ในช่วงเวลาวิกฤติ เฟิ่งจิ่วเหยียนคว้าจับเสาไม้นั้น ใช้มันเป็นเครื่องช่วยในการพลิกหมุนตัวชายอาภรณ์พลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ วาดเป็นภาพโค้งที่สมบูรณ์แบบทันใดนั้น นางกระโดดมาตรงหน้าขวยโต่ว ดึงสายคาดเอวของเขาออกในทันทีพวกสตรีที่มาชมการประลอง รีบหลับตาหันหน้าไปแต่มีระยะห่างอยู่ช่วงหนึ่ง พวกนางก็มองเห็นไม่ชัดเจนรู้เพียงว่าสายคาดเอวของขวยโต่วถูกกระชาก ตกอยู่ในมือของเฟิ่งเหยียนเฉิน เป็นเหมือนกับแส้ยาวเซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้มกระชากสายคาดเอวบังเอิญมาก นักฆ่าสาวคนนั้นก็เคยใช้กระบวนท่านี้กับเขาทุกคนล้วนแปลกประหลาดใจ เฟิ่งเหยียนเฉินกระชากดึงสายคาดเอวของขวยโต่ว คิดอยากทำอะไร?แม้แต่ขุนพลสามคนที่อยู่ใกล้เวทีประลองที่สุด พวกเขาก็ดูไม่เข้าใจหรือเพื่อทำให้ขวยโต่วอับอายขายหน้า?หรือฉวยโอกาสจู่โจม ตอนที่ขวยโต่วปล่อยเสาไม้ ดึงกางเกงขึ้นมา?……เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ข้างหลังขวยโต่ว ขวยโต่วไม่ทันสนใจดึงกางเกง ยกเสาไม้ขึ้นมา โจมตีไปข้างหลังเพียงพริบตาเดียว เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้สายคาดเอวของเขาฟาดเสียงดัง “ซัว ซัว” หลายที ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกมัดไว้กับเสาไม้“วิเศษมาก!” แม่ทัพเฉินที่อยู่ข้างล่างพู
เงาร่างสูงของเซียวอวี้ แทบบดบังแสงแดดตรงข้างประตูบนโต๊ะภายในห้องมีหน้ากากทาสคุนหลุนใบนั้นวางอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาผอมเรียวของเซียวอวี้ ปกคลุมไปด้วยความดุร้าย สายตาจับจ้องมองดูเงาร่างข้างหลังม่านเขาต่อสู้กับนักฆ่าสาวคนนั้นหลายครั้งกระบวนท่าของนาง ฝังแน่นอยู่ในความจำลึกล้ำของเขาการเคลื่อนไหวหลายอย่างของเฟิ่งเหยียนเฉินเมื่อกี้นั้น เป็นเหมือนกับนางอย่างมาก!เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ เขาต้องมายืนยันด้วยตาตนเอง!ภายใต้ชุดคลุมมังกร ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวออกไปอย่างรวดเร็วเขาเดินเข้าไปในอีกทางด้านหนึ่งของม่าน เอื้อมแขนยาวออกไป…วินาทีนั้น สายตาสองคู่ประสานกันเฟิ่งเหยียนเฉินถูกคว้าจับแขน เผยไหล่ขวาออกมาครึ่งหนึ่ง: ! ?“ถวายบังคมฝ่าบาท!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ทันได้ดึงอาภรณ์ขึ้น รีบก้มศีรษะถวายบังคมก่อนคิ้วเข้มเยือกเย็นชาของเซียวอวี้ ขมวดชนกันแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาทั้งคู่ดำเข้ม เหมือนเมฆครึ้มก่อตัวรวมกัน“ที่นี่ มีเจ้าคนเดียว?”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่เข้าใจ“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”เวลานี้หลิวซื่อเหลียงตามเข้ามา เห็นฝ่าบาทคว้าจับอาภรณ์คุณชายตระกูลเฟิ่งที่สวมอาภรณ์ไม่เรียบ สายตานั้น เหมือนจะกลื
แววตาเซียวอวี้เยือกเย็นลึกล้ำวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่เพียงเพื่อป้องกันวังหลังกับส่วนหน้าสมรู้ร่วมคิด ส่งผลให้เกิดเผด็จการในหมู่ญาติ ยังเป็นเพราะว่า ส่วนใหญ่สตรีวังหลังไม่มีความรู้ ปกติวางแผนเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานก็ช่างเถอะ โอกาสในที่เป็นทางการนั้น ล้วนไม่รู้จักกาลเทศะในขณะที่เซียวอวี้กำลังจะพูดกู้สถานการณ์ให้กลับมาสมดุล เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อยว่า “กุ้ยเฟยพูดผิดไปแล้วจริง“เหนือคนยังมีคน เป็นคุณความดีของคนเพียงคนหนึ่ง“ทว่าความจริง ทหารพันหมื่นที่ชายแดนล้วนเป็นชายชาตรี ผลงานการต่อสู้นั้นไม่สามารถได้มาเพราะคนคนเดียว เหมือนอย่างเมื่อครู่ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้ามีหลายคนบั่นทอนกำลังกายของขวยโต่ว ทำให้เขาเผยถึงจุดด้อย พี่ชายของข้าก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ไวขนาดนี้“ยังไงพวกท่านก็ส่งคนมาเพียงคนเดียว ดังนั้นครั้งนี้ถือว่าแคว้นหนานฉี เอาชนะได้เพราะจำนวนคนมากกว่า“ที่ผ่านมากองกำลังทั้งสองต่อสู้กัน แคว้นหนานฉีก็ใช้กองกำลังนับแสน ต่อสู้กับกองกำลังรัฐเหลียงเก้าหมื่นเช่นกัน แม้รัฐเหลียงจะพ่ายแพ้แต่ก็ยัง
