การช่วยให้ตัวร้ายไม่หลงไปในทางที่ผิด หากตัวร้ายไม่เกิดจิตใจมืดบอด เรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น และเขาอาจจะปล่อยนางไปในสักวันก็เป็นได้ เมื่อทบทวนเนื้อเรื่องให้ดี เหลียงเฟิงเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำมากที่สุด เขาต่างหากที่น่าสงสารไม่ได้รับทั้งความรัก และยังถูกหลอกใช้
“ถือเสียว่าช่วยเขาได้ก็เหมือนช่วยตัวเองให้รอดก็แล้วกัน” ใช่แล้ว หากว่าท่านอ๋องหายดีแล้วจากไปไม่กลับมาพบกันอีกเลย อย่างไรก็ดีต่อชีวิตน้อย ๆ ของนาง แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นนางและเขายังคงต้องพบเจอกันอีก ก็ถือเสียว่าได้สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันเอาไว้ เมื่อยามจากไปจะได้จากกันด้วยดี
หนิงเซียนนั่งบดยาอยู่หลายชั่วยาม นางทำยาแค่ไม่กี่อย่าง ยาแก้ฟกช้ำ แก้ช้ำในและยาแก้เจ็บป่วยง่าย ๆ เท่าที่ทำได้ ขวดยาแต่ละขวดถูกวางเรียงรายไว้เต็มโต๊ะ ทุกอย่างเหลือเพียงแค่ผสมน้ำมรกตลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้น
หญิงสาวมองผลงานความสำเร็จของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกันนั้นนางยังบรรจงเขียนชื่อยาและวิธีการใช้ไว้ข้างขวดทุกใบ จากนั้นได้นำยาทั้งหมดเก็บไว้ในหีบที่ได้เตรียมไว้แต่แรก ก่อนจะยกหีบใบนั้นลุกเดินจ้ำอ้าวไปหาเหลียงเฟิง ที่นอนเอกเขนกอ่านตำราอย่างสำราญอยู่บนเตียงตั่งทันที
“อะไรหรือ” อ๋องหนุ่มที่กำลังนั่งเอนหลังอ่านตำราอยู่ข้างหน้าต่างมีท่าทีมึนงง นางหายหน้าหายตาไปถึงสองวันเขาคิดว่าต้องการหลบหน้า เพราะอับอายเรื่องที่นั่งน้ำลายไหลในวันนั้นเสียอีก
“ยาเพคะ ท่านอ๋องจำเป็นต้องใช้ในภายภาคหน้า”
“มู่หลางเอาไปตรวจซิ เป็นยาพิษหรือไม่” ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ เขายังยื่นหีบยาใบนั้นให้องครักษ์คนสนิทหน้าตาเฉย พร้อมกันนั้นก็ยังกำชับให้นำไปตรวจสอบว่าเป็นยาพิษหรือไม่
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” มู่หลางรับมาก็จริงแต่ก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน เขารู้ดีว่าท่านอ๋องเพียงแค่ล้ออนุหนิงเล่นเท่านั้น มิได้จะทำดั่งปากว่าจริง จึงได้แต่เล่นตามน้ำไป
“ไม่ไว้ใจก็เอายาหม่อมฉันคืนมาเพคะ” หนิงเซียนหน้าบูดบึ้งไม่พอใจเป็นอย่างมาก หากจะวางยาพิษจริงนางคงไม่รอมาจนถึงตอนนี้หรอก ปล่อยให้ตายไปตั้งแต่คราวนั้นไม่ดีกว่าหรือ
“อะไรกัน ให้ผู้อื่นแล้วจะขอคืนได้อย่างไร เจ้าต้องไปเรียนมารยาทเสียใหม่นะ” ชายหนุ่มปรายตามองอนุคนงาม แม้จะไม่ได้แฝงด้วยความกรุ่นโกรธแต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เจ้าตัวหมายความเช่นนั้นจริง
“ในเมื่อท่านอ๋องคิดว่ามันเป็นยาพิษแล้วจะเก็บไว้ทำไมเพคะ เช่นนั้นก็คืนหม่อมฉันมาดีกว่า” ย้อนแย้งกันเสียจริง ระแวงถึงเพียงนี้แต่ก็ยังไม่ยอมคืน
“ก็ถ้าหากตรวจแล้วไม่ใช่ยาพิษ ข้าก็จะถือว่านี่เป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าแอบมองเรือนร่างอันล้ำค่าของข้า จนถึงขั้นนั่งน้ำลายไหลเช่นไรเล่า หรือเจ้าจะเถียง” เหลียงเฟิงเอียงคอยักคิ้วให้หญิงสาว เขามิรู้หรอกว่าท่าทางเช่นนั้นพร้อมการยิ้มเพียงมุมปาก มันจะทำให้หนิงเซียนถึงกับสาปส่งเขาในใจ
“หม่อมฉันมิได้เป็นเช่นนั้นเพคะ องครักษ์มู่ใส่ร้ายหม่อมฉัน” ร่างบางชี้ไปทางองครักษ์หนุ่มอย่างไม่พอใจ ที่อีกฝ่ายนำเรื่องวันนั้นไปเล่าให้ท่านอ๋องฟังเสียหมด แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ข้าเบื่อจะเถียงกับเจ้าแล้ว จะไปที่ใดก็ไปเถอะ อาหารค่ำข้าอยากกินคอหมูย่างทำให้ข้าด้วยล่ะ” กลั่นแกล้งนางเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากต้อนให้จนมุมมากกว่านี้พานจะทำให้เกลียดเขาเข้าไปใหญ่
“หม่อมฉันมิใช่บ่าวรับใช้นะเพคะ” สั่งเอา ๆ ตั้งแต่มาพักที่นี่ ใช้นางมิได้ว่างเว้นเลยสักวัน หนิงเซียนหยุดต่อล้อต่อเถียงเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหลังเดินปึงปังออกไป
“เจ้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ แต่เจ้าเป็นเมีย!!”
หนิงเซียนที่กำลังก้าวขาผ่านประตูไปถึงกับต้องชะงักเท้า ใบหน้างามแดงซ่าน นางมิใช่เมียเขาเสียหน่อย ถึงแม้ว่าตอนที่เข้ามาสวมร่างจะเป็นตอนที่ถูกส่งเข้าไปอุ่นเตียงให้เขาก็เถอะ และคนที่อุ่นเตียงก็เป็นนางเอง ทว่าร่างกายนี้มิใช่ มันเป็นของหนิงเซียนตัวจริงต่างหาก สักวันหนึ่งหนิงเซียนก็คงจะกลับมาทวงร่างคืน
“หยุดนะเบล แกห้ามหวั่นไหวเด็ดขาด” หญิงสาวได้แต่เตือนสติตนเองมิให้คิดเกินเลยไปมากกว่านี้ เมื่อถึงวันที่ต้องจากไป คนที่เจ็บปวดที่สุดจะเป็นตัวนางเอง
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน