บทที่ 60
อาหารกับมิตรภาพ
ในที่สุดก็มาถึงวันจัดเลี้ยงหม้อไฟเพื่อแสดงความขอบคุณ
ตงตงวานให้อาฉีกับจิ่งฝางมาเชิญเว่ยจ้ง หลินซืออิงและเถ้าแก่ซวีล่วงหน้าหนึ่งวัน โดยฝากถามว่าพวกเขาจะพาครอบครัวมาด้วยหรือไม่
เว่ยจ้งบอกว่าจะพาบุตรชายกับบุตรสาวมาด้วย ส่วนภรรยาติดธุระต้องกลับบ้านเกิด
หลินซืออิงมาพร้อมกับรองหัวหน้าศาลต้าหลี่
เถ้าแก่ซวีมาแค่คนเดียว
แขกที่มาทั้งหมดรวมแล้วจะเป็น 6 คน
ตงตงจึงเตรียมโต๊ะสำหรับกินหม้อไฟไว้ 1 โต๊ะ
วัตถุดิบก็เตรียมไว้หลายอย่าง แถมยังมีของกินเล่นและของหวานปิดท้าย
เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า เห็นโต๊ะกลมที่เจาะรูตรงกลาง กลางโต๊ะยังมีหม้อทรงกลมที่แบ่งออกเป็นช่องคล้ายรูปหยินหยางวางอยู่บนเตา ช่องหนึ่งคือน้ำแกงขาวข้น อีกช่องหนึ่งคือน้ำแกงสีส้มๆ แดงๆ น้ำมันพริกลอยบนผิวน้ำแกงที่เดือด
แววตาของทุกคนที่มองโต๊ะหม้อไฟเต็มไปด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
เว่ยจ้งที่รู้เรื่องทั้งหมดจากตงตง พอมาเห็นหม้อไฟหมาล่าของจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโรงเตี๊ยมฉินถึงแค้นเคืองตงตงถึงขั้นนั้น
หม้อไฟหมาล่าไม่เพียงแค่น่าสนใจ เพียงได้กลิ่นของน้ำแกงก็ทำเอาน้ำลายสอ หนำซ้ำน้ำแกงทั้งสองแบบทำให้คนกินรู้สึกไม่เบื่อ
ว่ากันตามจริง ใครก็ตามที่ได้สูตรทำหม้อไฟหมาล่า ควรจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
หากกระนั้น เครื่องเทศที่ตงตงมัดรวมเป็นชุด แล้วนำไปขายให้กับร้านเครื่องเทศ ทำให้ผู้คนรูสึกว่าไม่ว่าใครก็สามารถทำหม้อไฟหมาล่าหม้อนี้ได้
เพราะอย่างนั้น ชาวบ้านจงไม่กลับไปอุดหนุนหม้อไฟหมาล่าที่โรงเตี๊ยมตระกูลฉินอีก
ทว่า…เด็กสาวทำเพื่อสั่งสอนตระกูลฉินที่มาละลานตนก่อนก็เท่านั้น
“เชิญทุกท่านเข้ามานั่งก่อนเจ้าค่ะ”
ตงตงเชิญทุกคนให้นั่งลง
ทันทีที่ทุกคนนั่งลงกันแล้ว เหล่าพนักงานเสิร์ฟตัวน้อยก็ยกของว่างเข้ามา
“นั่นคือแป้งทอดไส้ถู่โต้วในวันประลองหรือ!?” รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ถามตงตงด้วยความตื่นเต้น
การประลองแข่งทำอาหารคราวก่อน เขาเห็นกรรมการทั้งสามกินแป้งทอดฝีมือแม่ครัวน้อยด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย
แม้ใจอยากลองชิมบ้าง ติดตรงที่ตนไม่ใช่กรรมการ ซ้ำร้าย เว่ยจ้ง หลินซืออิงและเถ้าแก่ซวียังคีบแป้งทอดแล้วกินเอาๆ เผลอแป๊บเดียว แป้งทอดก็หมดจาน
“ถูกต้องเจ้าค่ะ แป้งทอดไส้ถู่โต้วผสมเครื่องเทศจากดินแดนทะเลทราย” ตงตงตอบด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก “ข้าทำไว้เยอะ เชิญทุกท่านตามสบายเลยเจ้าค่ะ”
ทุกคนพยักหน้ายิ้มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นคีบแป้งทอดเข้าปากด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ถึงกับน้ำตาปริ่ม
“อร่อยมาก!” รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ถึงกับร้องเสียงดังด้วยความดีใจ ในที่สุดก็ได้ชิมเสียที!!
