เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”
ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์
หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ่งและหนักแน่น “จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม และห้ามมีคำถาม”
พ่อบ้านเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่ชะงักไปก่อนที่จะส่งเสียงออกมา เขาโค้งศีรษะเล็กน้อย แต่แววตาที่มองวิกเตอร์เต็มไปด้วยความรู้สึกเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ “รับทราบครับ นายท่าน”
“ฉันหมายความตามที่พูด” วิกเตอร์เสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เด็กคนนี้...มีความสำคัญ”
พ่อบ้านพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางไม่แปลกใจเท่าไร แต่กลับเป็นเหมือนการยืนยันว่าตนเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดของวิกเตอร์ “ผมจะจัดการให้เรียบร้อยที่สุด ไม่ทราบว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ครับ?”
“ไม่มี” วิกเตอร์กล่าวก่อนจะหยุดชั่วครู่ หันกลับมามองพ่อบ้านตรง ๆ “รู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้”
“เพราะผมไม่เคยทำให้นายท่านผิดหวัง และผมเข้าใจว่าการไว้ใจครั้งนี้สำคัญแค่ไหน” พ่อบ้านยิ้มบาง ๆ ท่าทีมั่นใจแต่ไม่อวดดี
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ไม่บ่อยนักปรากฏขึ้นตรงมุมปากของวิกเตอร์ “ฉันรู้ว่านายเข้าใจ ดูแลเด็กคนนี้ให้เหมือนกับที่เคยดูแลฉันเมื่อตอนเด็ก”
“ผมเข้าใจครับ” พ่อบ้านตอบเสียงเรียบ แฝงไปด้วยความเคารพ “และถ้าเขาเป็นเหมือนกับนายท่านในวัยเยาว์จริง ๆ ผมอาจต้องเตรียมตัวเหนื่อยอีกยาวแน่”
“ก็หวังว่าเขาจะไม่เหมือนฉันทั้งหมด เพราะถ้าเขาเหมือน นายคงต้องเฝ้าระวังเขาตลอด 24 ชั่วโมง” วิกเตอร์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มมุมปากที่หาได้ยากของเขาปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา “ผมว่าท่านอาจจะลืมไปแล้วว่า ตอนที่ผมดูแลท่านในวัยเด็ก ต้องตื่นตลอด 24 ชั่วโมงอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้ผมยังไม่ลืมเลย”
วิกเตอร์หยุดหัวเราะและหรี่ตามองพ่อบ้านด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะตำหนิ แต่กลับแฝงความขบขันไว้ในที “ฉันลืมไม่ลงหรอก แต่ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายกล่าวถึงมันเสียด้วย”
พ่อบ้านไม่ได้สะทกสะท้านกับสายตาของวิกเตอร์ เพียงแต่ยืดหลังตรงและพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม แต่การยอมรับครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญในแบบที่น้อยคนนักจะกล้าทำต่อวิกเตอร์ ชายที่ทั้งซินดิเคทรู้กันว่าไร้ความปรานีและเยือกเย็น
อาจมีเพียงพ่อบ้านคนนี้ คนเดียวในโลกที่กล้าย้อนวิกเตอร์อย่างตรงไปตรงมา และอาจเป็นเพียงคนเดียวที่เคยได้เห็นรอยยิ้มจริง ๆ ของชายที่คนอื่นรู้จักเพียงด้านมืดของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยความไว้วางใจที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เป็นความสนิทสนมที่มาจากกาลเวลาและการร่วมผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกัน
“เจ้ามันดื้อด้านแบบนี้ตลอด” วิกเตอร์ส่ายหัวเล็กน้อย รอยยิ้มบาง ๆ ที่แทบจะไม่ปรากฏให้ใครเห็นหลุดออกมาชั่วครู่
“และนายท่านก็ไม่เคยบ่นเรื่องนี้มาก่อน” พ่อบ้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและสงบเสงี่ยม
หลังจากพูดคุยกับวิกเตอร์เสร็จ พ่อบ้านก็เริ่มดำเนินการทันทีโดยไม่มีคำถามเพิ่มเติม ห้องขนาดกลางที่เงียบสงบซึ่งตั้งอยู่ในปีกที่เป็นส่วนตัวถูกจัดเตรียมให้ไอเดน ห้องนี้ไม่ได้หรูหราเท่าห้องของวิกเตอร์หรือมาร์คัส แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเตียงนอนที่นุ่มสบาย โต๊ะเขียนหนังสือ และอ่างน้ำอุ่นที่พร้อมให้ใช้งาน
พ่อบ้านลงมือสั่งการลูกน้องอย่างกระตือรือร้น แต่ยังคงความสุขุมในทุกการกระทำ
“อย่าลืมผ้าขนหนูใหม่ และเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับเด็กชายคนนี้” เขากล่าวเสียงเรียบ “และอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง นายท่านต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ”
ลูกน้องที่ได้ยินเพียงคำว่า “นายท่าน” ต่างรีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเร่งด่วน ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม พวกเขารู้ดีว่าการไม่ทำตามที่พ่อบ้านบอกหมายถึงอะไร
จากนั้นพ่อบ้านก็พาไอเดนที่ยังคงมึนงงมาถึงห้องพัก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น “คุณชายตัวน้อย อาบน้ำและพักผ่อนเถอะ ทุกอย่างในห้องนี้เตรียมไว้สำหรับคุณชายแล้ว”
“ผม…เอ่อ ผมควรทำอะไร? หรือที่นี่คือ…” ไอเดนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พยายามถาม
“ไม่ต้องกังวล” พ่อบ้านตอบขัดขึ้นเบา ๆ “ทุกสิ่งที่นี่เป็นคำสั่งของนายท่าน หน้าที่ของผมคือทำให้แน่ใจว่าคุณชายจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด”
ไอเดนพยักหน้าเบา ๆ แต่ดวงตายังคงฉายแววสงสัย เขามองพ่อบ้านที่คอยดูแลอย่างละเอียด ราวกับพยายามค้นหาความหมายในคำพูดและการกระทำของเขา พ่อบ้านยังคงรักษาท่าทีเรียบนิ่ง ไม่ให้เด็กชายคาดเดาอะไรได้มากไปกว่านี้
หลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ไอเดนเดินกลับมาสำรวจห้องพักที่เขาได้รับอีกครั้ง ห้องนี้มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตกแต่งเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ขัดเงาและพรมสีอ่อนที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น แสงไฟนวล ๆ จากโคมไฟตั้งโต๊ะช่วยเพิ่มบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลาย
“ดีกว่าห้องโถงเมื่อกี้...” เขารู้สึกว่าห้องนี้มีความอบอุ่นดูสบาย ๆ ต่างจากห้องโถงใหญ่ที่เยือกเย็นและเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน
ทุกคนที่ดูแลไอเดนในค่ำคืนนี้ แม้จะไม่ได้สบตาเขาเลย แต่กลับทำหน้าที่ของตนอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำให้เขาหรือทำแผลให้ ทุกคนทำงานอย่างเบามือราวกับกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ ไอเดนที่มีจิตใจอ่อนโยนไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณพวกเขาทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่คนรับใช้เช็ดแผลให้เขาเสร็จ
“ขอบคุณครับ” ไอเดนพูดพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ แม้เขาจะยังเหนื่อยล้าและงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คำพูดง่าย ๆ ของเขากลับทำให้คนรับใช้ที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก รู้สึกคลายความกังวลลงไปบ้าง
เสียงกระซิบที่พ่อบ้านได้ยินจากลูกน้องสะท้อนถึงความรู้สึกนั้น “คุณชายน้อยคนนี้...ต่างจากมาร์คัสจริง ๆ เขาดูสุภาพและใจดี”
พ่อบ้านยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง เขาเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของไอเดนเงียบ ๆ ดวงตาเฉียบคมของเขาพินิจพิเคราะห์เด็กชายคนนี้ที่เพิ่งเข้ามาในซินดิเคท
“ไม่ธรรมดา...” เขาคิดในใจ “เด็กคนนี้มีบางอย่างที่พิเศษ เหมือนอย่างที่นายท่านของฉันมองเห็น”
หลังจากที่ทำแผลและแต่งตัวเสร็จ ท้องของไอเดนก็ร้องเสียงดังจนพ่อบ้านที่ยืนรออยู่ด้านนอกต้องเข้ามา
“ดูเหมือนคุณชายจะหิว” พ่อบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนสั่งให้คนครัวเตรียมอาหารอ่อน ๆ มาให้ “อาหารจะมาถึงในอีกไม่กี่นาที โปรดรอสักครู่”
ไอเดนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากทุกสิ่งเพียงพยักหน้าและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ บนเก้าอี้ข้างเตียง เขามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ความรู้สึกที่แปลกประหลาดแทรกเข้ามาในใจ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก แต่เขาก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในห้องนี้
ไม่นานนัก อาหารอ่อน ๆ ที่ยังมีไอร้อนถูกนำมาเสิร์ฟ ไอเดนรับประทานอย่างเงียบ ๆ ทุกครั้งที่คนรับใช้ส่งอะไรให้ เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดคำว่า “ขอบคุณ” อย่างจริงใจ ท่าทีสุภาพนั้นสร้างความประทับใจให้พ่อบ้านที่ยืนมองอยู่ในมุมหนึ่ง
เมื่อไอเดนรับประทานอาหารเสร็จ เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่อบอุ่น ในที่สุดค่ำคืนอันเหน็บหนาวและโหดร้ายก็สิ้นสุดลง แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าความสุขสงบที่ได้รับในคืนนี้ เป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย...
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ
สายฝนกระหน่ำลงมาราวกับจะล้างทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองอาราเลีย แต่ไม่อาจลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หลังการจลาจล เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ถนนที่เคยคึกคักบัดนี้เงียบงัน เต็มไปด้วยเศษซากและคราบเลือด บ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ยังคงส่งกลิ่นควันฉุน ผู้คนที่รอดชีวิตเดินโซเซผ่านตรอกเล็ก ๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวังรินที่เปลือยเท้าเปื้อนโคลนและเลือด วิ่งฝ่าสายฝนอันเย็นเฉียบ เสียงฟ้าร้องดังก้องทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นรัว แต่เขาไม่คิดจะหันหลังกลับ เขาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด น้ำตาไหลอาบแก้มรวมกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าความชื้นที่ไหลลงมานั้นเกิดจากอะไร“แม่…ผมขอโทษ…” รินพูดซ้ำ ๆ ในใจ ขณะที่ภาพใบหน้าอันอบอุ่นของโรซาลีแทรกเข้ามาในความคิด เขาจำเสียงสุดท้ายของแม่ได้ เสียงที่สั่งให้เขาซ่อนตัว เสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความหวาดกลัว เสียงนั้นยังคงดังก้องในใจราวกับคำสาปเขาวิ่งโดยไม่มองทาง ไม่สนใจเศษซากที่กรีดเท้าจนเลือดไหลเป็นทาง จนกระทั่ง…โครม!
ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลียหนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด