แม่ทัพไร้พ่ายเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าวด้วยความเร็วหลังจากที่สลัดเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกไปให้พ้นทางตนได้ ถึงแม้จะข่มขู่ให้อีกฝ่ายหยุดความคิดเช่นนั้นไปแล้ว ทว่าใบหน้าคมเข้มของแม่ทัพยังคงมีริ้วรอยแห่งความกังวลใจแฝงอยู่ไม่น้อย เพราะเขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด หากอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวคำขู่เช่นหมูไม่เกรงน้ำร้อน คิดหาหนทางใช้ความดีความชอบขอให้ฮ่องเต้มีราชโองการขึ้นมา ฮวาเอ๋อร์บุตรสาวสุดที่รักของเขาคงมิแคล้วต้องถูกบีบให้ยอมจำนนหมั้นหมายกับไอ้เด็กน้อยตระกูลฉีเป็นแน่แท้ อย่างไรเสียฉีหลิงเฟยเจ้าเสนาบดีเฒ่าคงไม่มีทางยอมถอยหลังกับอีแค่เจอคำขู่ลอยๆ พวกนั้นเป็นแน่
‘เอ... หรือว่าข้าจะทำให้เจ้าเด็กเยว่จินนั่นพิการดีนะ อือ... ไม่ได้ๆ เกิดอวี้หลางบ้าจี้สงสารมัน แล้วมีราชโองการให้ฮวาเอ๋อร์ของข้าแต่งเข้าตระกูลฉี ลูกสาวข้ามิต้องกลายเป็นเมียคนพิการหรอกหรือ’
ท่านแม่ทัพผู้ออกอาการหวงบุตรสาวครุ่นคิด ก่อนจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมาเมื่อคิดหาทางออกได้
‘ใช่แล้ว จะไปยากอะไรเล่า หากทำให้พิการแล้วเป็นปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็เชือดทิ้งไปเสียเลยสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว งั้นก็รอเก็บรวดเดียวเลย ตระกูลไหนกล้ามาทาบทามลูกสาวข้า ข้าจะเก็บพวกมันรวดเดียวเลย’
“ใช่ ต้องแบบนี้แหละ ฮ่าๆๆ ดูสิว่าคราวนี้ยังจะมีไอ้หน้าโง่คนไหนกล้าเสนอลูกชายตัวเองมาให้ฮวาเอ๋อร์ของข้าอีก”
แม่ทัพไร้พ่ายส่งเสียงหัวเราะร่วน เดินกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองไปทางรถม้าที่จอดรออยู่ด้วยความสบายใจที่ตัวเองสามารถคิดหาหนทางออกได้
“ฮัดเช้ย!”
บุรุษในชุดมังกรพลันจามติดๆ กัน มือเรียวยกขึ้นลูบปลายจมูกโด่งได้รูปพลางตรัสกับตัวเองด้วยสุรเสียงงุนงง
“เอ... แปลกนัก น้ำมูกหรือก็ไม่มี แต่ทำไมจามได้ขนาดนี้”
หลิวกงกงขันทีประจำพระองค์ก้าวเข้ามา ก่อนส่งถ้วยน้ำขิงที่มีควันลอยหอมกรุ่นให้ “ฝ่าบาท ทรงเสวยน้ำขิงร้อนๆ ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะทรงหักโหมงานหนักจนเกินพระวรกาย”
ฮ่องเต้หนุ่มรับถ้วยมายกซดเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งกลับคืนให้อีกฝ่าย แล้วนั่งครุ่นคิดในใจต่อ พระองค์กำลังหมายมั่นปั้นมือจะจับบุตรสาวของสหายรักมาหมั้นหมายกับองค์ชายน้อยของพระองค์อยู่
‘เจ้าสาม เจ้าห้า หรือว่าเจ้าแปดดีนะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หมิงหลง ลูกสาวเจ้าจะต้องเป็นชายาของคนที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทข้า’
