Masukตั้งแต่แม่เมษาหล่นตุ๊บเข้ามาสู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางและมาอยู่ในเรือนขุนเทวัญได้หลายวัน
คุณหญิงจันทร์วาดก็มองอยู่ห่าง ๆ ยังไม่ได้สืบสาวเล่าความอันใดให้เป็นแก่นสาร นั่นเพราะด้วยเหตุยังไม่มีเวลาว่างจะจัดการ และด้วยเพราะเมษาพูดจาไม่รู้ความเป็นภาษามนุษย์เลย และในเช้าวันนี้คุณหญิงก็อดไม่ได้อีกต่อไป
“แม่พลอย ไปตามแม่เมษามาพบฉันแต่เช้า อย่าให้ต้องรอนาน”
แม่พลอยวิ่งแจ้นไปถึงครัว เมษาที่กำลังลองทอดไข่ดาวด้วยเตาถ่านก็สะดุ้ง
“ไปเร็วเถอะเมษา คุณหญิงท่านเรียกหา แล้วก็ระวังกริยามารยาทให้ดีด้วยนะคุณหญิงท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ”
เมษาสะบัดผ้าซิ่น พูดหน้าระรื่น “เอาน่า เดี๋ยวฉันจัดให้ คนอย่างเมษามีทักษะการเจรจาดีเริ่ด”
ที่ห้องโถงในเรือนหลังใหญ่ คุณหญิงจันทร์วาดนั่งอยู่ตรงกลางห้องบนตั่งไม้สูง สวมผ้าไหมสีกรมปักดิ้นทอง แววตาสงบนิ่ง
เมษาค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้า ยิ้มแหย ๆ “กราบสวัสดีเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ กราบสวัสดีค่ะคุณพี่ขุนเทวัญ”
ขุนเทวัญนั่งอยู่ข้างแม่ สีหน้าเรียบนิ่งคล้ายจะสงบ แต่ในใจคงไม่สงบเพราะไม่รู้ว่าแม่เมษาจะแผลงฤทธิ์พูดจาโฉ่งฉ่างต่อหน้าผู้เป็นแม่ของเขาเมื่อใด
เมษานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อบทสนทนาจากอีกฝ่ายที่เรียกตัวเธอมา ยิ้มสดใสเหมือนคนไม่มีปัญหาอะไรในชีวิต คุณหญิงทอดสายตามอง แล้วเปิดบทสนทนาด้วยเสียงนุ่มแต่แน่น
“แม่เมษา ฉันอยากรู้ว่าเจ้ามีต้นกำเนิดเช่นไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหนกันแน่”
เมษายิ้มหวาน “โอ้ ต้นกำเนิดเลยเหรอ คุณหญิงแม่ขา หนูเกิดปีสองพันห้าร้อยสี่สิบสามค่ะ อยู่หมู่บ้านไพรเวทแกรนด์ เขตคลองห้า พ่อแม่ไม่มี หนูเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็มาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ ถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกทุกวันเลย คนติดตามนี่เป็นแสน ๆ เลยนะคะ”
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท แม่พลอยที่ถือพัดยุงอยู่ถึงกับหยุดมือ ขุนเทวัญนิ่งงัน คุณหญิงกะพริบตาช้าถึงช้ามาก เพราะเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินไม่ถูก
“เอาใหม่ซิ บิวๆ อะไร”
“บิวตี้บล็อกเกอร์ค่ะ คือแบบว่า รีวิวเครื่องสำอางไรงี้ มีฟอลโลเวอร์เป็นแสนเลยนะคะคุณหญิงแม่”
คุณหญิงนิ่งไปอีกครั้ง พัดในมือค้างอยู่กลางอากาศ
“แม่เมษา เธอพูดอะไรข้าฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เจ้าเรียกบิวตี้บล็อกเก่อ นั่นมันคือโรงบ่อน โรงโขน หรืออะไร
“บิวตี้บล็อกเกอร์ค่ะ ไม่ใช่บล็อกเก่อ”
“เออ จะอะไรก็ช่างมัน”
ขุนเทวัญกระแอมเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงนิ่ง “คุณแม่ขอรับ ลูกว่าบางทีเธออาจจะความจำเลอะเลือน จากตอนที่ฟ้าผ่าก็เป็นได้ เพราะวันที่เจอเธอสลบอยู่ที่ถนนหน้าเรือน มีฟ้าคะนองพอดี”
คุณหญิงปรายตาช้า ๆ “ความจำเสื่อมหรือสติไม่สมประกอบ ยังไม่อาจตัดสินใจได้ แม่ว่าพาไปส่งให้โปลิศเถอะพ่อเทวัญ”
เมษาได้ยินดังนั้นรีบโบกมือ ยิ้มแหย “อย่าเลยค่ะคุณหญิงแม่ เดี๋ยวเขาหาว่าหนูบ้า”
คุณหญิงหรี่ตาลง “ฉันนี่สิที่จะบ้า ฟังเธอพูดมาฉันสิจะวิปลาศเอา ฟังไม่ได้ความ แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าคุณหญิงแม่ได้แล้ว เรียกแค่คุณหญิงพอ มันจั๊กจี๊”
ขุนเทวัญหลุบตามองพื้นพยายามไม่ขำ แม่พลอยทำหน้ากลั้นขำอยู่ในใจ
คุณหญิงโบกพัดปิดบทสนทนา “เอาเถิด หากเธอยังจำความอะไรไม่ได้ ก็ให้อยู่ไปก่อนเถิด ครั้นจะส่งตัวไปให้โปลิศก็สงสาร”
“สงสารหนูหรือเจ้าคะ”
“สงสารโปลิศ” คุณหญิงตอบทันควัน
เมษาหัวเราะแห้ง ๆ ก้มหน้าลงพึมพำเบา ๆ กับแม่พลอย
“แย่แล้วแม่พลอย ฉันน่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดตัวประหลาดไปแล้วล่ะ”
แม่พลอยมองหน้าแล้วพยักหน้าช้า ๆ “เรื่องจริงทั้งนั้น”
ช่วงบ่ายในครัวเรือนไทย เมษานั่งพับผ้าอยู่กับแม่พลอย มือยังจับปลายชายซิ่นไม่ค่อยเป็น แต่ปากไม่เคยหยุดพูด
“แม่พลอย ฉันถามจริง ๆ เถอะ บ้านนี้ไม่มีทาสเลยเหรอ”
แม่พลอยชะงักมือครู่หนึ่ง แล้วหันมามองด้วยแววตาแปลกใจ “เอ็งหมายความว่ายังไง”
“ก็ คือแบบ ฉันเคยเรียนมานะว่ายุคนี้มันยังมีทาสอยู่ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมในบ้านขุนเทวัญไม่มีเลยล่ะ”
เมษาขมวดคิ้ว หยิบผ้าขาวม้ามาพับผิดพับถูก แม่พลอยยิ้มนิด ๆ ก่อนจะพูดเรียบ ๆ
“บ้านนี้ไม่มีทาสหรอกเพราะท่านที่เรือนนี้ไม่ชอบกดขี่ใคร ท่านว่าชีวิตคนไม่ควรจะเป็นของใคร ที่อยู่เรือนนี้ จะมีก็แค่บ่าวไพร่ ที่ท่านให้ที่อยู่ ที่กิน และให้เงินใช้ตามเหมาะสม”
เมษาชะงัก เงยหน้าขึ้นทันที
“หัวสมัยใหม่มาก มีความเสรีนิยมในยุคที่คนยังไม่ได้พูดคำว่าสิทธิมนุษยชนกันเลยนะเนี่ย”
แม่พลอยฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ยิ้มออก “แต่ว่าที่เรือนอื่นก็ยังมีทาสอยู่นะ น่าสงสารเสียจริง”
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานก็จะมีกฎหมายเลิกทาสออกมาแล้วนะแม่พลอย”
“กฎหมายเลิกทาส เธอรู้ได้อย่างไร”
“เอาน่า ฉันรู้ก็แล้วกัน ต่อไปในอนาคต ทาสทุกคนก็จะเป็นไท ไชโย” เมษาหยิบผ้าผืนต่อไปขึ้นมา พลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
แดดยามเย็นทอดเงาเฉียงผ่านระแนงไม้ศาลาริมสวน กลิ่นดอกพิกุลลอยมากับลมบาง ๆ ระคนเสียงนกร้องอ้อยอิ่งอยู่ปลายยอดไม้
ขุนเทวัญนั่งสงบนิ่งอยู่มุมศาลา ในชุดอยู่บ้านสีขาวปนน้ำเงิน มือเรียวยาวเปิดหน้าหนังสือไทยโบราณ ก่อนจะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษว่างเปล่าแล้วเขียนอย่างสุขุมเงียบงัน
และแน่นอน ความสงบทั้งหลายต้องพังทลาย เมื่อเสียงหนึ่งแว่วลอยมาจากทางเดินข้างศาลา
“โอ๊ยยยยยย...” เสียงลากยาวตามด้วยผ้าซิ่นสะบัดเหมือนม้วนพรมเข้าฉาก เมษาเดินมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่รู้แน่ ๆ ว่าเสียงดังพอจะทำให้ขุนเทวัญละสายตาจากหน้ากระดาษ
“บ้านหลังใหญ่อย่างกับวัง เดินหลงมาทางไหนอีกล่ะ อุ๊ยตาย! ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาขัดจังหวะฉากพระเอกค่ะ”
ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตานิ่ง เงียบ ขรึม แต่หางคิ้วกระตุกเบา ๆ
“เธอมีธุระอันใดหรือ แม่เมษา”
“ไม่มีอะไรค่ะคุณพี่ขุน” เมษายกมือไหว้เก้ ๆ กัง ๆ แต่สีหน้ากรุ้มกริ่ม “แค่ไม่มีอะไรทำ เลยเดินเล่นจนหลงเข้ามาในสวน แล้วบังเอิญพบว่าท่านขุนสุดหล่อกำลัง อะแฮ่ม อ่านนิยายกลางร่มไม้พอดี”
มือที่กำลังจรดหมึกหยุดลงชั่วครู่ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ใบหูข้างหนึ่งแดงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“ฉันกำลังอ่านหนังสือราชการ มิใช่นิยายดังที่เธอพร่ำเพ้อ”
“จริงเหรอคะ เพราะองค์ประกอบมันใช่มาก ทั้งเสื้อผ้าฟ้าทอง แสงแดดอ่อน ๆ และท่านขุนสุดหล่อราวพระเอกจากซีรีส์เกาหลี”
ขุนเทวัญไม่ตอบ แต่กระแอมเบา ๆ แล้วก้มลงเขียนหนังสือต่ออย่างจงใจ ราวกับว่าไม่อยากจะต่อล้อต่อความกับเมษา
เมษาไม่ยอม เดินเฉียดเข้าไปใกล้ ยื่นหน้าสอดส่องเหนือบ่าเขาอย่างไม่มีมารยาทใด ๆ ทั้งสิ้น
“โห ลายมือสวยกว่าฟอนต์ในคอมพิวเตอร์อีกแน่ะ ว่าแต่คุณพี่ขุนเขียนอะไรเหรอคะ”
“รายงานการสำรวจการเสียอากรของกองเรือฮอลันดา” ขุนเทวัญตอบเสียงเรียบ
เมษาทำตาโต “ไหนขอฉันอ่านหน่อย” เมษาทำหน้าจดจ้องอ่านตัวหนังสือในหน้ากระดาษนั้น แม้ว่าการสะกดคำจะแตกต่างจากยุคสมัยใหม่ แต่ก็พอที่จะอ่านออก
“เธออ่านหนังสือออกหรือ” ขุนเทวัญเลิกคิ้ว “นั่นหมายความว่า เธอคงไม่ใช่ลูกชาวบ้านร้านตลาดที่เดินหลงเข้ามาอย่างที่อ้างแล้วกระมัง”
“อ่านออกสิคะ ฉันก็เรียนหนังสือมานะ”
ขุนเทวัญมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจในลำคอ “ในสยามคนอ่านหนังสือออก มีแต่พวกขุนนางหรือไม่ก็ลูกหลวงลูกพระยาเท่านั้นแหละ ที่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน ฉันล่ะสงสัยจริงเชียวว่าเธอคือใคร มาจากไหน”
เมษาหัวเราะคิกก่อนจะเอื้อมมือลูบดอกพิกุลแห้งที่ตกอยู่บนขอบโต๊ะ ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองเธอเล็กน้อย
“หากเธออยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฉันจะมอบหน้าที่ให้เธอคัดหนังสือให้เอาไหม”
เมษาหยุดหัวเราะทันที “แต่ภาษาสมัยนี้มันไม่คุ้นเลยนะคะ ถึงฉันจะอ่านออก แต่ให้เขียนมันคงออกมาเป็นคำสมัยใหม่ผิดรูปแบบของยุคนี้แน่นอน”
ขุนเทวัญมุมปากกระตุกน้อย ๆ แต่ยังไม่ยิ้มด้วยวางฟอร์ม “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าก่อกวนให้เสียเวลาฉัน”
“รับทราบค่า” เมษาโค้งตัวนิดหนึ่ง ทำเสียงใสใส่ลม “งั้นฉันไปหาอะไรทำกับแม่พลอยก่อนนะเจ้าคะคุณพี่ขุนเทวัญ”
ขุนเทวัญวางปากกาช้า ๆ มองไปยังแสงแดดที่เริ่มส้มจัดตรงปลายไม้ แผ่นกระดาษตรงหน้าเขียนค้างไว้ครึ่งหน้า แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของใครบางคน ที่แค่เดินผ่านและแวะมาคุย ก็เหมือนเผลอเปลี่ยนศาลาริมสวนให้กลายเป็นละครโรงใหญ่ได้ทุกวัน ถึงจะปวดกบาลแต่ก็สนุกดี
ตั้งแต่แม่เมษาหล่นตุ๊บเข้ามาสู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางและมาอยู่ในเรือนขุนเทวัญได้หลายวันคุณหญิงจันทร์วาดก็มองอยู่ห่าง ๆ ยังไม่ได้สืบสาวเล่าความอันใดให้เป็นแก่นสาร นั่นเพราะด้วยเหตุยังไม่มีเวลาว่างจะจัดการ และด้วยเพราะเมษาพูดจาไม่รู้ความเป็นภาษามนุษย์เลย และในเช้าวันนี้คุณหญิงก็อดไม่ได้อีกต่อไป“แม่พลอย ไปตามแม่เมษามาพบฉันแต่เช้า อย่าให้ต้องรอนาน”แม่พลอยวิ่งแจ้นไปถึงครัว เมษาที่กำลังลองทอดไข่ดาวด้วยเตาถ่านก็สะดุ้ง“ไปเร็วเถอะเมษา คุณหญิงท่านเรียกหา แล้วก็ระวังกริยามารยาทให้ดีด้วยนะคุณหญิงท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ”เมษาสะบัดผ้าซิ่น พูดหน้าระรื่น “เอาน่า เดี๋ยวฉันจัดให้ คนอย่างเมษามีทักษะการเจรจาดีเริ่ด”ที่ห้องโถงในเรือนหลังใหญ่ คุณหญิงจันทร์วาดนั่งอยู่ตรงกลางห้องบนตั่งไม้สูง สวมผ้าไหมสีกรมปักดิ้นทอง แววตาสงบนิ่งเมษาค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้า ยิ้มแหย ๆ “กราบสวัสดีเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ กราบสวัสดีค่ะคุณพี่ขุนเทวัญ”ขุนเทวัญนั่งอยู่ข้างแม่ สีหน้าเรียบนิ่งคล้ายจะสงบ แต่ในใจคงไม่สงบเพราะไม่รู้ว่าแม่เมษาจะแผลงฤทธิ์พูดจาโฉ่งฉ่างต่อหน้าผู้เป็นแม่ของเขาเมื่อใดเมษานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อบทสนทนาจากอีกฝ่าย
ยามเย็นในเรือนไทยนั้นเงียบสงบกว่าทุกเวลาที่เมษาเคยสัมผัส ไม่มีเสียงรถ ไม่มีข่าวในทีวี ไม่มีแจ้งเตือนจากมือถือ มีเพียงเสียงลมพัด เสียงนกร้อง และแสงอาทิตย์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทองเมษานั่งบนชานเรือน ใกล้ศาลาเล็กใต้ร่มไม้ ขุนเทวัญนั่งอีกฝั่งของตั่งไม้ เตรียมเอกสารบางอย่างไว้ในมือ แต่ยังไม่ลงมืออ่านเมษาหันไปมองเขา ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “คุณพี่ขุนเทวัญคะ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้น มองเธอนิ่ง ๆ ก่อนพยักหน้า “ว่ามาเถิด หากตอบได้ ก็จะตอบ”“ตอนนี้ปีอะไรเหรอคะ”ขุนเทวัญนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้า ๆ “ก็จุลศักราชหนึ่งพันสองร้อยสามสิบห้า”“จุลศักราช” เมษากระพริบตา ขอโทษนะคะ เอาเป็นพุทธศักราชได้มั้ย”ขุนเทวัญยิ้มบาง ๆ “พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยสิบหก”“แล้วตอนนี้เป็นแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใด”“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าน่ะ ทำไมหรือ”เมษาถึงกับนิ่งไป มือน้อย ๆ ยกขึ้นนับนิ้วเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะอุทานเบา ๆ“นี่มันสมัยรัชกาลที่ห้า”ขุนเทวัญพยักหน้าอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก”เมษาหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีส้ม เสียงลมหายใจของเธอแผ
บ่ายวันต่อมาในเรือนใหญ่ ขุนเทวัญนั่งพินิจเอกสารอยู่ในศาลาเล็กหน้าบ้าน แสงแดดลอดผ่านต้นพิกุลเป็นลายเงาบนโต๊ะไม้ เสียงฝีเท้าของแม่พลอยกับเสียงบ่นของใครบางคนก็ดังมาพร้อมกัน“แม่พลอย นี่เธอแน่ใจเหรอว่าผ้าถุงมันต้องรัดแน่นขนาดนี้อะ ฉันว่าฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปซะก่อน”แม่พลอยหัวเราะคิก “อดทนหน่อยน่า กระโดกกระเดกแบบเธอ ต้องรัดแน่น ๆ เดี๋ยวผ้าผ่อนไปหลุดเอาต่อหน้าพวกคุณท่าน จะอายเอา”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้ที่กำลังหมุนตัวเองดูชุดผ้าถุงสีสดราวกับนางแบบเดินแฟชั่นโชว์เขาถอนหายใจเบา ๆ“แม่เมษา” เสียงนิ่ง เรียบ แต่ดักสติเธอให้หยุดหมุนในพริบตา “ฉันเห็นเธอสวมชุดของคนในเรือนแล้ว ยังแลดูพิลึกอยู่มาก”เมษาหันมายิ้มแห้ง ๆ “ก็ฉันพยายามแล้วนี่คะคุณพี่ขุน แต่ยังไงมันก็ใส่ไม่สบายอยู่ดี ขอกลับไปใส่ชุดแบบที่ฉันเคยใส่มาตอนวันแรกได้ไหม”“ชุดแปลกประหลาดแบบนั้น มันจะไปหาซื้อได้ที่ไหนกันล่ะ” เขาหันไปทางแม่พลอย “เอาเงินนี่ไป พาแม่เมษาไปเลือกซื้อผ้าเสียที ให้ได้ชุดที่เหมาะกับหญิงไทย อย่าให้ต้องใส่สิ่งแปลกประหลาดอีก บอกให้ไอ้เฟื่องขับรถไปส่ง”แม่พลอยรับคำทันที “ได้เลยเจ้าค่ะท่านขุน”เมษายกมือไหว้แบบลวก
เช้าวันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในเรือนบ่าว กลิ่นน้ำอบอ่อน ๆ ลอยเคล้ากับกลิ่นขนมไทยที่แม่พลอยทำไว้แต่เช้าเมษานั่งกอดหมอนใบเล็กอยู่บนฟูก สวมผ้าถุงที่เกือบหลุด ข้างตัวมีสมุดกับดินสอที่แม่พลอยเตรียมไว้ให้ตามที่เธอขอ แต่สิ่งที่เธอจดไม่ใช่สูตรกับข้าวหรือบทกลอน“สิ่งที่ควรรู้เพื่ออยู่รอดในยุคที่ไม่มีกูเกิ้ล”แม่พลอยเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำใบเล็ก “วันนี้ฉันจะสอนเธอนุ่งผ้าใหม่อีกทีนะ ไม่ใช่เดินแล้วชายหลุดเหมือนเมื่อวาน” “แล้วก็คำพูด อย่าเผลอพูดอะไรแปลก ๆ ต่อหน้าท่านขุนอีกนะ”เมษายิ้มเจื่อน “ยอมแล้วจ้ะ วันนี้จะเป็นเด็กดีของเรือนไทย แบบเท่าที่ฉันจะทำได้”ภารกิจที่ 1 นุ่งผ้าถุงแบบหน้านางแม่พลอยนั่งพับเพียบอย่างคล่องมือ มือซ้ายจับชายผ้า มือขวาพับจีบแนบต้นขาเมษาทำตามอย่างตั้งใจสุดฤทธิ์ แต่ทุกทีที่ลุกขึ้น ชายผ้าก็เบี้ยว บางทีก็หลุดลงมาตุงอยู่ตรงหน้าขาอย่างน่าอับอาย“เอ่อ แม่พลอย มีเวอร์ชั่นสำเร็จรูปแบบซิปมั้ยอะ แบบที่ดึงปุ๊บแล้วจบเลย เหมือนกางเกงน่ะ เข้าใจป้ะ”แม่พลอยเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงง ๆ “ซิปอะไรอีกล่ะนั่น”“ซิปไง ซิป ตัวล็อกผ้าที่รูดขึ้นลงปื๊ด ๆ ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่กระดุ
“โอ๊ย เดินจากเรือนนู้นมานี่ทุกวันคือไม่ต้องเข้ายิมแล้วมั้งเนี่ย” เมษาบ่นเสียงดังพลางย่อตัวลงนั่งพักตรงชานเรือนด้านล่าง ผ้าถุงที่แม่พลอยจัดให้ยังพับไม่เป็นระเบียบ เดินไม่คล่อง นั่งก็ไม่สบาย“ไหนไวไฟ อยู่ตรงไหนคะ ใครมีพาสเวิร์ดบ้าง แล้วมือถือฉันไปไหนเนี่ย” เสียงของเธอดังลั่นเรือนแม่พลอยที่เดินถือถาดใบตองมาถึงหน้าชานจำต้องทำคิ้วขมวดอีกครั้ง“ไว อะไรนะ”ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงฝีเท้าแน่นหนักก็ดังขึ้นทางระเบียงไม้ ขุนเทวัญที่เพิ่งเดินมาจากเรือนด้านในหยุดยืนอย่างสงบ มองลงมายังหญิงสาวผู้แปลกประหลาดเบื้องล่าง คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันช้า ๆ ราวกับต้องใช้แรงในการแปลภาษา“แม่เมษา เธอโวยวายสิ่งใด ฉันให้ไปอยู่กับเรือนแม่พลอย เธอติดขัดอะไรหรือเปล่า”เมษาหันขวับ ยกมือเท้าเอวทันทีแบบไม่ยอมแพ้ นี่ตกลงจะยังคอสเพลย์เป็นท่านขุนไม่เลิกอีกหรือไง ช่วงแรก ๆ มันก็สนุกดีอยู่แหละ แต่ตอนนี้เมษาชักเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว แม้เธอจะคิดว่านี่อาจเป็นการซ่อนกล้องเพื่อถ่ายอะไรบางอย่าง เธอก็เลยเออออตามน้ำไปแค่นั้นเอง“โอเค...งั้นถามตรง ๆ เลยค่ะ ไม่มีไวไฟใช่มั้ย ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือเลย”ท่านขุนเลิกคิ้วขึ
กล้องมือถือบนขาตั้งวางอย่างมั่นคงในห้องนอนคอนโดสไตล์ลอฟต์ แสงไฟริงสะท้อนใบหน้าเรียวคมของหญิงสาวที่ชื่อว่าเมษากานต์ หรือที่ใคร ๆ ในโลกออนไลน์รู้จักในชื่อเมษาพาแซ่บ บิวตี้บล็อกเกอร์สาววัยยี่สิบห้า ผู้มากับวาจาปรอทแตกและแหกคอนเทนต์รีวิวตัวแม่ตัวมารดาไม่ไหว“สวัสดีค่า เมษามาแล้วค่ะทุกคน วันนี้เรามาในลุคพิธีกรสารคดีแห่งชาติ เพราะของที่อยู่ในมือเมษาตอนนี้ ไม่ใช่ของเล่นนะคะทุก ๆ คน แต่มันคือ สร้อยโบราณของจริง”เธอพูดพร้อมหมุนสร้อยในมือเล่นไปมา ตัวสร้อยดูเก่าแก่แต่มีพลังบางอย่าง มันเป็นทองคำสลักลายประณีต พร้อมจี้กลมเล็กที่มีลายไทยวิจิตร ดูไปแล้วก็แอบหรูแบบคลาสสิกมากกว่าน่ากลัว“ทุกคน ดูสร้อยที่เมษาเพิ่งซื้อมาสิ เมษาไปเจอที่ร้านขายของเก่า แล้วเมษาก็ เอ่อ...แอบตื่นเต้นค่ะ เพราะเขาบอกว่าสร้อยเส้นนี้น่ะ เคยเป็นของคุณหญิงคนหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่ว ของเก่าขนาดนั้นจะยอมขายให้เมษาถูก ๆ เหรอ ก็ไม่รู้สินะ” เธอยักไหล่พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม มองสร้อยเหมือนของเล่นใหม่“อย่าหาว่าเวอร์วังนะ เมษาว่าสร้อยเส้นนี้มันแบบ มีพลังลึกลับอะ แค่จับก็เหมือนใจสั่นเบา ๆ แล้ว ถ้าเป็นข