“รสชาติอร่อยเหมือนกับวันนั้นเลย” หลินซืออิงกล่าวเสริม
“แน่นอนว่าไม่ใช่ความบังเอิญ” เถ้าแก่ซีกล่าวย้ำ
“ของว่างจานนี้ก็เป็นถู่โต้วเหมือนกันเจ้าค่ะ ครึ่งหนึ่งคลุกเคล้าเครื่องเทศจากแดนทะเลทราย อีกครึ่งหนึ่งคลุกเคล้าด้วยเกลือ พวกท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ” ตงตงยิ้มรับคำชม จากนั้นแนะนำของว่างจานที่สอง
ของว่างจานที่สองคือมันฝรั่งหั่นเป็นชิ้นยาวทอด หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ‘เฟรนช์ฟรายส์’ นั่นเอง
ลูกชายกับลูกสาวของเว่ยจ้งอายุน่าจะ 12-13 ปี พวกเขาชอบถู่โต้วทอดจานนี้มาก ถึงกับกินไม่หยุด
“ท่านพ่อ จานนี้อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ” บุตรสาวของเว่ยจ้งพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนแรกข้าคิดว่าจานแรกอร่อยแล้ว จานที่สองอร่อยกว่าอีก” บุตรชายของเว่ยจ้งกล่าวเสริม
“เครื่องเทศจากดินแดนทะเลทรายเอามาคลุกเคล้าแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยมาก” เถ้าแก่ซวีกล่าวเหมือนเพิ่งค้นพบเรื่องสำคัญ
“ทุกท่านเจ้าคะ อาหารหลักของเราคือหม้อไฟหมาล่า อย่าเพิ่งกินของว่างจนอิ่มซะก่อนนะ” ตงตงพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
“ฮะๆ นั่นสินะ”
“มื้อหลักวันนี้คือหม้อไฟนี่เนอะ”
เมื่อเด็กๆ ในร้านทยอยยกเนื้อกับผักเข้ามา ตงตงก็บอกวิธีกินหม้อไฟให้กับแขกทุกท่าน
ทุกคนคีบเนื้อที่ตนชอบลงไปจุ่มในหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
พอกินมื้อหลักอิ่มแล้ว ค่อยตบท้ายด้วยของหวาน
ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งกินเต้าทึ้งพลางสนทนาด้วยท่าทางผ่อนคลาย เว่ยจ้งกล่าวขึ้นว่า “คุ้มค่าที่ได้มา อาหารมื้อนี้อร่อยทุกอย่าง”
หลินซืออิง เถ้าแก่ซวีและรองหัวหน้าศาลต้าหลี่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“บอกตามตรง ข้าไม่ค่อยชอบถู่โต้วเท่าไร กินทีไร ถู่โต้วจะติดคอทุกที ฮะๆๆ แต่ว่า แป้งทอดไส้ถู่โต้ว และถูกโต้วทอดคลุกเครื่องเทศฝีมือแม่ครัวน้อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ ซ้ำไม่ฝืดคอด้วย” เถ้าแก่ซวีบอกอย่างอารมณ์ดี
“จริงๆ แล้ววันนี้ข้าต้องขอบคุณเถ้าแก่ซวี ท่านให้เครื่องเทศข้ามาเยอะ แถมไม่คิดเงินอีก” ตงตงพูดด้วยท่าทีเกรงใจ
“เรื่องแค่นี้เอง หากเจ้าอยากได้เครื่องเทศอย่างอื่นอีกละก็ ไปที่ร้านข้าได้เสมอ แจ้งชื่อกับคนที่ร้าน พวกเขาจะจัดเครื่องเทศให้เจ้าทันที แน่นอนว่า ไม่คิดเงิน” เถ้าแก่ซวีกล่าวย้ำ โดยเฉพาะประโยคท้าย ‘ไม่คิดเงิน’
ได้ยินเช่นนั้น ตงตงยิ่งรู้สึกเกรงใจ
“ในเมื่อเป็นของซื้อของขาย รบกวนท่านคิดเงินเถิดเจ้าค่ะ”
เด็กสาวย้ำ
ถึงอย่างไร ตงตงตั้งใจจะเป็นลูกค้าประจำของร้านเถ้าแก่ซวีอยู่แล้ว เครื่องเทศร้านนี้มีมากมายหลายชนิด ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น
“พูดก็พูดเถอะ หม้อไฟของเจ้าอร่อยมากแท้ๆ เหตุใดไม่ทำขายที่ร้านเล่า?”
