공유

บทที่ 8

작가: หอมดังเดิม
ซูชิงลั่วตกใจมากกว่าคนอื่นๆ อีก เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพิสูจน์ได้จากมุมนี้ว่านางหลิ่วโลภในสินเดิมของนาง

ตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงก็เพิ่งจะอายุได้สิบขวบ ในทีแรกร้านค้าเหล่านี้เป็นท่านยายที่ช่วยนางดูแล และทุกเดือนท่านยายก็จะเรียกให้นางไปตรวจสอบบัญชี

ต่อมาเนื่องจากท่านยายไม่มีเรี่ยวแรง นางหลิ่วจึงอาสารับช่วงต่อ

ในช่วงครึ่งปีแรกนางหลิ่วก็ยังคงให้นางตรวจสอบบัญชี แต่ต่อมาก็อ้างว่าไม่ว่าง สามเดือนจึงให้ตรวจสอบดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าน้าสาวไม่มีทางทำร้ายนาง จึงไม่ให้นางได้ตรวจสอบบัญชีอีกเลย

นางเป็นคนหน้าบาง คิดว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย อีกทั้งนางหลิ่วก็เป็นญาติ และยังปฏิบัติกับนางไม่เลว ดังนั้นนางจึงไม่เคยพูดอะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สีหน้าของนางหลิ่วแดงและซีดสลับกัน ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดอ้ำอึ้งออกมา "อย่างไรชิงลั่วก็ยังเด็ก ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะถูกคนข้างล่างหลอกลวงจึงรับช่วงช่วยดูแลร้านค้าให้..."

ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คำโกหกของนางดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นอีก

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "คุณหนูซูตอนนี้ก็อายุสิบหกแล้ว การหมั้นก็ยกเลิกไปแล้ว ร้านค้าก็คงคืนได้แล้วไหม?"

น้ำเสียงที่พูดกึ่งบังคับ

นางหลิ่วถูกบารมีของเขาข่มขวัญ พูดอ้อมแอ้มว่า "แน่นอน..."

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ส่งมอบให้เรียบร้อยภายในหนึ่งเดือน"

เขากวาดสายตามองไปที่ทุกคน "เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของผู้หญิง ห้ามใครเอาไปพูดต่อ มิฉะนั้นจะถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลลู่"

เสียงพูดเต็มไปด้วยอำนาจ

ทุกคนตอบรับพร้อมกัน

ลู่เหิงจือพูดต่อ "เฝ้าไข้กันมาทั้งคืน ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว แยกย้ายกันเถอะ"

นางหลิ่วถลึงตาใส่ซูชิงลั่วด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป

ผู้คนค่อยๆ สลายตัวไป แต่ซูชิงลั่วยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองไปที่ลู่เหิงจือผ่านฉากกั้นลม

นางคิดว่าการถอนหมั้นเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว คิดว่าร้านค้าที่เป็นสินเดิมคงต้องรอจนนางแต่งงานนางหลิ่วถึงจะยอมคืนให้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยนางเอากลับมาได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้ง สังคมนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงมาก เรื่องในวันนี้แม้นางจะเป็นฝ่ายถูก แต่ถ้าเรื่องแพร่กระจายไป ก็อาจเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหายได้

ลู่เหิงจือยังระมัดระวังกำชับไม่ให้ใครพูดเรื่องนี้ออกไปอีก

นางไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไรดีแล้ว

ลู่เหิงจือเองก็ยังยืนนิ่งอยู่เช่นกัน

ทั้งสองมองกันผ่านฉากกั้นลมอยู่ครู่หนึ่ง จนลู่เหิงจือเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน "ยังมีอะไรอีกหรือ?"

น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่ ราวกับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและห่วงใย

ตอนนี้ผู้ชายคนอื่นออกไปกันหมดแล้ว เขาเพิ่งช่วยเรื่องใหญ่หลวงกับนาง หากยังยืนคุยหลังฉากกั้นลมก็ดูจะห่างเหินไปหน่อย

ซูชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากหลังฉากกั้น แล้วแสดงความเคารพเขาอย่างจริงจัง "ขอบคุณพี่สามมาก"

นางสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน เอวบางราวกับจะขาดจากกันให้ได้ ท่าทางตอนก้มศีรษะคำนับอย่างช้าๆ ทำให้ดูน่ารักอย่างมาก

ลู่เหิงจือมองนางครู่หนึ่งแล้วพูด "ในเมื่อเรียกข้าว่าพี่สาม ยังจะมากพิธีอะไรอีก?"

เสียงของเขาเบามาก แต่เมื่อได้ยินกลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล

นางสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกที่ผิดพลาดคิดไปเองหรือไม่ ที่นางรู้สึกว่ายมทูตหน้าเหล็กคนนี้ดูอบอุ่น

นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ โดยไม่รู้ตัว อยากจะดูว่าลู่เหิงจือในตอนนี้มีท่าทางเป็นอย่างไร

ชายคนนั้นยังคงสวมชุดสีน้ำเงินตามปกติ รัดเอวด้วยเข็มขัดหยก ดูสง่างามและสูงส่ง ยืนอยู่ในสวนเหมือนต้นไม้สูงใหญ่ที่สง่างาม

ฉับพลันซูชิงลั่วก็เกิดความรู้สึกประหลาดในใจขึ้นมา จังหวะหัวใจก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นางก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนหลายภาพตรงหน้า ร่างกายโอนเอนจวนจะล้ม

มือที่แข็งแรงข้างหนึ่งคว้าจับแขนของนางไว้ทันที

ลู่เหิงจือพยุงนางไปที่เก้าอี้ในห้องโถง พูดเสียงเข้มว่า "ไปเอาน้ำตาลแดงมาให้ข้าชามหนึ่ง"

ซูชิงลั่วรู้สึกเวียนหัว หายใจไม่เป็นจังหวะ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมาจากตัวชายหนุ่ม ผสมกับกลิ่นเหล้าหอมอ่อนๆ ช่างน่าดมเหลือเกิน

ปลายนิ้วเย็นๆ บีบคางของนางเบาๆ น้ำตาลแดงอุ่นๆ ถูกส่งเข้าไปในปาก ทำให้นางเริ่มรู้สึกมีสติขึ้นมา

เมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นว่าหลู่เหิงจือใช้มือข้างหนึ่งจับแขนนางเอาไว้แน่น

เขาก้มลงมองนางครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เป็นอะไรหรือเปล่า?"

"ไม่เป็นไร คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน เช้านี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยถึงเป็นแบบนี้ พักผ่อนสักหน่อยก็คงดีขึ้น" ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ

ที่นางเห็นในตอนนี้คือปลายนิ้วเรียวยาวที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนของเขา น่ามองมากเลย

ตรงแขนที่ถูกสัมผัสก็รู้สึกร้อน ขนาดมีเสื้อผ้ากั้นขวางก็ยังร้อนราวกับไฟจะไหม้

นางอยากจะดึงแขนกลับมาโดยไม่รู้ตัว แต่ลู่เหิงจือก็แรงเยอะมาก ทำให้นางดึงออกมาไม่ได้

ซูชิงลั่วมองไปรอบๆ กลัวว่าจะมีคนเห็น จึงอดเรียกออกมาเบาๆ ไม่ได้ว่า "พี่สาม..."

ลู่เหิงจือได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ คลายมือออก

เขาพูดเสียงเรียบว่า "เดี๋ยวให้หมอหลวงซ่งมาดูอาการเจ้าหน่อย"

ซูชิงลั่วพูดอย่างลนลานว่า "ไม่ต้องหรอก แน่นอนว่าอาการท่านยายสำคัญกว่า ข้าไม่เป็นไรจริงๆ"

นางรีบลุกขึ้นทันที "ข้าจะไปดูท่านยายก่อน"

ลู่เหิงจือพูด "ไปด้วยกัน"

เขาถูกบันทึกเป็นหลานของบ้านใหญ่ ปกติก็ไม่ค่อยได้พบปะกับคุณย่าลู่สักเท่าไร นอกจากจะไปทักทายบ้างในช่วงเทศกาลเท่านั้น

แต่ครั้งนี้คุณย่าลู่บังเอิญป่วยตรงกับงานเลี้ยงวันเกิดของเขาพอดี หากจัดการไม่ดีอาจถูกคนใจสกปรกใช้เป็นข้ออ้างเล่นงานได้ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคนที่นางห่วงที่สุดในตอนนี้

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปยังลานหลังบ้าน

ลู่เหิงจือรูปร่างสูงใหญ่ ดูมีบารมีและท่าทางเย็นชา ซ่งเหวินมักคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเหมาะสมกับคุณชายของเขา

แต่ตอนนี้เมื่อมองเห็นคุณหนูซูที่ยืนเคียงข้างนายท่าน ทั้งคู่สูงต่างกันเพียงแค่ศีรษะเดียว เมื่อเดินเคียงคู่กันไปข้างหน้าช่างดูสง่างาม น่าชื่นชมและเหมาะสมอย่างยิ่ง

ตลอดทางเข้าลานด้านใน เจอเด็กรับใช้มากมาย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความประหลาดใจและสงสัย...ไม่เคยเห็นคุณชายเหิงที่สามอยู่กับผู้หญิงมาก่อนเลย

ด้วยความกลัวในบารมีของลู่เหิงจือ จึงไม่มีใครกล้ามองนาน แค่เหลือบๆ มองเท่านั้น

ซูชิงลั่วใจจดจ่อกับท่านยายลู่ ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สังเกตสายตาเหล่านั้นเลย

ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงเรือนของท่านยาย

นอกจากลู่โย่ว ผู้ชายบ้านตระกูลลู่ฝั่งบ้านใหญ่และบ้านสามต่างก็รออยู่ในลานบ้าน

ลู่เหิงจือเองก็หยุดเดินเพราะข้างในมีแต่ผู้หญิง เขาไม่สะดวกที่จะเข้าไป

พอก้มลงก็สบเข้ากับดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของซูชิงลั่ว สายตานางเต็มไปด้วยความกังวลดูน่ารักน่าสงสารมาก

ราวกับจะรู้ว่านางต้องการจะพูดอะไร ลู่เหิงจือจึงพยักหน้าให้นาง "เจ้าเข้าไปเถอะ"

ซูชิงลั่วคำนับเขาและคนอื่นๆ ก่อนจะรีบเข้าไปข้างใน

หลังจากเรื่องเมื่อกี้ นางหลิ่วย่อมไม่มีหน้ามาที่นี่อีก เฉียนเหวินหลิง นายหญิงใหญ่อีกทั้งเหล่าลูกสาวลูกสะใภ้คนอื่นๆ ยืนรอกันอยู่ที่นอกห้อง ส่วนหมอหลวงซ่งกำลังตรวจอาการอยู่ด้านใน

ซิ่นฟางสาวใช้ของเฉียนเหวินหลิงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของนาง ทำให้นางตกใจอย่างมากแล้วมองไปที่ซูชิงลั่ว แต่ซูชิงลั่วกลับไม่รู้เรื่อง ใจจดจ่ออยู่กับคนด้านใน

ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน ในที่สุดหมอหลวงซ่งก็เดินออกมา

พวกผู้หญิงก็รีบเข้าไปถามอาการในทันที

หมอหลวงซ่งลูบเครายาวสีดอกเลาแล้วพูดว่า "โชคดีที่ผ่านช่วงที่อันตรายที่สุดไปแล้ว อีกวันสองวันก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด"

ซูชิงลั่วถอนหายใจยาว ร่างกายเหมือนจะทรุดลงแทบจะเป็นลม โชคดีที่จื๋อหยวนช่วยประคองนางไว้

เฉียนเหวินหลิงรีบมาประคองนางทันที พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "เด็กดี เมื่อคืนก็น่าจะเหนื่อยมากแล้ว ไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อนเถอะ ที่นี่มีน้าใหญ่ดูแลอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงเลย"

ร่างกายของซูชิงลั่วไม่ค่อยจะไหวจริงๆ และคิดว่าอยากจะมาดูแลท่านยายอีกในคืนนี้ จึงไม่ปฏิเสธ เข้าไปดูท่านยายสักครู่ โค้งคำนับแล้วจึงออกมา

ข้างนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดเริ่มแยงตา

ซูชิงลั่วยกมือขึ้นบังตาโดยสัญชาติญาณ แต่ก็เห็นลู่เหิงจือยืนสนทนากับหมอหลวงซ่งอยู่ในลาน

เขายืนตรงตระหง่าน ร่างกายเหมือนมีแสงรัศมีสีทองล้อมรอบ ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์

ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของนาง เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับนางช้าๆ
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요
댓글 (1)
goodnovel comment avatar
김나다
น.อ นี้ อ่อนแอ จริงๆ สู้ใครไม่ได้เลย
댓글 모두 보기

최신 챕터

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status