อวี้หลางฮ่องเต้คิดสรุปในใจเงียบๆ พระพักตร์งดงามราวกับสตรีมีรอยยิ้มยินดีระบายทั่ว ยามคิดถึงตอนที่สหายรักได้รับรู้สิ่งที่พระองค์จะทำ
‘นี่ถ้าหมิงหลงรู้ว่าข้ายกย่องบุตรสาวเขาถึงขนาดนี้ละก็ คงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว’ ฮ่องเต้คิดพลางหัวเราะด้วยความปีติ
อนิจจา! หากพระองค์มีญาณทิพย์สามารถล่วงรู้ได้ว่าสหายรักที่กำลังคิดพระราชทานโอรสของตนเพื่อให้เป็นว่าที่ลูกเขยของอีกฝ่าย ในยามนี้นั้นคิดวางแผนที่จะกำจัดบรรดาเด็กชายทั้งหลายแหล่ที่จะนำมาเสนอให้แก่บุตรสาวของตนอยู่ คาดว่าพระองค์คงเลิกล้มความคิดนี้แทบไม่ทันแน่ๆ
“แม่ทัพจ้าวๆ ท่านกำลังจะกลับจวนหรือ”
เสียงเล็กร้องถามจากด้านหลัง เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กชายในชุดแต่งกายสีสันสดใส ใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับเด็กผู้หญิงมีเค้าโครงของอวี้หลางฮ่องเต้อยู่มิน้อย
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายแปดทรงมีธุระอะไรกับกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกเบื่อและเหงา ในวังก็ไม่มีอะไรให้เล่นสนุกเลย”
องค์ชายแปดอวี้เยี่ยนบ่นลอยๆ ให้คนตรงหน้าฟัง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแสร้งก้มหน้าถามเสียงเศร้า ทว่าดวงตานั้นฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างที่เด็กวัยนี้ไม่ควรมี
“ดังนั้นข้าเลยอยากขอไปเที่ยวเล่นที่จวนของท่าน ท่านแม่ทัพให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
จ้าวหมิงหลงที่เมื่อครู่อดนึกสงสารองค์ชายน้อยไม่ได้พลันรู้สึกตัวสะดุ้งเฮือก การจะพาไปนั้นหาใช่เรื่องยาก ทว่าร้อยวันพันปีมิเคยเห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีสนใจไปจวนเขาสักนิดนี่นา
ดวงตาคมหรี่มองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มอย่างสำรวจ ก่อนจะสรุปกับตนเองอย่างมั่นใจว่าองค์ชายตัวน้อยพระองค์นี้ น่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่บุตรสาวสุดที่รักของเขาอย่างแน่นอน
‘ฝันไปเถิดเจ้าเด็กน้อย ถึงเจ้าจะเป็นโอรสแห่งฮ่องเต้สหายข้าก็ตาม แล้วอย่างไรเล่า อย่าหวังเลยว่าจะได้ลูกข้าไปครอง’
“ขออภัยด้วยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมก็อยากให้พระองค์ไปด้วย เพียงแต่ยามนี้บุตรสาวกระหม่อมกำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ หากให้พระองค์เสด็จตามไปด้วยละก็ เกรงว่าอาจจะทรงติดโรคจากบุตรสาวกระหม่อมได้”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้สีเลือด อวี้เยี่ยนได้ยินดังนั้นก็รีบถอยร่างหนีห่าง ดวงตาหงส์คู่เล็กจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเกรงๆ
“บุตรสาวของท่าน นางเป็นโรคติดต่ออย่างนั้นหรือ”
หมิงหลงซ่อนยิ้มผงกศีรษะรับคำโดยทันที
‘ฮึ เจ้าเด็กน้อย คิดหรือจะสู้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้ใหญ่ได้ เจ้ามารยามาข้าก็มารยากลับ ไม่โกงกันอยู่แล้ว ไม่มีข้อห้ามใดห้ามไม่ให้ผู้ใหญ่มารยานี่นา’
“บุตรสาวของกระหม่อม นางป่วยเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันทางผิวหนังพ่ะย่ะค่ะ โดยอาการที่เป็นจะมีตุ่มน้ำหนองขึ้นตามผิวกาย ถ้าตุ่มไหนขึ้นมานานแล้วก็จะแตก เวลาแตกผิวหนังนางจะแยกออกจนเห็นเนื้อด้านในเน่าเฟะ น้ำหนองจะไหลเยิ้มออกมา ที่สำคัญคือ หากสัมผัสถูกตัวก็จะติดโรคเช่นเดียวกับนางไปด้วย ยามนี้กระหม่อมต้องส่งสาวใช้ที่คอยดูแลนางกลับบ้านไปถึงสามคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหนุ่มสาธยายพลางลอบสังเกตสีหน้าเด็กน้อยคู่สนทนา เมื่อเห็นว่าองค์ชายแปดแสดงท่าทีรังเกียจหวาดเกรงในตัวเขา มือใหญ่จึงยื่นมาข้างหน้าคล้ายจะจับต้องถูกเนื้อตัวอีกฝ่าย
อวี้เยี่ยนผงะร่างก้าวถอยหลัง หลีกหนีมือใหญ่ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับเด็กหญิงนั้นบิดเบี้ยวนิดๆ แววตาฉายความรังเกียจให้เห็นอย่างไม่อาจปิดบัง ก่อนจะหมุนกายหันหลังวิ่งหนีจากไปโดยไม่คิดร่ำลา
ถึงแม้ว่าพระมารดาจะสั่งให้เขาตีสนิทและหาทางเป็นลูกเขยแม่ทัพจ้าวก็เถอะ แต่แบบนี้ไม่ไหวนะ เขายังไม่อยากติดโรคไปด้วยนี่นา
‘เสด็จแม่... มันไม่ใช่ แบบนี้ลูกไม่ไหวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ’
จ้าวหมิงหลงมองตามหลังร่างเล็กที่วิ่งหนีไปจนลับตา ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะมองตามไป เจ้าเด็กนี่อายุเพียงเท่านี้ในใจคิดเริ่มวางแผนการแล้วหรือ
‘เห็นแก่หน้าบิดาของเจ้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัว แต่ถ้ามีคราวหน้าจะเล่นงานเจ้าที่ใจแทน’
“กลับ!” สิ้นเสียงคำสั่ง รถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนไหวมุ่งหน้าสู่จวนไร้พ่ายทันที
เมื่อลับร่างทุกคนไปแล้วพลันปรากฏร่างเด็กหนุ่มสองคนวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งคู่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ทางด้านหนึ่ง
“น้องห้า เจ้าว่าท่านแม่ทัพน่าสงสารหรือไม่”
เด็กหนุ่มคนโตกว่าหันไปถามผู้มีศักดิ์เป็นน้อง พลางเหม่อมองตามหลังรถม้าของแม่ทัพไร้พ่าย ทั้งสองคือองค์ชายสามอวี้เจี้ยนกับองค์ชายห้าอวี้เหลียนนั่นเอง
อวี้เหลียนหันไปมองตามพี่ชายทางทิศที่แม่ทัพจากไป นัยน์ตาสีดำเป็นประกายทอแสงวูบหนึ่ง เขามั่นใจว่าคำพูดประโยคเมื่อสักครู่นี้ของแม่ทัพจ้าวโกหกแน่นอน ทว่าองค์ชายห้าผู้ฉลาดเฉลียวทรงยึดถือในคติประจำใจของตนเอง นั่นคือ...
‘ไม่คิดยุ่งเรื่องของผู้อื่น’
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตอบออกไปไม่ตรงคำถามเท่าใดนัก “หากเป็นดั่งคำที่ท่านแม่ทัพเอ่ยมา ข้าว่าเขาก็น่าสงสารอยู่”
ใช่... ถ้าเป็นความจริงก็น่าสงสาร แต่ในเมื่อโกหกย่อมไม่น่าสงสารอันใด
อวี้เจี้ยนมองตามสายตาน้องชายแล้วถอนหายใจเบาๆ เอาเถิด ท่านแม่ทัพเองก็รบกับข้าศึกเพื่อปกป้องบ้านเมืองมาอย่างยากลำบาก สร้างความดีความชอบมาก็มิใช่น้อยๆ
‘ในอนาคตหากแม้บุตรีของท่านสามารถมีชีวิตรอด ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยา ข้าจะรับนางมาเป็นชายาให้เอง’ อวี้เจี้ยนผู้อ่อนโยนคิดพลางบอกกับตัวเองเงียบๆ
หลังจากนั้นในเมืองหลวงก็บังเกิดข่าวลือขึ้นมา และกลายเป็นประเด็นร้อนแห่งแคว้นเลยทีเดียว ข่าวนั้นเล่ากันว่า บุตรสาวท่านแม่ทัพไร้พ่าย คุณหนูคนเดียวของสกุลจ้าวเป็นโรคติดต่อทางร่างกาย จนทำให้มีใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก แถมร่างกายยังพิกลพิการด้วยโรคนี้อีกด้วย
ข่าวนี้เล่าลือกันจนหนาหู ได้ยินไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ พระองค์ทรงร้อนพระทัยถึงกับต้องไปถามคาดคั้นเอากับสหายคนสนิท
ยิ่งเห็นสหายรักก้มหน้านิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ฮ่องเต้หนุ่มยิ่งกำสรดด้วยความสงสารและเห็นใจอีกฝ่าย ส่วนท่านแม่ทัพก็ให้นึกยินดีในใจ นับว่าองค์ชายแปดกับพระสนมเต๋อเฟยช่างเป็นหอกระจายข่าวชั้นดีของเขาจริงๆ ทำได้ยอดเยี่ยมนัก
จะมีให้ขัดใจบ้างคงเป็นองค์ชายสามอวี้เจี้ยนนี่แหละ มาเอ่ยปากบอกว่าหากฮวาเอ๋อร์ของเขารอดไปได้จนเติบใหญ่แล้วละก็ พระองค์ยินดีจะรับบุตรสาวสกุลจ้าวมาเป็นพระชายา ทำเอาฮ่องเต้กับแม่ทัพถึงกับน้ำตาซึมกันเลยทีเดียว
จะแตกต่างกันก็ตรงที่ฮ่องเต้นั้นน้ำตาซึมเพราะทรงปลาบปลื้มพระทัยที่โอรสของพระองค์มีจิตใจดีงาม ไม่คิดรังเกียจบุตรีของสหายรัก
ส่วนท่านแม่ทัพนั้นน่ะหรือ ซึมเพราะคิดว่าตนอุตส่าห์กำจัดคนอื่นได้แล้ว กลับดันมีองค์ชายสามโผล่เข้ามาอีก
‘องค์ชาย ท่านจะเมตตาทำไมถึงไม่ถามกันก่อนเล่า ว่ากระหม่อมต้องการหรือไม่’
แม่ทัพต่อว่าอีกฝ่ายน้ำตาซึม ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโมโหองค์ชายสาม ผู้หวังดีที่เขาไม่ต้องการสักนิด
ทว่าต่างกับฮ่องเต้ที่มีรอยยิ้มกว้างขวางบนพระพักตร์ เพราะคิดว่าสหายของพระองค์นั้นร้องไห้เพราะความซาบซึ้งใจ
ส่วนองค์ชายห้าผู้ฉลาดเฉลียวเกินวัย พอจะเดาได้ถึงความคิดในใจแม่ทัพกับพระบิดาตน เขาจึงได้แต่อดทนนั่งกลั้นเสียงหัวเราะเสียจนหน้าเขียวหน้าดำอยู่ผู้เดียว อนิจจา...
อวี้เจี้ยนองค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน ในยามนี้ยืนมองรถม้าที่บรรทุกอัดแน่นด้วยขนมทั้งหลายแหล่ที่ตนสั่งให้นำไปกำนัลแด่สาวเจ้าตัวน้อยเวลานี้มีถึงสี่คัน ซึ่งนำมาจอดเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ลานหน้าตำหนักส่วนพระองค์ ด้วยสายตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองโม่ฉีองครักษ์คนสนิท ที่นั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพลางเอ่ยปากถาม“เกิดอะไรขึ้น?”โม่ฉีเงยหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย ในดวงตามีร่องรอยของความเสียใจไม่น้อย “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย เป็นเพราะกระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ แม้แต่จะก้าวเข้าประตูจวนไร้พ่ายก็ไม่อาจทำได้“เพราะเหตุใดกัน”โม่ฉีมีดวงตาแดงก่ำยามคิดถึงตอนที่เขานำรถม้าที่บรรทุกขนมไปเต็มคันรถวิ่งเข้าไปจอดหน้าจวนตระกูลจ้าว“ข้าคือองครักษ์ขององค์ชายสาม นามว่าโม่ฉี ได้รับคำสั่งจากองค์ชายของข้าให้นำขนมเหล่านี้มามอบให้แก่คุณหนูจ้าว”สิ้นคำพูดแสดงความจำนง บ่าวคนรับใช้ที่ยืนอยู่หลังประตูก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม“ขอท่านองครักษ์ได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบเข้าไปรายงานนายท่านก่อนขอรับ”พูดจบบ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งหายเข้าไปในจวนชั่วครู่หนึ่ง ก่อน
ยามค่ำคืน ณ ตำหนักขององค์ชายสามอวี้เจี้ยนร่างสูงที่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มเวลานี้กำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ เบื้องหน้าเป็นโต๊ะไม้เนื้อเงางาม ข้างบนมีพิณสีดำตัวใหญ่วางอยู่ นิ้วเรียวยาวของเด็กหนุ่มกรีดกรายไปตามสายอย่างชำนิชำนาญเสียงเพลงแผ่วหวานดังกังวานหนักแน่น แต่บางครั้งก็ทอดเสียงลงคล้ายจะขาดใจ สลับกับรวยระรินคล้ายเสียงสะอื้นไห้ในบางครา จนองครักษ์ประจำตำหนักรู้สึกราวกับตัวเองจะขาดใจตามเสียงนั้นไปด้วย ก่อนเจ้าตัวจะหยุดดีดนิ่งไปเสียดื้อๆ“องค์ชาย ทรงมีอะไรในใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” โม่ฉีเอ่ยถามเมื่อเห็นองค์ชายหยุดเล่นเพลงกลางคัน เอาแต่ทอดถอนใจดังเฮือกๆ“โม่ฉี เจ้าเคยรู้สึกแบบ... ใจเต้นแรง อึดอัดคล้ายหายใจไม่ออกยามอยู่ใกล้ แต่อยากเห็นหน้าอยากฟังเสียงอยากพูดคุยด้วยเมื่อห่างไกล อะไรแบบนี้บ้างหรือไม่”“เคยสิพ่ะย่ะค่ะ ถ้าให้กระหม่อมเดา คนผู้นั้นคงเป็นเด็กผู้หญิงด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”อวี้เจี้ยนได้ยินดังนั้นจึงละความสนใจจากพิณตรงหน้า หันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทอย่างแปลกใจ“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เด็กหนุ่มหันใบหน้าหล่อเหลาที่ออกไปทางหวานดุจสตรีขึ้นมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า เอ่ยถ้อยคำต่อด้วยน
