หากเฟิ่งจิ่วเหยียนและเซียวอวี้มิได้ปลอมตัวเป็นคนชรา และได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายโดยบังเอิญ ย่อมไม่มีทางที่จะถามคำถามเหล่านี้ออกมาได้ ในยามปกติ หากผู้ลี้ภัยก่อเหตุจลาจล และขับไล่ชนพื้นเมืองออกไป ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของเมือง เรื่องนี้ กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนใดรายงานให้เบื้องบนทราบ เห็นได้ชัดว่า เหล่าเจ้าหน้าที่ปกปิดความจริงมานานแล้ว เซียวอวี้ก็ตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน เจ้าหน้าที่ที่ยอมปกปิดความจริงจะรอดชีวิต ส่วนผู้ที่ต้องการเปิดเผย ล้วนตายหมดสิ้น หากเขามิได้ปลอมเป็นสามัญชนออกตรวจตรา จะรู้ได้อย่างไร? เซียวอวี้ระงับความโกรธ ยังถามชายหนุ่มต่อ “โฉนดที่ดินของพวกเจ้า อยู่ที่นี่กันหมดหรือไม่” โฉนดที่ดินสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของบ้าน นี่เป็นหลักฐานสำคัญ ในอนาคตจะได้บ้านคืนมา ต้องมีโฉนดเท่านั้น ชายหนุ่มดูเศร้าหมอง “ของข้ายังอยู่ แต่โฉนดของคนอื่น ส่วนใหญ่หายไปหมดแล้ว” ต่อจากนั้นเขาเอ่ยเตือน “หากโฉนดของพวกท่านยังอยู่ ให้เก็บรักษาไว้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ทางการเอาไปเด็ดขาด” เฟิ่งจิ่วเหยียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “เหตุใ
ในชนบท ล้วนเป็นผู้ลี้ภัยเกือบทั้งหมด พวกเขาสร้างที่พักพิงชั่วคราวของตนเองจากไม้และหญ้าแห้ง อยู่เบียดเสียดกันหลายคนในหนึ่งหลัง สถานที่แบบนี้เพียงพอสำหรับใช้นอนตอนกลางคืนเท่านั้น ต้องก้มตัวลงก่อนถึงจะเข้าได้ บนพื้นที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยที่พักพิงประเภทนี้ ซึ่งนับไม่ได้แม้แต่สถานที่อยู่อาศัยด้วยซ้ำ มันเรียบง่ายจนลมพัดก็ปลิวได้ ยังไม่ต้องพูดถึงฝนที่ตกหนัก “บ้าน” เช่นนี้จะต้านทานได้อย่างไร เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ชาวบ้านที่นี่ เหมือนถูกทุกคนทอดทิ้ง หาได้มีผู้ใดสนใจว่าพวกเขาจะอยู่หรือตายไม่ กินดื่มขับถ่ายและนอนหลับรวมอยู่ที่นี่ จนในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นฉุน เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดว่า นางและเซียวอวี้ได้ปลอมตัวเพื่อให้ดูมีอายุ และอนาถามากพอแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับชาวบ้านเหล่านี้ พวกเขาดูสะอาด จนดูไม่เข้าพวกเลย ดังนั้น ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ พลันมีสายตาจำนวนมากมายจ้องมาที่พวกเขา แววตาทั้งแสดงความสงสัย และอิจฉา ชาวบ้านแต่ละคนร่างกายผ่ายผอม ดวงตาขุ่นมัวไม่มีชีวิตชีวา หัวใจของเซียวอวี้จมลงอ
เซียวม่อรู้สึกถึงไอเยือกเย็นบางอย่าง“พวกเจ้า…” เขามองไปยังข้าราชการคนอื่น ๆ รีบเบาเสียงลงอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าได้สารภาพอะไรออกไปหรือไม่?”ข้าราชการเหล่านั้นส่ายหน้ามิใช่ว่าพวกเขาภักดีต่อเซียวม่อ พวกเขาล้วนเป็นคนดั้งเดิมของเป่ยเยี่ยน เซียวม่อมีกลอุบายอะไร ก็ปิดบังพวกเขาหมดต่อให้อยากพูด ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเซียวม่อถอนหายใจ จากนั้นก็นั่งพิงกำแพงไม่ทันที่เขาจะได้ผ่อนคลาย ผู้คุมก็มาหิ้วเขา ไปยังห้องสอบสวนในห้องนี้มีเครื่องมือลงโทษอยู่มากมายเซียวม่อลำคอแห้งผาก แผ่นหลังเย็นวูบ“ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”อยากลงโทษผู้ใดย่อมมีข้ออ้างได้เสมอเซียวอวี้คิดจะบีบให้เขายอมรับ!เหล่าผู้คุมไม่สนใจคำขอของเขา ลงโทษตามคำสั่งเบื้องบนเป็นอย่างแรกไม่นาน ภายในห้องสอบสวนก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาณ โรงพักแรมเฉินจี๋มารายงานเซียวอวี้“ฝ่าบาท ฉู่อ๋องถูกจับตัวแล้ว กำลังทำการสอบสวน เขาปากแข็งอย่างมาก ไม่ยอมรับสารภาพความผิดใด ๆ ออกมา ทั้งยังบอกว่าอยากเข้าเฝ้าท่าน”แววตาของเซียวอวี้เย็นชา“อย่าให้เขาตายก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามเฉินจี๋ “ข้าราชการคนอื่น ๆล่ะ?”“ข้าราชการที่ถ
