื่ออะไร?” ชายคนนั้นถามอีกครั้ง เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย

รินส่ายหัวช้า ๆ เมื่อได้ยินคำถามจากชายตรงหน้า เสียงของเขาสั่นเครือและแผ่วเบา ร่างกายของเขาเย็นชืดและเปียกปอนจากสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมา

“ผม…ผมจำไม่ได้…”

เขาพยายามเค้นความทรงจำ พยายามนึกถึงชื่ออันคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า ภาพของสวน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้หญิงคนหนึ่ง และเสียงหัวเราะที่เคยอยู่รอบตัวเขาหายไปเหมือนหมอกจางในสายฝน

“ผมชื่ออะไร...” รินพึมพำกับตัวเอง ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง ปากที่พยายามขยับได้ง่ายตามปกติกลับอ้าค้างไว้ ชื่อนั้น ชื่อที่เขาเคยเปล่งออกมาด้วยความมั่นใจและความสุข กลับติดอยู่ในลำคอเหมือนคำที่ถูกลืมไปแล้ว

เขากำมือแน่น ความสับสนและความกลัวพุ่งเข้ามาในใจ “ทำไมผมถึงจำไม่ได้...ผมคือใคร...”

ดวงตาของเขาเหลือบมองชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่ดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด

คนคนนี้เป็นใคร...’ รินคิดในใจ ‘ทำไมเขาถึงมาที่นี่...ทำไมเขาถึงถามชื่อเรา...’

ชายตรงหน้ามองดูรินที่จมอยู่ในความสับสน ดวงตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ เขาเอื้อมมือไปแตะไหล่ของรินเบา ๆ ราวกับจะดึงเด็กชายออกจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว

“เธอไม่จำเป็นต้องนึกถึงอดีตตอนนี้” ชายคนนั้นพูด น้ำเสียงแฝงไปด้วยความมั่นคง “เธออาจลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่นั่นไม่สำคัญ...ฉันจะให้เธอเริ่มต้นใหม่”

รินมองชายตรงหน้าด้วยสายตาสงสัยและหวาดกลัว แต่ลึก ๆ ในดวงตาที่หม่นหมองนั้นก็มีแววของความหวัง เขาไม่รู้ว่าความหวังนี้มาจากไหนหรือเพราะอะไร แต่ในวินาทีนั้น เขาตัดสินใจที่จะไม่ขัดขืน

ชายคนนั้นมองเด็กชายตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นกว่าสายฝนที่กำลังตกลงมาเสียอีก ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องเด็กชายอย่างแน่วแน่ ราวกับค้นพบสิ่งที่กำลังตามหา

ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังวิกเตอร์มองเห็นรอยยิ้มนั้นถึงกับสะท้านในใจ พวกเขารู้จักรอยยิ้มแบบนี้ดี มันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความเมตตา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงเจตนาบางอย่างที่ยากจะคาดเดา พวกเขายืนมองเงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

“งั้นฉันจะให้ชื่อเธอเอง” วิกเตอร์พูด น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ “ตั้งแต่วันนี้ไป เธอคือไอเดน… ‘เปลวไฟน้อย’

ริน หรือไอเดนที่เพิ่งได้รับชื่อใหม่มองวิกเตอร์อย่างงุนงง ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าทำให้เขาไม่อาจตอบสนองได้อย่างเต็มที่ เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างว่าง่าย

“ขอบคุณครับ…”

“ตามฉันมา” วิกเตอร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขายื่นมือไปทางรินด้วยท่าทางที่แฝงความมั่นใจ “จากนี้ฉันจะดูแลเธอเอง”

ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมามองภาพนั้นด้วยความไม่สบายใจ เขาขยับเข้าไปใกล้ พลางเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน…เด็กคนนี้…เราไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เขาอาจเป็นปัญหาได้ ผมคิดว่า…”

คำพูดของเขาชะงักลงทันทีเมื่อดวงตาของวิกเตอร์ตวัดมามอง สายตาคู่นั้นไร้ซึ่งความอ่อนโยน มันเยือกเย็นและเฉียบคมเหมือนดาบที่พร้อมจะตัดทุกสิ่งที่ขวางทาง คนสนิทที่พยายามเตือนถึงกับกลืนน้ำลาย รีบหลบสายตาและก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ทำตามที่ฉันสั่ง” วิกเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ทรงพลังจนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง

เด็กชายตัวเล็กที่เปียกปอนและเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เลือด และน้ำฝน มองดูเหตุการณ์อย่างเงียบงัน เขาไม่มีแรงแม้แต่จะยืนขึ้นด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ศีรษะและเท้า รวมถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะหมดสติอีกครั้ง

มือใหญ่ของคนสนิทของวิกเตอร์ยื่นมาทางริน ชายผู้นั้นที่เคยพยายามค้านคำสั่ง บัดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม เขาประคองร่างของรินขึ้นมา เด็กชายไม่ได้ปฏิเสธ เขาเพียงมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“ขึ้นรถเถอะ” วิกเตอร์พูดเสียงเรียบ ร่างสูงใหญ่เดินนำไปที่รถยนต์หรูสีดำมันวาวที่จอดอยู่ในมุมมืดของตรอก ลูกน้องพารินไปขึ้นรถ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม

ประตูรถถูกเปิดออก เผยให้เห็นเบาะนั่งหนังแท้ที่นุ่มและอบอุ่น กลิ่นของเครื่องปรับอากาศและน้ำหอมอ่อน ๆ ในรถตัดกับกลิ่นโคลนและฝนด้านนอกอย่างสิ้นเชิง รินถูกพาเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กแทบจะจมหายไปในเบาะที่โอบล้อมทุกส่วนของเขา

เสียงปิดประตูดังขึ้น รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากตรอกสู่ถนนที่ยังเปียกชุ่มจากสายฝน แสงไฟจากตึกสูงที่ผ่านไปเป็นช่วง ๆ ทำให้รินรู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้าสู่โลกที่แตกต่างจากเดิม

ร่างกายอันเหนื่อยล้าของรินสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในรถ สายฝนที่กระหน่ำอยู่ข้างนอกค่อย ๆ หายไปจากความคิด ความนุ่มของเบาะที่เอนไปตามการขับเคลื่อนและความเงียบภายในรถทำให้เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง

“นอนพักไปสิ” วิกเตอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำพูดนั้นคล้ายคำสั่งมากกว่าคำแนะนำ “เธออาจต้องการมัน”

รินไม่มีแรงจะตอบโต้หรือสงสัยอีกต่อไป ความเหนื่อยล้าพุ่งเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดลง และในไม่ช้าเสียงลมหายใจของเด็กชายก็สม่ำเสมอ

วิกเตอร์เหลือบมองรินผ่านกระจก ใบหน้าของเด็กชายดูสงบขึ้นเมื่อหลับตาลง แต่เขากลับยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นแฝงความเยือกเย็น แม้แต่ลูกน้องที่นั่งด้านหน้าก็ยังรู้สึกได้

“เด็กคนนี้จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม” วิกเตอร์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง

ลูกน้องที่เหลือบมองผ่านกระจกหลัง ก่อนจะหันกลับมาขับต่อโดยไม่พูดอะไร เขายังคงรู้สึกอึดอัดกับการตัดสินใจของวิกเตอร์ที่จะรับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาด้วย แต่เมื่อคิดถึงดวงตาเยือกเย็นที่เห็นก่อนหน้านี้ เขาก็เลือกที่จะเงียบ

รินหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนในรถที่อบอุ่น ทิ้งค่ำคืนอันแสนโหดร้ายไว้เบื้องหลัง แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อเขาตื่นขึ้นมา โลกใบใหม่ที่เขากำลังก้าวเข้าไป จะไม่ได้อบอุ่นและปลอดภัยเหมือนรถคันนี้ เขาอาจจะอยากกลับไปนั่งในตรอกมืดที่เย็นเฉียบนั้นเสียมากกว่า...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 33 วิหารเงาแสงสะท้อนแสงแห่งชีวิต

    ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 32 อาณาจักรของสวนรัตติกาล

    เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 31 ปัญหาเรื่องเดิมอีกครั้ง

    หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 30 หัวใจแห่งอาราเลีย

    เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 29 อำนาจที่ไม่เคยได้รับ ความรักที่ไม่เคยได้ชม

    หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 28 ผู้อาวุโสผู้มาพร้อมกับข่าวร้าย

    เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status