คุณหนูจ้าวหายตัวไปไม่ทันถึงครึ่งวันท่านแม่ทัพถึงขนาดนำกองกำลังในสังกัดเข้าค้นวังหลวง‘อา... คุณหนูจ้าวผู้นี้ นางช่างเป็นตัวเรียกความวุ่นวายจริงๆ’นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิด หลังจากที่ถูกท่านแม่ทัพบังคับให้ช่วยกันตามหาบุตรสาวสุดรัก ทว่าก็ได้แค่คิดอยู่ในใจ เพราะความจริงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งแน่นอนวันนี้ครอบครัวท่านแม่ทัพตัดสินใจออกจากวังกลับสู่จวนตนเอง เพราะทิ้งจวนให้เหล่าคนรับใช้ดูแลกันเอง นานไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อฮูหยินจ้าวสามารถขยับตัวเดินเหินได้แล้ว ทุกคนจึงตกลงใจกันว่าจะกลับสกุลจ้าว โดยทิ้งให้อวี้หลางฮ่องเต้ที่มีพระพักตร์บูดบึ้งไว้เบื้องหลัง เพราะไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้น้องสาวกับหลานสาวพักอยู่ในวังหลวงต่อไปได้อีก“หลิวกงกง เราคิดอะไรออกแล้ว” ฮ่องเต้รับสั่งกับขันทีคนสนิทสุรเสียงยินดี ก่อนจะสะดุ้งพระวรกายด้วยความเจ็บที่ก้นเมื่อขยับองค์อา... น้องสาวที่ถูกแทงนั้น ขณะนี้สามารถเดินเหินเป็นปกติได้แล้ว แต่พระองค์ที่ถูกกระบองแม่ทัพผู้เป็นน้องเขยฟาดก้นนี่สิ ยามนี้แม้แต่จะลุกหรือนั่งก็ยังไม่อาจทำได้เลย“คิดอะไรออกหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นจากก้นผู้เป็นนายพร้อมกับเอ่ยถามอวี้หลาง
‘อา... องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแห่งแคว้นต้าเฉินช่างแปลกประหลาดนัก หากมิใช่เสด็จลุงแล้ว คงหาคนที่เลี้ยงลูกให้กินง่ายอยู่ง่ายเช่นนี้ได้ยากยิ่งเด็กหญิงเฝ้าคิดบอกกับตัวเองแบบนั้นขณะเดินผละออกมา ปล่อยให้องค์ชายห้าผู้ติดดินก้มหน้าก้นโด่งคุ้ยหาไส้เดือนกินต่อไปตามอัธยาศัยร่างเล็กเดินลัดเลาะมาตามแนวร่มไม้ จนป่านนี้นางยังหาทางกลับไม่เจอ หูได้ยินเสียงฝีเท้าอีกหนึ่งเสียงที่ลอบตามมาพักใหญ่แล้วดวงตากลมโตลอบมองคนที่แอบตามมา ก็พบว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวัยไม่น่าจะห่างจากนางมากนัก เจ้าตัวเดินมากับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งจ้าวเหมยฮวาแกล้งทอดฝีเท้าเดินช้าบ้างเร็วบ้าง บางครั้งก็แกล้งหยุดเดินเพื่อดูทีท่า ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตามติดไม่ลดละ‘ช่างเถอะ เด็กตัวแค่นี้คงไม่ใช่พวกสโตกเกอร์โรคจิต แบบในชาติก่อนที่นางเคยอยู่หรอกน่า’ อวี้เยี่ยนมองร่างเล็กในชุดขาวแล้วลอบกระหยิ่มนึกยิ้มลำพองใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่รู้ตัวว่าเขาแอบติดตามนางอยู่อันที่จริงองค์ชายแปดผู้นี้ลอบเดินตามอีกฝ่ายมาตั้งแต่เห็นนางเดินออกจากลานฝึกยุทธ์ของพี่ห้าแล้ว พระมารดาเคยบอกไว้ว่า ถ้าอยากเอาชนะพี่สามกับพี่ห้า อย่างไรเสียเขาก็ต้องแต่งกับบุตรสาวแ
‘องค์ชายสามผู้นี้ช่างเป็นคนพอเพียงนัก อยากกินปลาก็หาจับเอง เสด็จลุงทรงเลี้ยงลูกได้ติดดินจริงๆ’ จ้าวเหมยฮวาคิดสรุปกับตนเองก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้อวี้เจี้ยนผู้เป็นองค์ชายว่ายน้ำดำผุดดำว่ายหาปลาคนเดียวต่อไปตามอัธยาศัยจ้าวเหมยฮวาเดินจากมาแบบงงๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้สตินึกขึ้นได้ว่า...‘อา... จริงด้วย ลืมไปเลย ข้าไม่ได้รอจิงหยู’ ใช่แล้วนางเดินจากมาโดยไม่ได้รอจิงหยู และที่สำคัญตอนนี้นางหลงทางเป็นที่แน่นอนแล้ว เด็กหญิงหันไปมองหาทางเก่าที่เดินจากมา ก็พบว่าเส้นทางทุกด้านดันเหมือนกันไปหมดเลย‘ลองไปข้างหน้าดูก่อนละกัน’ บอกตัวเองในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินลัดเลาะไปตามแนวรั้วต้นไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างงดงามมองแล้วให้เพลินตายิ่ง ร่างเล็กยังคงเดินชมนกชมไม้อย่างสบายใจ หากใครได้พบเห็นคงมองดูคล้ายกำลังเดินเล่นเสียมากกว่า ก็นะ นางยามนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะหลงทางบ้างก็คงจะไม่แปลกอันใดคิดเองเออเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ หูพลันแว่วได้ยินเสียงดังแหวกอากาศ ฟังเหมือนมีคนกำลังฝึกยุทธ์ลอยมาจากทางด้านหน้า ร่างเล็กเดินเลาะแนวไม้เพื่อตามหาเสียงดังกล่าว จนมาถึงลานสนามหญ้าเล็กๆ ไม่กว้างนัก ดวงตาคู่ดำเป็นประ
ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเฉินยามนี้เกิดข่าวลือหนาหู ทุกคนต่างรู้ดีว่าต้นเรื่องนั้นคือบุตรีแม่ทัพไร้พ่ายเสียงเล่าลือต่อๆ กันไปว่า คุณหนูตระกูลจ้าวนั้นไม่ใช่แค่เพียงอัปลักษณ์ แต่นางยังเป็นตัวนำความโชคร้ายเข้ามาหาผู้อื่นอีก ดูแค่ก้าวเท้าย่างเข้าวังหลวงเพียงวันเดียวยังนำพาปีศาจร้ายเข้ามาอาละวาดในวังเสียจนพังพินาศไปตามๆ กัน ขนาดฮ่องเต้ผู้เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์ยังถึงกับประชวร ออกว่าราชกิจไม่ได้เป็นเดือนๆอา... สวรรค์ คุณหนูสกุลจ้าวนางช่างน่ากลัวเหลือเกิน“คุณหนูเจ้าคะ จะไปหาฮูหยินเลยไหมเจ้าคะ” จิงหยูเอ่ยถามน้ำเสียงสดใส ดวงตามองทรงผมที่นางขมวดไว้ครึ่งบนติดดอกไม้น่ารัก ปล่อยเรือนผมครึ่งล่างให้ยาวสยายจ้าวเหมยฮวาอยู่ในชุดขาวปักชายด้วยลวดลายบุปผาสีชมพูสดใสที่สาวใช้นำมาบรรจงสวมให้เจ้านาย คุณหนูของนางช่างงามเหลือเกิน จิงหยูลอบชมเจ้านายตัวน้อยในใจ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าสีขาวข้างมือมาคลุมผูกไว้บนใบหน้าน่ารัก“ทำไมคุณหนูต้องปิดหน้าด้วยล่ะเจ้าคะ เพราะคุณหนูปิดหน้าแบบนี้ พวกปากมากทั้งหลายเหล่านั้นถึงกล่าวหาว่าท่านอัปลักษณ์ได้” จ้าวเหมยฮวาหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสาวใช้พูดด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งยังมีท่าทีเป