เซียวม่อไม่คาดคิด เซียวอวี้เพิ่งมาเยือนเมืองฝานหลูไม่ทันไร ก็จะลงดาบเขาเสียแล้วแต่เขามีความผิดอะไร?ข้าราชการของเมืองฝานหลูร่วมมือกับเขาแล้ว ไม่มีทางหักหลังเขาแน่นอนคิดมาถึงตรงนี้ เซียวม่อก็จัดอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง เดินออกไปจากห้องหนังสืออย่างผ่าเผยไร้ความยำเกรงภายในเรือนเนืองแน่นไปด้วยทหารทางการ แต่ละคนล้วนถืออาวุธในมือ ดูเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้นคนที่ยืนนำหน้าคือเฉินจี๋ราชองครักษ์ของฮ่องเต้ เซียวม่อเองก็รู้จักเฉินจี๋นำกำลังทหารมาด้วยตัวเอง เพื่อจับเซียวม่อ“จับตัวเขาไว้!” วิธีจัดการของเขาเหมือนเจ้านายไม่มีผิด เด็ดขาดฉับไว ไม่เหลือโอกาสให้พูดสิ่งใดสิ้นคำสั่งของเขา ทหารทางการก็เข้าไป ทำท่าจะจับเซียวม่อเซียวม่อเห็นขื่อคาและโซ่ตรวนในมือของพวกเขา คิ้วก็กระตุกอย่างรุนแรงเขาก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ ย้อนถามด้วยสีหน้าอึมครึม“จับโจรต้องมีของกลาง แล้วข้าทำอะไรผิด ต้องมาถูกพวกเจ้าจับล่ามคอด้วย?!”เฉินจี๋ไม่เปลี่ยนสีหน้า ย้ำกับทหารทางการที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า“จับไว้!”ด้วยเหตุนี้ เซียวม่อจึงถูกจับจวนอ๋องตกอยู่ในความหวาดผวาพระชายาและเหล่านางสนมเหมือน
“ดูเหมือนว่า ในใจฝ่าบาททรงมีแนวทางแล้ว” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแน่ชัดขณะที่เซียวอวี้กำลังจะเอ่ย องครักษ์ผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานองครักษ์ผู้นี้ได้รับคำสั่งให้เฝ้าสังเกตการณ์ ทุกการกระทำของเซียวม่อ หลังจากพวกเขากลับไปหลังจากรู้เรื่องที่เซียวม่อทุบตีประชาชน เซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็มองตากันอย่างรู้ใจ ต่างฝ่ายต่างรับรู้ความคิดของกันและกันณ จวนฉู่อ๋องเซียวม่อกลับมาถึงจวน ถึงกล้าหัวเราะออกมาเขาตบเข่าฉาดใหญ่ พูดกับคนที่ใส่หน้ากากที่อยู่ด้านล่าง“ฮ่า ๆ! วันนี้เจ้าซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงคน เห็นหรือไม่? สายตาที่ประชาชนไร้มารยาทเหล่านั้นมองเซียวอวี้ แทบอยากจะฉีกกระชากเขาให้ตายคาที่“คราวนี้ ประชาชนเมืองฝานหลูไม่มีทางเชื่อฟังเขาเป็นแน่!”ชายใส่หน้ากากประสานมือคารวะ“ท่านอ๋องฉลาดยิ่งนัก”เซียวม่อมองมาที่เขา หนังตากระตุกอย่างรุนแรง แม้แต่แววตาของเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นอึมครึม“ข้าโชคดีที่ได้รับคำชี้แนะจากท่าน“เพียงแต่ไม่รู้ว่า ท่านยังพอมีวิธีอะไร ที่สามารถช่วยข้ากำจัดเซียวอวี้หรือไม่?”แค่ทำให้เซียวอวี้สูญเสียเมืองฝานหลูไป ยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับเขาพอได้ลิ้มรสความหอมหวานเข้าหน่อย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าทหารทางการถึงควบคุมประชาชนท้องถิ่นที่อารมณ์เดือดพล่านได้คนที่ปาข้าวของ ด่าทอฝ่าบาทเมื่อครู่ ล้วนถูกจับตัวออกมา กดไว้กับพื้น รอฝ่าบาทออกคำสั่งหลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนปาข้าวของแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้หุบร่ม ด้วยการกระทำว่องไว คนรอบข้างแทบมองไม่ทันว่านางซ่อนร่มไว้ตรงไหนเซียวอวี้จ้องเซียวโม่ด้วยแววตาเยือกเย็น“นี่น่ะหรือเมืองฝานหลูภายใต้การปกครองของเจ้า?”เซียวม่อยังไม่ลุกขึ้น หมอบอยู่บนพื้น ราวกับกำลังขอประทานอภัยแผ่นหลังอ้วนท้วมของเขาสั่นระริก ดูท่าแล้วคงหวาดกลัวอำนาจแห่งสวรรค์“ฝ่าบาท กระหม่อมปกครองไม่เข้มวงด กระหม่อมผิดไปแล้ว!“ประชาชนไร้มารยาทเหล่านี้ บังอาจดูหมิ่นท่าน สมควรตาย!”ประโยคสุดท้ายของเขาเน้นย้ำออกมาเสียงหนักในใจของเขา คนที่สมควรตายจริง ๆ คือเซียวอวี้ต่างหากทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไร อย่างมากก็แค่หนีออกจากที่ดินศักดินา ไปที่เมืองหลวงโดยพลการ เซียวอวี้กลับให้บทลงโทษที่หนักหนาแก่เขา เนรเทศเขามายังชายแดนเห็นได้ชัดว่าอยากให้เขาตาย!ทว่า เขาดวงแข็ง ไม่นานก็เริ่มสนิทกับข้าราชการท้องที่ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดลอบฆ่าเขาทว่าเซียวอวี้ไม่โชคดี