เฟิ่งเหยียนเฉินร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมในตอนนี้ ทำเอาทุกคนตกใจคดีเมื่อสองปีก่อน เขานำกลับมาพูดในตอนนี้? ผ่านไปตั้งนานขนาดนั้นแล้ว ยังจะสืบชัดเจนได้อย่างไร?เซวียฉือพูดโต้เถียงขึ้นมาทันทีว่า“คุณชายใหญ่เฟิ่ง เจ้ามีความคับข้องใจอะไร ก็ควรไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าหลี่ ตอนนี้มาร้องทุกข์ต่อหน้าพระพักตร์ คนไม่รู้จะคิดว่ากฎหมายแคว้นหนานฉีเราไม่เข้มงวด!”คนบ้าคนนี้! เขาคิดอยากทำอะไร?นายท่านเฟิ่งก็คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งเหยียนเฉินจะทำเช่นนี้เขารีบลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท บุตรชายของกระหม่อมไม่มี...”เฟิ่งเหยียนเฉินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า“เมื่อสองปีก่อน กระหม่อมได้รับมอบหมายให้นำส่งอาหารบรรเทาสาธารณภัย เดินทางผ่านโป๋โจว ถูกกลุ่มโจรซุ่มโจมตี...”เซวียฉือกระโดดออกมาทันที พร้อมพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า“เฟิ่งเหยียนเฉิน ยังกล้าพูดถึงเรื่องนั้นอีก!“ไม่ใช่เพราะเจ้าคาดการณ์ผิด มุ่งมั่นที่จะเดินเส้นทางนั้น พวกพี่น้องก็จะไม่ต้องตาย!”เขาชิงพูดโจมตีขึ้นมาก่อน บ่งชี้ว่าเป็นความผิดของเฟิ่งเหยียนเฉินเหล่าขุนนางหวนคิดถึงเรื่องนี้ ต่างก็พูดวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา“ที่แท้ก็เป็นเรื่องน
เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเสร็จ ก็นำจดหมายเหล่านั้นออกมาให้พวกมันตกอยู่ในมือของเซียวอวี้ เขาเปิดอ่านทีละฉบับเซวียฉือกับผู้ตรวจสอบยืนนิ่งอยู่กับที่ เงียบกลั้นหายใจ ไม่กล้ามองสบตากันเลยโดยเฉพาะเซวียฉือเขาพูดกับตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า...เป็นของปลอม ล้วนเป็นของปลอม ฮองเฮากับเฟิ่งเหยียนเฉินหลอกลวงเขา!ปัง!เซียวอวี้เอาจดหมายฟาดบนโต๊ะ แววตาเย็นวาบเต็มไปด้วยรัศมีสังหาร“พวกเจ้าสองคน คุกเข่าลง!”ทั้งสองคนเขาอ่อนทันที รีบคุกเข่าลงบนพื้นจากนั้น ข้าหลวงนำจดหมายวางตรงหน้าพวกเขา ให้พวกเขาดูด้วยตนเอง เป็นการใส่ร้ายพวกเขาหรือไม่หากเป็นการใส่ร้าย ก็จะสั่งให้คนมาเทียบลายมือเซวียฉือกวาดสายตามองดู ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นไปทั้งหลัง เหมือนแสงแทงข้างหลังนี่เป็นไปได้อย่างไร!จดหมายพวกนั้น เขาเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี ไม่มีใครหาเจอเซวียฉือไม่แล้วใจ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา ตรวจสอบไปมาหลายรอบ สงสัยว่ามีคนปลอมแปลงแต่ยิ่งดูก็ยิ่งใจหายของจริง! ล้วนเป็นของจริง!เช่นนั้นเขาก็ต้องจบแน่แล้ว...เดี๋ยวก่อน ในจดหมายพวกนี้ ล้วนไม่เป็นผลดีกับผู้ตรวจสอบใต้เท้าวัง เขายังมีโอกาสรอด!หัวสมองเซวียฉือหมุนวนอย่างร
ได้ยินว่าลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ เหล่าขุนนางล้วนสะดุ้งสั่นเทาตามกฎหมาย ความผิดของทั้งสองคนไม่ถึงขั้นนั้นเซวียฉือกับผู้ตรวจสอบ ยิ่งตกตะลึงหวาดกลัวไม่! ตอนนั้นเฟิ่งเหยียนเฉินก็เพียงแค่ถูกลดตำแหน่ง ทำไมพอถึงพวกเขากลับถึงขั้นลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ!“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตด้วย...”เซวียฉือคลานไปหาเฟิ่งเหยียนเฉิน พร้อมกอดขาเขาไว้แน่น“เหยียนเฉิน สหายเหยียนเฉิน เจ้าช่วยข้าด้วย เราเคยเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา...”