เนื่องจากไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของคดี หลินซืออิงจึงถามแบบนั้น
ตงตงยิ้มอ่อน ก่อนจะเล่าต้นเหตุของปัญหาที่ต้องเข้าไปนอนในคุก ซึ่งสาเหตุก็คือหม้อไฟหมาล่า
ผู้อยู่เบื้องหลังของคดีครั้งนี้ ความจริงเป็นฝีมือลูกชายคนรองของโรงเตี๊ยมตระกูลฉิน
หลงจู๊เหอเป็นแค่หุ่นเชิด
หลินซืออิงกับรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็คิดแบบนั้น คดีนี้ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังอีกคน แต่ทำอย่างไรหลงจู๊เหอก็ไม่ยอมรับสารภาพ ยืนกรานว่าตนทำคนเดียว ทั้งจะชดใช้ด้วยเงิน
คดีนี้จึงต้องปิดจบไปทั้งอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม เด็กสาวขอบคุณทั้งสามคนที่มอบโอกาสให้นางพิสูจน์ความสามารถ ถึงได้พ้นความผิด แถมยังได้เงินชดเชยมาอีกตั้งเยอะ
พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ เว่ยจ้งพลันเห็นว่า บุตรสาวกำลังนั่งปิดปากหาวหวอดๆ ดวงตาหรี่ปรือทำท่าจะหลับ
ครั้นมองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
“ถึงเวลาต้องกลับเสียแล้วละ”
ทันทีที่เว่ยจ้งบอกเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็มองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันมาบอกตงตงว่าถึงเวลาต้องกลับแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ตงตงได้เตรียมของฝากเอาไว้ให้ด้วย
หลังจากนั้น ทั้งคุกกี้ ลูกกวาดและข้าวเกรียบกรอบ ถูกพวกเด็กๆ ช่วยกันยกเข้ามา
แขกทั้งหลายที่เห็นอย่างนั้นต่างมองด้วยความประหลาดใจ
“สิ่งนี้คือ…” เว่ยจ้งส่งเสียงถาม
“ขนมอบกรอบกับลูกกวาดเจ้าค่ะ เดิมเป็นสินค้าที่ข้าขายส่งให้กับโรงเตี๊ยมตระกูลหานและตระกูลจู เก็บไว้ได้นานราวสามเดือน เอาไว้กินคู่กับน้ำชา หรือกินเล่นก็อร่อย รบกวนพวกท่านช่วยรับไว้ด้วยนะเจ้าคะ” ตงตงบอก
แค่กลิ่นหอมหวานของขนมก็ทำให้ทุกคนสนใจไม่น้อย ครั้นพอได้ยินว่าเก็บได้สามเดือน พวกเขาถึงกับมองขนมในโหลแก้วซ้ำๆ ด้วยแววตาสุดจะเหลือเชื่อ
“น่าสนใจจริงๆ”
เว่ยจ้ง หลินซืออิง เถ้าแก่ซวีและรองหัวหน้าศาลต้าหลี่พึมพำเหมือนกัน
ตอนนั้นเอง บุตรชายกับบุตรสาวของเว่ยจ้งกระตุกเสื้อของบิดาหยิกๆ
เว่ยจ้งเข้าใจความหมายของลูกๆ จึงเอ่ยถามตงตง
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าทำของพวกนี้ส่งขาย เช่นนั้นจะวางขายในร้านด้วยหรือไม่”
“ตอนนี้ข้าทำส่งแค่โรงเตี๊ยมตระกูลหานกับโรงเตี๊ยมตระกูลจู แต่หลังจากที่ขยายร้านแล้ว ข้าตั้งใจว่าจะวางขายที่หน้าร้านเจ้าค่ะ”
“เมื่อไรหรือ!”
ลูกๆ ของเว่ยจ้งถามพร้อมกันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เด็กสองคนนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่ชอบกิน เหมือนกับคุณชายต้วนเซียว บุตรชายของเจ้าเมืองอู่เฉิง
ว่าไปแล้ว คุณชายต้วนเซียวส่งจดหมายมาสั่งซื้อสินค้าเพิ่มนี่น่า
อือ…พรุ่งนี้ค่อยจัดรายการแลวกัน
คิดเรื่องของคุณชายต้วนเซียวจบ ตงตงถึงค่อยตอบเด็กทั้งสองว่า “คาดว่าน่าจะเร็วๆ นี้ คุณชายกับคุณหนูอย่าลืมมาอุดหนุนให้ได้นะเจ้าคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
“เจ้าพูดจริงนะ จะมีขนมพวกนี้วางขายเร็วๆ นี้แน่นะ”
“จริงเจ้าค่ะ”
คำตอบของตงตง ทำเอาเด็กทั้งสองยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รับปากว่า “จะมาอุดหนุนให้ได้เลย!”
ตงตงเองก็ดีใจที่ตกปลาตัวใหญ่ได้… ไม่สิๆ ต้องบอกว่าได้ลูกค้ารายใหญ่ถึงจะถูกต่างหาก
อย่างไรเสีย นั่นคือจุดเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของตงตง
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม