ยามบ่าย ณ ตำหนักฉือหนิง องค์หญิงใหญ่ต้องการไปที่ตำหนักหย่งเหออีกครั้ง กลับได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จออกนอกพระราชวังพร้อมฮองเฮาแล้ว นางจึงไม่มีทางเลือก “หากฮองเฮากลับมาแล้ว อย่าลืมมาแจ้งให้ข้าทราบทันที” องค์หญิงใหญ่สั่งสาวใช้ด้วยน้ำเสียงเข้มงวด สาวใช้ตอบรับด้วยความเคารพ และบังเกิดความสงสัยในใจอย่างเลี่ยงมิได้ หรือ เหตุที่แม่ทัพน้อยเมิ่งถูกประหารชีวิตนั้น ฮองเฮาก็มีส่วนพัวพันด้วย? มิเช่นนั้นเหตุใดองค์หญิงใหญ่ต้องรีบร้อนตามหาฮองเฮา และไม่มีเวลาได้โศกเศร้าอาลัยให้แม่ทัพน้อยเมิ่งด้วยซ้ำ? สาวใช้ย่อมมิอาจรู้ได้ว่า ที่จริงแล้วองค์หญิงใหญ่รู้สึกแค้นใจที่เฉียวม่อสิ้นใจช้าเกินไป และรู้ความจริงสายเกินไป “ประเดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่พลันจดจำเรื่องหนึ่งได้ “ไปหยิบกำไลข้อมือวงนั้นจากคลังสมบัติมาก่อน” “กำไลข้อมือ...องค์หญิงเพคะ ท่านได้สั่งทำมันขึ้นมาเพื่อมอบให้แม่ทัพน้อยเมิ่ง เป็นกำไลข้อมือกลไกที่เผลอทำหักระหว่างเดินทางกลับมาตุภูมินั่นน่ะหรือเพคะ?” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ขุ่นมัว “ใช่ เป็นกำไลวงนั้น” ฝ่ามือของนางมีเหงื่อเย็นไหลออกมาโดยไม่รู้ต
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางมาพร้อมกับเซียวอวี้ นางยืนอยู่นอกประตู และได้ยินเสียงคำรามลั่นของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ นางทนฟังไม่ไหวแล้ว คนเช่นหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แม้ว่าต้องตายก็จะไม่มีทางสำนึกผิดแน่นอน เดิมนางคิดว่า หากปล่อยให้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ทรมานในระดับเดียวกัน ก็ถือว่าไม่ติดค้างกันอีก ทว่ายามนี้พิจารณาดูแล้ว การปล่อยหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป จักนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่หลวงยิ่งขึ้น นางตระหนักดีเสมอ มิอาจดูแคลนความพยาบาทของคนผู้หนึ่งได้ และในยามนี้ หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้ยินเสียงของฮองเฮาอยู่ที่นี่ด้วย พลันรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก นางคำรามด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าไสหัวออกไป! ข้าอยากพบแค่ฝ่าบาทเท่านั้น! “นางคนชั้นต่ำ ข้าจะต้องให้ฝ่าบาทประหารเจ้าให้ได้! “หากฝ่าบาทไม่ช่วยข้า ข้าก็จะลงมือด้วยตัวเอง! ข้าจะไม่มีวันปล่อยไป...อ้าก!” หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ก้มศีรษะลง และได้เห็นกระบี่ที่แทงทะลุหน้าอกของตนเองด้วยความไม่เชื่อ ฝ่ายตรงข้ามลงมือรวดเร็วเกินไป นางยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนก็ถูกกระบี่แทงเข้าแล้ว มิต้องเอ่ยถึงหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เพราะแม้แต่ยอดฝีมื
เซียวอวี้จับจ้องมองตรงไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน และเอ่ยอีกครั้งอย่างเคร่งขรึม “เหตุใดจึงไม่ถามเราว่า เคยโปรดปรานหลิงเยี่ยนเอ๋อร์บ้างหรือไม่” สตรีที่ช่องคลอดตีบตันไม่อาจมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบุรุษได้ อย่าบอกว่านางไม่รู้ เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างชัดเจน “ฝ่าบาท อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันเลยเพคะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเขาพลันเย็นชาอย่างกะทันหัน นางจึงรีบกล่าวเสริม “ถึงแม้จะเป็นสตรีที่ช่องคลอดตีบตัน ก็ถูกโปรดปรานได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่สงสัยอันใดเพคะ” อย่างเช่น เขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ในฉับพลัน สายตาของเซียวอวี้ก็พุ่งเข้าใส่นาง เสมือนเข็มที่แหลมคม “แม่ทัพน้อยเมิ่งแสร้งเป็นบุรุษมานานแล้ว ทว่าเข้าใจความรักระหว่างชายหญิงดียิ่งนัก” เฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบตาลงอย่างนิ่งสงบ “ฝ่าบาททรงยกย่องเกินไปแล้วเพคะ” เซียวอวี้ : … นางคิดว่าเขากล่าวชมนางจริง ๆ หรือ? หลังจากความเงียบอันน่าประหลาดชั่วครู่นั้น เซียวอวี้ไม่เอ่ยอย่างอ้อมค้อม “หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไม่เคยร่วมบรรทม ที่เราให้ความโปรดปรานแก่นาง ทั้งหมดเป็นเพราะในช่วงสี่ปีที่
เฉินจี๋หยุดชะงักอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นเลย ภาพที่เห็นคือ ฮองเฮากำลังนั่งคร่อมอยู่บนเอวของฝ่าบาท พลางจับตรึงข้อมือทั้งสองข้างของฝ่าบาท กดคนเอาไว้ชิดกับผนังของรถม้า และกัดลำคอของฝ่าบาท... ท่าทางเช่นนี้ ดูเหมือนว่าฝ่าบาทกำลังถูก...บีบบังคับ?!! ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของเฉินจี๋คือ——ช่วยฝ่าบาท! ทว่า ฮองเฮาพลันหันกลับมา และแววตาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารคู่นั้น ทำให้เขาอดรู้สึกหวาดกลัวมิได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ร่างกายของเขาได้ตัดสินใจเลือกก่อนที่สมองจะคำนวณเสร็จสิ้น ซึ่งมันเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์กับความอยู่รอดของเขาเอง ฟึบ! เฉินจี๋ลดม่านรถม้าลงอย่างเด็ดขาด เขาปลอบใจตนเองว่า ฝ่าบาทก็ควรจะรื่นเริงไปด้วยกระมัง ถูกต้อง จักต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน อย่าว่าแต่เฉินจี๋แล้ว แม้แต่เซียวอวี้ก็มิเคยคาดคิดว่า ตนเองจะถูกสตรีนางหนึ่งควบคุมเอาไว้ มิหนำซ้ำยังอยู่ในท่าทางเช่นนี้... เขาจ้องมองสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ริมฝีปากแดงก่ำ และบวมนิด ๆ บนลำคอ ยังมีรอยฟันที่ช
ช่วงนี้เจียงหลินค่อนข้างว่างวันนี้เขาทานข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยม ได้ยินโต๊ะด้านข้างปรึกษากันว่าจะสังหารฮ่องเต้สุนัข จึงรีบขยับไปนั่งใกล้ๆได้ยินว่าวีรสตรีอย่างแม่ทัพน้อยเมิ่งถูกสังหาร เขาแค้นเคืองในความไม่เป็นธรรมขึ้นมาทันทีที่สำคัญนั้นเป็นเพราะ เคยได้ยินพวกเหล่าฝานพูดว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งกับซูฮ่วนเป็นสหายสนิทกันงั้นเขาก็ต้องมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ!เจียงหลินคิดว่าตนเองมีน้ำใจไมตรี รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยกลับไม่รู้ว่า ในสายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุดเขาคิดทุกอย่างราบรื่นเกินไป อยากรู้ว่าศีรษะตรึงไว้บนสายคาดเอวนั้นมีความรู้สึกอย่างไรหรือ!เห็นว่าเจียงหลินพุ่งเข้ามาแล้ว ไม่รอให้เซียวอวี้ “เป็นบันได” ให้นาง เฟิ่งจิ่วเหยียนยันฝ่ามือข้างหนึ่งไว้บนไหล่ของเขา แล้วก็กระโดดลอยขึ้น...ปัง!เจียงหลินล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัวเดิมคิดว่าเป็นแบบนี้แล้วเขาจะหยุดคิดไม่ถึงว่าเขาจะคลานลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชูมีดหันผักที่ไม่รู้เอามาจากในมือใคร พร้อมแยกเขี้ยวฟัน“ฆ่า!”เฟิ่งจิ่วเหยียน:…เจียงหลิน เจ้าคนโง่เขาอยากให้ตระกูลเจียงถูกประหารเก้าชั่
องค์หญิงใหญ่มองดูคนตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้งฮองเฮา...เป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ช่วยชีวิตนางไว้ในปีนั้น!โอ้พระเจ้า ที่ผ่านมานี้ นางทำอะไรลงไปบ้าง!นางหลงเชื่อเมิ่งเฉียวม่อ วางแผนทำร้ายฮองเฮากระทั่งเปิดเผยเรื่องที่ฮองเฮาอภิเษกสมรสแทน...นางทำเพื่อเมิ่งเฉียวม่อ ที่เป็นตัวปลอมนั้น เกือบจะฆ่าคนที่มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเองไว้ที่แท้จริง ! !ตอนนี้เวลานี้ องค์หญิงใหญ่เสียใจอย่างมาก สำนึกผิดอย่างที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนก้มมองดูกำไลบนข้อมือ แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ทันใดนั้นดวงตาทั้งสี่ก็มองสบตากันแววตาขององค์หญิงใหญ่ แฝงไปด้วยความซับซ้อน น้ำเสียงสั่นเทา“เจ้า...”นางมีคำพูดมากมาย กลับไม่รู้จะเริ่มพูดขึ้นมาอย่างไรดี“แม่ทัพน้อย ขนาดข้อมือของเจ้า ข้าวัดด้วยตนเอง ตอนนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือไม่?” องค์หญิงใหญ่จ้องมองดูนางเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“องค์หญิง...”องค์หญิงใหญ่พูดขัดนางขึ้นมา“ข้าช่างโง่ยิ่งนัก ข้า...ข้าร่วมวางแผนกับมิ่งเฉียวม่อ คอยทำร้ายเจ้า เจ้าถือโทษข้า ไม่เชื่อข้า ก็สมควรแล้ว“ข้า ข้าเนรคุณ! ไม่มีหน้าสู้หน้าเจ้า”ใบหน้าองค์หญิงใหญ่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับก่อกรรมทำ
องค์หญิงใหญ่กินปูนร้อนท้องเมิ่งเฉียวม่อสามารถแหกคุกได้ ก็เพราะฝากป้ายคำสั่งอินทรีเหินไว้กับนางนางก็รู้ว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไวขนาดนี้ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ คำพูดของฝ่าบาทที่ดูเหมือนเป็นการสอบสวนสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันเขาเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา ตักเตือนนางอย่างเคร่งขรึม“เซียวฉี เรื่องนี้เราไม่ทำโทษเจ้าได้ แต่นับจากนี้ไป ตำหนักหย่งเหอ เจ้าอย่ามาบ่อยนัก”องค์หญิงใหญ่กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัวนางจับจ้องมองดูเซียวอวี้ ยิ้มหัวเราะพูดขึ้นมาอย่างไม่ยอมพ่าย“ฝ่าบาท ท่านครองบัลลังก์มาเจ็ดปีแล้วใช่หรือไม่? จนถึงตอนนี้ยังไม่มีรัชทายาท ไม่สมเหตุสมผลเสียเลย“ได้ยินเสด็จย่าตรัสว่า ท่านวางแผนไว้ ตราบที่ฮองเฮาไม่มีรัชทายาท ท่านก็จะไม่โปรดปรานสนมวังหลัง?”“อย่าหาว่าข้าพูดมาก หลายปีมานี้ เคยโปรดปรานเฉพาะหรงเฟยกับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ก็เคยโปรดปรานจิ้งเฟย สตรีพวกนี้ล้วนไม่ได้ตั้งครรภ์ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า สิ่งสำคัญนี้ไม่ได้อยู่ที่ฮองเฮา?”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้มองค์หญิงใหญ่ยิ้มหัวเราะอย่างมีเจตนาแอบแฝง แสดงออกด้วยเจตนาดี“ในฐานะที่ข้าเป็นเสด็จพี่หญิง จึงกล้าพูดคำพูด
เป็นครั้งแรกที่เซียวอวี้ มองเห็นดวงตาของนางเปล่งแสงประกายเช่นนี้รอบด้านเงียบสงบ ดูเหมือนขอเพียงนางมองดูเขาเช่นนี้ เขาจะตอบสนองนางได้ทุกอย่างแต่เขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้เรื่องขนาดนั้นหลังจากขาดสติไปชั่วขณะ เขาก็กลับมาเคร่งขรึมเย็นชาเหมือนปกติ พร้อมพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย“ปีที่สองที่เราขึ้นครองราชย์ กองกำลังทหารทั้งสี่แคว้นร่วมมือกันโจมตีแคว้นหนานฉี เราออกไปทำศึกด้วยตนเอง หลังจากการศึกครั้งใหญ่จบสิ้นลงแล้วกลับแคว้น เดินทางผ่านป่าหมอกหนาทึบ“ในป่าทึบนั่น มีนักฆ่าซุ่มอยู่กลุ่มหนึ่ง”“ตอนที่เราต่อสู้กับนักฆ่า พลางมีคนคลุมหน้าผู้หนึ่ง ปล่อยสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรพสุธาออกมา เราถูกมันกัด ทำให้ถูกพิษ ภายหลังค่อยรู้ว่า นั่นคือพิษวารีสวรรค์”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็รู้ พิษวารีสวรรค์นั้น เป็นการเลี้ยงผ่านมังกรพสุธา แต่ละวันนั้นจะให้มันกินยาพิษชนิดพิเศษ ไม่นาน มันก็จะสะสมเป็นพิษชนิดรุนแรง “วารีสวรรค์” ในตัวการเลี้ยงวารีสวรรค์ตัวหนึ่ง ต้องใช้เวลาสิบปีและใช่ว่ามังกรพสุธาทุกตัว ล้วนดูดซึมยาพิษพวกนั้น มีชีวิตรอดมาอย่างราบรื่น จนกลายเป็นวารีสวรรค์ดังนั้น พิษวารีสวรรค์นั้นพบเห็นได้ยากนางฟังเซียวอวี
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้