เซวียฉือที่เมื่อวานยังโอหังอวดดี ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนสุนัขเฟิ่งเหยียนเฉินเกลียดชังเซวียฉือกับใต้เท้าวัง แทบอยากจะฆ่าพวกเขาด้วยมือตนเองเผชิญกับการร้องขอของเซวียฉือ เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า“เจ้าหักหลังพวกพี่น้อง ตอนที่ใช้ชีวิตพวกเขาแลกกับอนาคต ทำไมถึงไม่เคยคิดว่า พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน!“เซวียฉือ เจ้าสมควรตายยิ่งกว่าใต้เท้าวัง!”สีหน้าเซวียฉือเหมือนมะเขือโดนน้ำค้าง พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ไม่ ไม่! เจ้าจะไม่ช่วยข้าไม่ได้...เหยียนเฉิน เจ้าลืมแล้วหรือ เราเคยดื่มเหล้าด้วยกัน เจ้ายังเคยพูดว่า พวกเราจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปชั่วชีวิต...”เหล่
กุ้ยเฟยสลบ จึงถูกส่งตัวกลับไปที่ตำหนักหลิงเซียวหมอหลวงฝังเข็มให้หลายเข็ม นางก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเซียวอวี้เผยสีหน้ากังวลออกมา หมอหลวงกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระนางได้รับบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี จึงเกิดภาวะโลหิตไม่ไหลเวียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงต้องพักฟื้น…”ณ ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง ถอดปิ่นปักผมทีละชิ้นอย่างช้า ๆเหลียนซวงคอยปรนนิบัติรับใช้นาง ใจยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย“พระนาง ท่าน…ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ?”“ขวยโต่วผู้นั้นแข็งแกร่งเอาเรื่อง ท่านไม่ต้องให้หมอหลวงมาดูจริงหรือเพคะ?”กล่าวจบนางก็รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้วหากให้หมอหลวงเห็นบาดแผลของพระนาง ไม่เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนของพระนางหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาก่อเกิดไอเยือกเย็นหนาบาง“เรื่องที่ข้าลงสนามประลอง ห้ามบอกให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด”เหลียนซวงรีบพยักหน้า“เพคะ! พระนาง”นางรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดไม่นานนัก ขันทีจากห้องทรงพระอักษรก็มากราบทูล“ฮองเฮา ฝ่าบาททรงเรียกท่านไปสอบถามพ่ะย่ะค่ะ…”เหลียนซวงมือสั่นอย่างร้อนตัว“พระนาง คงไม่ใช่ว่าฝ่าบาท…”
ภายในคุกหลวง เซวียฉือถูกขังเดี่ยวอยู่ในที่แห่งหนึ่งยามเห็นเฟิ่งเหยียนเฉิน เขาจึงคุกเข่าอ้อนวอน“เหยียนเฉิน เจ้าช่วยข้าออกไปเถอะนะ! ได้โปรด ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ เห็นแก่มิตรภาพหลายปีที่ผ่านมาของเรา เจ้าปล่อยข้าออกไปได้หรือไม่?“หาก…หากเจ้าช่วยข้าออกไปไม่ได้ ก็ช่วยจบชีวิตข้าไปเลย!“ประหารแล่เนื้อมันน่ากลัวเกินไป ข้าไม่อยากถูกกระทำเช่นนั้น!”คนที่เคยเหยียดหยามตนเอง ตอนนี้มาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน เดิมเฟิ่งเหยียนเฉินควรที่จะรู้สึกสะใจ แต่เขากลับรู้สึกโศกเศร้า“เจ้าไม่อยากโดนประหารแล่เนื้อ ไม่อยากตาย แล้วพวกอาไฉอยากตายหรือไม่!“พวกเขาบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น! หากปล่อยเจ้าไป ข้าจะทวงความยุติธรรมให้ดวงวิญญาณพวกเขาได้อย่างไร!“เซวียฉือ เจ้าทำร้ายผู้คนที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันกับเจ้าจนตาย เพื่อปีนป่ายขึ้นที่สูง มันคุ้มค่าแล้วหรือ?“พวกเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน“ข้าคิดว่า เราจะเห็นอกเห็นใจกัน“แต่ทำไมต้องทำเช่นนั้น ทำไม!”เฟิ่งเหยียนเฉินจับประตูกรงขังไว้ นัยน์ตาแดงฉานเหล่าเพื่อนพ้องมากมาย ล้วนถูกเซวียฉือทำร้ายจนตายเขาต้องการคำตอบจริง ๆ เซวียฉือชะงักนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งเหย
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้