บทที่ 59
มีต้นทุนขยายกิจการแล้ว
ไม่คิดเลยว่าฤดูหนาวปีนี้ หิมะจะตกตั้งแต่ต้นฤดู
หน้าศาลต้าหลี่ ตงตงกับทุกคนแหงนหน้ามองละอองหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้า
เมื่อภายในจิตใจรู้สึกปลอดโปร่ง ทุกคนค่อยก้าวเดินไปข้างหน้ากันต่อ
“กลับบ้านกันเถอะ” จางไคเฮ่อก้มหน้าบอกบุตรสาว
“เจ้าค่ะ กลับบ้านกัน” ตงตงยิ้มแย้มตอบบิดา
ผ่านมาอีกสองวันอย่างรวดเร็ว
โรงเตี๊ยมตระกูลจางก็ยังไม่เปิดเหมือนเดิม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ต้องสอบสวนเพิ่ม พวกเขาจึงมาที่ร้าน สอบถาม ตงตง จางไคเฮ่อ รวมถึงทุกๆ คน
เพื่อไม่รบกวนลูกค้า ตงตงตัดสินใจปิดร้านจนกว่าเรื่องนี้จะจบ
ในวันที่สามของการสอบสวนคดี
หลินซืออิงส่งเจ้าหน้าที่มารายงานพ่อลูกตระกูลจาง
เหล่าเจ้าทุกข์จอมปลอมทั้งหมดยอมสารภาพแล้ว และให้ความเห็นตรงกันว่า พวกเขาถูกหลงจู๊เหอ จากโรงเตี๊ยมตระกูลฉินจ้างให้ใส่ความจางตงตง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง
เหตุจูงใจของหลงจู๊เหอ คือไม่ต้องการให้โรงเตี๊ยมจางมีชื่อเสียงมากกว่าโรงเตี๊ยมตระกูลฉิน
หลงจู๊เหอยังย้ำอีกว่า ‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ใหญ่ฉิน เขาทำเองคนเดียวทั้งหมด’
เนื่องจากเป็นคดีหมิ่นประมาท ผู้กระทำผิดทั้งหมดประทับลายนิ้วมือ ยอมรับสารภาพแล้ว หลินซืออิงจึงปล่อยตัวพวกเขาออกจากคุก โดยให้หลงจู๊เหอจ่ายค่าปรับแก่ศาลต้าหลี่ โทษฐานก่อกวน และให้จ่ายค่าชดเชยให้กับผู้เสียหาย เป็นจำนวนเงิน 500 ตำลึงทอง
คนอื่นที่ถูกจ้างมา ถูกปรับและให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้เสียหายคนละ 100 ตำลึงทอง
เมื่อฟังเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่พูดจบ ทั้งตงตงทั้งจางไคเฮ่อมองหน้ากันทันที
แน่ชัดวาหลงจู๊เหอเป็นแพะรับบาปแทนฉินเฟยอวี่ และชื่อเสียงที่ด่างพร้อยคร้ังนี้ ทำให้เขาอยู่ในเมืองอู่เฉิงต่อไม่ได้แล้ว
เพราะรับใช้เจ้านายผิดคนแท้ๆ
สมควรแล้ว!
อีกอย่าง
แม้ฉินเฟยอวี่จะลอยนวลไปได้ ตงตงเชื่อว่าเถ้าแก่ใหญ่ฉินไม่มีทางปล่อยให้ลูกคนรองที่คิดว่าตัวเองฉลาดดูแลโรงเตี๊ยมเป็นครั้งที่สอง
“แล้วก็นี่…เงินชดเชยทั้งหมด”
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่วางถุงกล่องไม้ที่หนักอึ้งลงตรงหน้า
ในกล่องไม้มีตั๋วเงินยับยู่ยี่หลายใบ ก้อนทอง ก้อนเงิน เหรียญอีแปะอีกจำนวนมาก
“ทั้งหมดเป็นเงิน 1,000 ตำลึงทอง”
นะ หนึ่งพันตำลึงทอง!!!
ตงตงร้องลั่นในใจเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่ศาล
ก่อนจะรีบปิดกล่องไม้แล้วเลื่อนไปตรงหน้าท่านพ่อ ราวกับของในกล่องคือเผือกร้อน
จางไคเฮ่อเลื่อนกล่องไม้คืนให้ตงตง
“เจ้าเก็บไว้เถอะ”
“ท่านพ่อนั่นแหละ ต้องเก็บไว้” พูดแล้วก็เลื่อนกล่องไปตรงหน้าบิดาอีกครั้ง
กระนั้น จางไคเฮ่อกลับดันกล่องคืนมา
“พูดตรงๆ แค่ถูกปรับเงินยังไม่สาสมใจข้าเท่าไร ข้าอยากสั่งสอนคนพวกนั้นด้วยกำปั้นนี่ด้วยซ้ำ”
ไม่พูดเปล่า จางไคเฮ่อชูกำปั้นอวดพละกำลัง
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ได้ยินแบบนั้นพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนคนพวกนั้นจะออกจากเมืองหลวง ข้าคงต้องจับตามองเถ้าแก่จาง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านทำร้ายคนเสียแล้ว”
“พี่ชาย ท่านพ่อของข้าแค่พูดเล่น ท่านคงไม่คิดเป็นจริงเป็นจังหรอกกระมัง แหะๆ” ตงตงรีบแก้ตัวแทนบิดา มิหนำซ้ำ พอพูดจก็หัวเราะแห้งๆ
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่พยักหน้าน้อยๆ
“ยังไงก็เถอะ ที่รายงานก็รายงานจบแล้ว ใต้เท้าของเราฝากมาบอกว่า เขาชอบกินเนื้อ ไม่ชอบกินแป้ง ถ้าทำหม้อไฟเมื่อไร ขอเนื้อเยอะๆ”
“อา…เจ้าค่ะ”
ตงตงฉีกยิ้มอย่างอ่อนใจ
หลินซืออิงยังไม่ลืมเรื่องหม้อไฟอีกหรือเนี่ย!
“เช่นนั้นขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาก็ขอตัวกลับ
ตงตงกับจางไคเฮ่อลุกขึ้นยืนส่งเจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่
“เดินทางดีๆ นะเจ้าคะ”
“ขอบคุณ”
และแล้ว…
คดีใส่ความก็ปิดจบด้วยประการเช่นนี้
…..
…..
พอเดินไปส่งเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ที่ประตูหน้า ตงตงก็กลับเข้ามานั่งนับเงินในกล่องต่อ
เงินพวกนี้ ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จะใช้ความพยายามอย่างหนักรวบรวมมาให้
แม้จะมีเศษเหรียญอีแปะเก่าๆ ปะปนมาด้วย แต่ทั้งหมดเป็นเงิน 1,000 ตำลึงทองจริงๆ
“ท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านเก็บเงินนี้ไว้”
“เจ้านั่นแหละที่ควรเก็บ ข้าเป็นคนหยาบ ประเดี๋ยวจะทำเงินหาย”
“ถ้าพูดเรื่องความปลอดภัย ให้ท่านพ่อดูแลเงินทองกับของมีค่าในบ้าน ดีกว่าให้ข้าดูแลนะเจ้าคะ”
“เหตุผลนั้นถึงจะจริงก็เถอะ แต่ว่า…”
จางไคเฮ่อพูดได้เพียงเท่านั้น ตงตงก็ชิงกล่าวเสียก่อน
“เงิน 1,000 ตำลึงทองนี้ ข้าอยากจะแบ่งมาซื้ออาคารแห่งนี้ และอาคารข้างๆ ที่อยู่ติดกัน ข้าอยากขยายร้านเพิ่ม ถึงตอนนั้นต้องหาคนงานอีกสักสองสามคน เรื่องนี้ข้าฝากท่านพ่อจัดการได้หรือไม่”
ที่ตงตงฝากฝังให้จางไคเฮ่อช่วยจัดการเงิน เพราะต้องการให้เขารู้สึกว่า เงินที่ช่วยหากันมานี้เป็นเงินของครอบครัว เขาเองก็มีสทธิ์ในการจัดการและดูแล
“เจ้าจะซื้ออาคารหลังนี้จริงๆ หรือ” จางไคเฮ่อถามเพื่อความแน่ใจ
แม้ไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็รู้ว่าการจะซื้ออหังสาริมทรัพย์จำเป็นต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ
“ถนนสายนี้มีสำนักราชองครักษ์หลวง ทุกคนก็พึ่งพาได้ ข้าชอบที่นี่เจ้าค่ะ” ตงตงตอบ
เรื่องนี้จางไคเฮ่อเห็นด้วย
“ท่านพ่อ ข้าอยากซื้อบ้านข้างๆ ที่อยู่ติดกันด้วย เห็นว่าปล่อยร้างจนหญ้าขึ้นรก ในบ้านนั้นมีลานกว้าง ข้าอยากใช้ลานกว้างนั้นปลูกผัก ส่วนตัวอาคารทำเป็นโกดังเก็บสินค้า” ตงตงกล่าวเสริม
บิดาได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
พวกเขาไม่เพียงเปิดโรงเตี๊ยมขายอาหาร ยังขายสินค้าแบบส่งด้วย รายการที่ลูกค้าสั่งเข้ามานับวันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ห้องเก็บของตอนนี้แทบไม่มีที่จะไว้แล้ว
หลังจากที่จางไคเฮ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าเห็นด้วย”
“เรื่องนี้ ข้าให้ท่านพ่อจัดการได้หรือไม่”
“ย่อมได้”
“แล้วก็ เงินที่เหลือข้าอยากให้ท่านพ่อเก็บไว้ หากต้องการเงินลงทุนเพิ่ม ข้าจะขอเบิกกับท่านที่หลัง ในอนาคตโรงเตี๊ยมเราต้องสร้างกำไรเพิ่มอีกเยอะๆ ข้าเป็นคนไม่รอบคอบ กลัวว่าจะทำเงินหายเจ้าค่ะ”
จางไคเฮ่อฟังมาถึงประโยคหลังก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
พูดไปพูดมา สรุปคืออยากให้เขาเป็นคนเก็บเงินนี่เอง
หากก็เป็นความจริง ตงตงหาเงินเก่ง ขาดเพียงแค่ความรอบคอบ และไว้ใจคนอื่นมากเกินไป เขาเองก็เป็นห่วงนางในเรื่องนี้
“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น ข้าจะช่วยรักษาผลประโยชน์แทนเจ้าเอง”
ท้ายที่สุด บิดาก็ยอมรับปาก
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม